ธุรกิจ Fast Fashion ความเร็วที่ทำให้โลกเกิดความไม่ยั่งยืน จากปัจจัยที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายระดับ...
สำนักวิจัย Research and Markets คาดการณ์ว่า "ธุรกิจ Fast Fashion" ในปี 2023 จะขยายตัวแตะระดับ 122,000 ล้านดอลาร์สหรัฐ (4.3 ล้านล้านบาท) โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) 15.6% และคาดว่าภายในปี 2027 ตลาดจะขยายตัวได้ถึง 184,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6.5 ล้านล้านบาท) และมี CAGR 10.7%
ภายใต้การผลิตเสื้อผ้าใหม่ออกสู่ตลาดมากกว่า 100,000 ล้านชิ้นต่อปี โดยมี “ตลาดยุโรปตะวันตก” เป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่พร้อมโอบรับ “ธุรกิจที่กำลังเบ่งบานนี้” ส่วนอันดับที่ 2 คือ “ตลาดเอเชียแปซิฟิก”
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajW77UjLjmcUog3bKZjEBbxKDHRGID.jpg)
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ “ธุรกิจ Fast Fashion” เติบโตได้อย่างต่อเนื่องเป็นเพราะปัจจุบัน “กลุ่มเยาวชน” (Youth) อายุ 15-24 ปี ซึ่งหากอ้างอิงตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่ามีอยู่ประมาณ 1,200 ล้านคนทั่วโลก หรือคิดเป็น 16% ของจำนวนประชากรโลก มีความต้องการเสื้อผ้าที่ “ตอบโจทย์” เรื่องการออกแบบที่ต้องโดดเด่นไม่เหมือนใคร เข้าถึงเทรนด์แฟชั่นได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญต้องมีราคาจับต้องได้
...
บรรทัดด้านบนทั้งหมดนั้นคือ “ผลดี” ที่ชาวโลกได้รับจากธุรกิจ Fast Fashion อย่างไรก็ดีภายใต้การขยายตัวของธุรกิจ Fast Fashion ที่ว่านี้...ในอีกมุมหนึ่งย่อมมี “ราคาที่ชาวโลกต้องจ่าย” ด้วยเช่นกัน "โดยเฉพาะประเด็นปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม"
อะไรคือ...ผลกระทบที่เกิดจากธุรกิจมูลค่า 4.3 ล้านล้านบาทที่ว่านี้กันบ้าง? วันนี้ “เรา” ลองไปร่วมกันรับฟัง “ข้อมูล” ต่างๆ มาประกอบการพิจารณาในเรื่องนี้ร่วมกัน!
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajW77UjLjmcUog3cfaTftejmUAxbNz.jpg)
ราคาที่ชาวโลกต้องจ่ายให้กับธุรกิจ Fast Fashion :
จากรายงานวิจัย The environmental price of fast fashion ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงบนวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อดัง Nature ระบุว่าในทุกๆ กระบวนการผลิต “เสื้อผ้า” เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรม Fast Fashion ได้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นจากจุดเริ่มต้น คือ การใช้น้ำและสารเคมีเพื่อทำไร่ฝ้ายสำหรับนำไปผลิตเส้นด้ายและสิ่งทอ เรื่อยไปจนกระทั่งถึงการปล่อย “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” หรือ Co2 ในระหว่างกระบวนการผลิต หรือแม้กระทั่ง “เสื้อผ้าเหล่านี้” ซึ่งอาจจะถูกสวมใส่เพียงแค่ครั้งเดียว หรือไม่เคยถูกสวมใส่เลย ได้ถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะกองมหึมาที่ย่อยสลายได้ยากในท้ายที่สุด!
