“ราคาทองคำ” ปรับพุ่งสูงและผันผวนต่อเนื่อง ล่าสุด ณ เวลา 14.25 น. วันที่ 24 เมษายน 2568 ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ประมาณ 3,340 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศไทย อ้างอิงจากประกาศสมาคมค้าทองคำ ณ เวลาประมาณ 15.43 น. ทองคำแท่ง 96.5% รับซื้อที่ 52,800 บาท ขายออกที่ 52,900 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้อที่ 51,847.20 บาท (ราคาฐานภาษี) ขายออกที่ 53,700 บาท
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ทำสถิตินิวไฮ โดยราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) แตะ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ทองรูปพรรณในไทย ขายออกที่กว่า 55,100 บาท
ซึ่งหากเปรียบเทียบข้อมูลจะพบว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแล้ว 5.7% ในสัปดาห์นี้ และ 14.2% ในเดือนนี้ และถือว่าพุ่งขึ้นเกือบ 31% แล้วในปีนี้

ปัจจัยที่ทำให้ “ราคาทอง” พุ่ง
“ทองคำ” ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) หรือทรัพย์สินที่มีความผันผวนต่ำ เสี่ยงขาดทุนน้อย โดยในช่วงนี้นักลงทุนมีความต้องการทองคำเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลให้ราคาทองพุ่งสูงในช่วงนี้ ได้แก่
...
1. ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ประกาศกำแพงภาษีกับนานาชาติ โดยเฉพาะนโยบายโต้ตอบกันระหว่างสหรัฐฯ และจีน
แม้ทรัมป์จะระงับการบังคับใช้นโยบายนี้ไว้ 90 วัน แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบอย่างมากไปแล้ว โดยนักลงทุนยังกังวลว่าช่วงการระงับนี้จะยาวนานพอหรือไม่
2. ประธานาธิบดีทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์ ขู่จะปลด “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยวิจารณ์ว่านโยบายของเฟด “ช้าและผิดพลาดตลอดเวลา” และไม่ลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ทรัมป์เรียกร้อง พร้อมกล่าวว่า “ถ้าผมต้องการให้เขาออกไปจากตำแหน่ง เขาก็จะออกจากตำแหน่งโดยเร็ว”
อย่างไรก็ดี การปลดประธานเฟดไม่ใช่เรื่องง่ายและมีขั้นตอนที่ซับซ้อน โดยคณะกรรมการของหน่วยงานรัฐบาลกลางอิสระ เช่น เฟด สามารถถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระได้ก็ต่อเมื่อมี "เหตุแห่งความผิด" เท่านั้น เพื่อดำรงความเป็นอิสระของหน่วยงาน เช่น การประพฤติผิดมิชอบอย่างร้ายแรง การทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
คำกล่าวของทรัมป์ต่อพาวเวลล์ ทำให้เกิดความกังวลว่าการเมืองอาจเข้ามาแทรกแซงนโยบายการเงินของเฟดที่เป็นอิสระหรือไม่ ซึ่งอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของเฟด และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมาก
แม้ว่าภายหลังทรัมป์จะออกมาบอกว่าเขา “ไม่มีเจตนา” จะปลดพาวเวลล์ แต่ต้องการให้กระตือรือร้นมากขึ้นในเรื่องแนวคิดลดอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น
3. ความตึงเครียดทางการค้าโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหภาพยุโรป-สหรัฐฯ และสหรัฐฯ-จีน
โดยในปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้กำหนดภาษีสูงถึง 245% ต่อสินค้าจีน ในขณะที่จีนได้กำหนดภาษี 125% ต่อสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งคาดกันว่าความตึงเครียดนี้อาจทวีความรุนแรงขึ้นอีกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หลังจากที่ทรัมป์สั่งเริ่มการสอบสวนการนำเข้าแร่ธาตุสำคัญสู่สหรัฐฯ หากเป็นเช่นนั้น ก็ดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อไปได้
อย่างไรก็ดี ราคาทองคำล่าสุดปรับลดลงจากระดับสูงสุดก่อนหน้านี้ หลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังจะคลี่คลายลงในไม่ช้า ทำให้นักลงทุนลดความกังวลและลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำลง นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากการเทขายเก็งกำไรหลังราคาทองปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย
ขอบคุณ : euronews, reuters, สมาคมค้าทองคำ