
14,000 คนเมียนมา ตาย! 4 ปีในสงคราม เด็กก็จับไม่เว้น
ข้อมูลจาก Myanmar Response Network (MRN) เครือข่ายทำงานด้านผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา เปิดเผยสถานการณ์ 4 ปีที่ผ่านมาภายใต้สงคราม คนเมียนต้องเผชิญความสูญเสียมหาศาล ไม่ว่าจะด้านสังคม เศรษฐกิจ อิสรภาพ และความปลอดภัยที่อยู่ขั้นวิกฤต
ตั้งแต่ปี 2564-2567 ประเทศเมียนมามีการสู้รบและโจมตีทางอากาศทั้งสิ้น 7641 ครั้ง ประชาชนเสียชีวิตจากภัยสงคราม 14,551 คน ถูกจับกุม 82,249 คน ซึ่งในจำนวนนี้ มีเด็กโดนจับกุมไปด้วย 1,775 คน ดังนี้
จำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบย้อนหลัง 4 ปี
‘สงคราม’ สร้างผลกระทบหลายด้าน ไม่ว่าจะด้านเศรษฐิจ ที่ความขัดแย้งก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ค่าเงินจ๊าด (สกุลเงินที่ใช้ในประเทศพม่า) อ่อนลงหลังรัฐประหารประมาณ 3-4 เท่า เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันเครื่องยนต์ ประชาชนต้องต่อแถวซื้อและขายแบบจำนวนจำกัด ราคาสินค้าทุกอย่างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วม หลังจากนั้นก็ไม่มีการปรับราคาสินค้าลง โดยเฉพาะราคาข้าวสาร ที่มีราคาสูงขึ้นทุกสัปดาห์
ส่วนผลกระทบด้านสังคม พบข้อมูลจาก United Nations Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (UNOCHA) ระบุว่า จำนวน ‘ผู้พลัดถิ่น’ ชาวเมียนมา มีมากกว่า 3.5 ล้านคน คิดเป็น 6% ของจำนวนประชากรทั้งหมด 57 ล้านคน
มากกว่านั้น มีเด็กจำนวนมากเสียชีวิตจากการสู้รบ แลชะ 1 ใน 3 ของตัวเลขผู้พลัดถิ่นโดยรวม คือ ‘เด็กและเยาวชน’
กองทัพพม่า ‘บังคับ จับกุม เกณฑ์ทหาร’
รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศใช้กฎหมายการเกณฑ์ทหาร (Conscription Law) บังคับหนุ่มสาวอายุตั้งแต่ 18 ปี (ผู้ชาย 18-35 ปี และ ผู้หญิง 18-27 ปี) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 โดยประกาศฉบับแรกระบุว่า จะมีการเริ่มต้นการเกณฑ์ทหาร ในเดือนเมษายน 2567 แต่รัฐบาลทหารเมียนมา กลับเริ่มมีการเกณฑ์ทหารก่อนประกาศในหลายพื้นที่ตั้งแต่เดือนมีนาคม
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เยาวชนที่อยู่ในช่วงอายุที่ต้องเกณฑ์ทหาร มีความพยายามที่จะเดินทางออกจากประเทศในรูปแบบทั้งที่ถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย และส่วนมากเลือกที่จะเดินทางมาที่ประเทศไทย ขณะเดียวกันรัฐบาลเมียนมาก็ได้ออกประกาศและนโยบาย ที่ส่งผลให้การเดินทางออกจากประเทศเมียนมายากมากขึ้น เช่น กรณีการถูกจับที่สนามบิน การไม่อนุญาตให้เดินทางด้วยวีซ่า PV เป็นต้น
สำหรับคนที่ไม่มีช่องทางหรือไม่มีเงินพอที่จะสามารถเดินทางออกต่างประเทศได้ ก็ต้องใช้วิธีการหลบหนีภายในประเทศ หรือย้ายออกไปอยู่ที่เมืองอื่นไปเรื่อยๆ และเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย อีกทั้งในบางพื้นที่ ครอบครัวที่พอมีกำลังทรัพย์ ก็จะใช้วิธีการจ่ายเงินทดแทนหรือจ้างคนมาเกณฑ์ทหารแทน
กระทั่งในช่วงปลายปี 2567 คนก็เริ่มไม่สามารถปฏิเสธหรือใช้วิธีการจ่ายเงินทดแทน หรือจ้างคนแทนได้ เพราะกองทัพเริ่มใช้วิธีการ ‘ปอตาสะแว’ หรือการจับกุมโดยพลการและบังคับเกณฑ์ทหาร เช่น จับไประหว่างเดินอยู่บนถนน เป็นต้น เริ่มมีการเข้าไปที่โรงงานเพื่อเก็บรายชื่อผู้ที่อยู่ในอายุเกณฑ์ทหาร โดยในเดือนมกราคม 2568 เป็นการเกณฑ์ทหารรอบที่ 9 และจากรายงานของ NUG ตัวเลขผู้ที่ถูกเกณ์ทหารมีมากกว่า 22,000 คน
สถิติคนเมียนมาหนีตายเข้าไทย
จำนวนคนเมียนมาที่ถูกจับกุมจากการเดินทางมายังประเทศไทยโดยช่องทางธรรมชาติหรือผิดกฏหมาย ในปี 2567 มีทั้งสิ้น 6,336
โดยตัวเลขนี้ รวบรวมมาจากสื่อสาธารณะและตัวเลขจากทางการ ซึ่งแน่นอนว่า ในความเป็นจริงอาจจะมีมากกว่านี้ โดยหลังประกาศเกณฑ์ทหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เยาวชนและผู้คนที่อยู่ในเงื่อนไขเกณฑ์ออกมาต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะที่ประเทศไทย จากการสำรวจพบว่าผู้คนที่มาเส้นทางธรรมชาติโดยมีคนพามาต้องเสียค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 27-70 แลค คิดเป็นเงินไทยประมาณ 20,000-50,000 บาท
จำนวนการจับกุมที่ชายแดนไทย-เมียนมา ปี 2567
โดยส่วนมากจะถูกจับที่ด่านจังหวัดกาญจนบุรี สังขละบุรี จังหวัดตาก แม่สอด จังหวัดระนอง แนวชายแดนตอนใต้ แนวชายแดนไทย-มาเลเซีย และภาคกลางบนถนนไฮเวย์ ผู้ที่ถูกจับดังกล่าวจะถูกดำเนินคดีตามกฏหมายแล้วส่งกลับเมียนมา ซึ่งมีกรณีที่เมื่อถูกส่งกลับเมียนมาแล้วโดนบังคับให้เกณฑ์ทหาร เช่น กรณีที่เกาะสอง เป็นต้น
ปัจจุบัน ชาวเมียนมาในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก คือ
- กลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบ ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง ซึ่งเข้ามาตั้งแต่ช่วง 2527 อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย ประมาณ 7 หมื่นกว่าคน
- กลุ่มผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา (Myanmar People Fleeing the Unrest) ซึ่งเดินทางเข้ามาใน ไทยภายหลังการรัฐประหารของเมียนมาที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน ซึ่งอยู่ภายใต้แนวทางที่สภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนด
- กลุ่มที่ผู้หนีภัยความไม่สงบ ซึ่งเดินทางเข้ามาภายหลังรัฐประหารของเมียนมา ที่อยู่ภายนอกพื้นที่ที่รัฐจัดให้ ยังไม่มีนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
- แรงงานข้ามชาติ ประมาณ 3 ล้านกว่าคน
ข้อกังวลหลักของกลุ่มผู้หนีภัยในแม่สอดคือ การที่ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า พวกเขาจะไม่ถูกส่งกลับประเทศต้นทาง กลัวการถูกข่มเหง ทำให้ผู้ลี้ภัยกลุ่มใหม่ราว 62.5% เลือกที่จะจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อแลกกับการได้อยู่ชั่วคราวและไม่ถูกจับ 17% พยายามยื่นขอเอกสารอื่นๆ และ 19.5% อยู่อาศัยโดยไม่มีเอกสารใดๆ
สิ่งที่ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ต้องการเร่งด่วนคือ
- การคุ้มครองทางกฎหมาย เพราะการไม่มีสถานะทางกฎหมาน เสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบ รวมถึงการถูกปฏิเสธการเข้าถึงบริการต่างๆ เช่น การรักษาพยาบาล การศึกษา
- ที่อยู่อาศัย เนื่องจากค่าที่พักในเมืองเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยต้องอาศัยกันอย่างแออัดและไม่ปลอดภัย
- โอกาสการจ้างงาน การขาดใบอนุญาตทำงาน ทำให้ผู้ลี้ภัยเข้าสู่ตลาดแรงงานนอกระบบ
- การเข้าถึงบริการสุขภาพ ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านภาษาและข้อกำหนดด้านเอกสาร
- การศึกษา เด็กผู้ลี้ภัยจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่เป็นทางการได้ และต้องพึ่งพาโรงเรียนในชุมชน
ที่มา: Myanmar Response Network (MRN)