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajW77UjLjmcUog3cn3oHgHbzZ3cQba.jpg)
Fast Fashion กับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม :
1. น้ำ :
จากรายงานของ The environmental price of fast fashion ระบุว่า ณ ปี 2015 อุตสาหกรรมแฟชั่นโลกใช้น้ำในปริมาณมากถึง 93 ล้านล้านลิตร สำหรับการปลูกฝ้ายและกระบวนการผลิตสิ่งทอ (การฟอกสี, การย้อมสี, การพิมพ์ และการตกแต่งสำเร็จ) ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำเฉลี่ยต่อปี สำหรับการผลิตสิ่งทอนั้นปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ย 44 ล้านล้านลิตรต่อปี หรือคิดเป็น 3% ของปริมาณการใช้น้ำเพื่อการชลประทานทั่วโลก!
และเพื่อให้สามารถมองภาพปริมาณการใช้น้ำสำหรับกระบวนการผลิตที่ว่านี้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น รายงานดังกล่าวได้มีการเปรียบเทียบการใช้น้ำสำหรับการผลิตเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า...
สำหรับกระบวนการผลิตเสื้อเชิ้ต 1 ตัว จำเป็นต้องใช้น้ำเฉลี่ยประมาณ 2,649 ลิตร! ส่วนกางเกงยีนส์ 1 ตัวจะมีปริมาณการใช้น้ำเฉลี่ยในกระบวนการผลิตประมาณ 7,570 ลิตร!
...
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajW77UjLjmcUog3be0d07u5SEnIukY.jpg)
ซึ่งปริมาณการใช้ทรัพยากรน้ำที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าย่อมต้องส่งผลกระทบให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคในพื้นที่ที่ถูกใช้เป็นแหล่งผลิตสิ่งทอเพื่อป้อนให้กับ "อุตสาหกรรม Fast Fashion" โดยเฉพาะฐานการผลิตที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ และศรีลังกา
นอกจากทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภคและบริโภคแล้ว การใช้สารเคมีในระหว่างกระบวนการผลิตยังทำให้เกิดน้ำเสียที่ไม่ได้ผ่านการบำบัดที่เหมาะสม ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสำคัญๆ รวมถึงไหลซึมลงสู่ใต้ดินจนกระทั่งทำให้ระบบนิเวศในพื้นที่เสื่อมโทรมด้วย โดยงานวิจัยของ The environmental price of fast fashion ระบุว่า กระบวนการผลิตสิ่งทอป้อนธุรกิจ Fast Fashion ได้ทำให้เกิดมลพิษทางน้ำสูงถึง 60% ในประเทศกัมพูชา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสิ่งทอสำคัญของโลก
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajW77UjLjmcUog3bTO8rc18sJptxgG.jpg)
...
2. มลพิษ :
"ปรากฏการณ์เรือนกระจก"
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental panel on Climate Change) หรือ IPCC ประมาณการณ์ว่า “อุตสาหกรรมสิ่งทอ” เป็นตัวการที่ผลิต “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” หรือ Co2 ซึ่งนำไปสู่ "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" (Greenhouse Effect) ซึ่งทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 10% ต่อปี
ในขณะที่งานวิจัยของ Quantis บริษัทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดัง ระบุว่า ในปี 2016 สัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 8.1% ต่อปี
หากแต่ในการหารือตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อปี 2018 นั้นมีการประเมินว่าอุตสาหกรรม Fast Fashion ที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ นี้อาจจะกลายเป็นตัวการที่เร่งการปล่อย Co2 มากถึง 60% ได้ภายในปี 2030
โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ “อุตสาหกรรมสิ่งทอ” ผลิต “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” ออกมาในปริมาณสูงนั้นเป็นเพราะในระหว่างกระบวนการผลิตโดยเฉพาะการสกัดใยผ้าและเส้นใยสังเคราะห์ต้องใช้ความร้อนสูง รวมถึงขั้นตอนการขนส่งนั้นจำเป็นต้องอาศัยพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหินจำนวนมาก
ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ Changing Markets Foundation องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ระบุว่า เฉพาะในกระบวนการผลิตเส้นใยสังเคราะห์จากสารเคมีในแต่ละปีนั้น จำเป็นต้องใช้พลังงานฟอสซิล (น้ำมัน) ถึง 1,300 ล้านบาร์เรลต่อปี หรือคิดเป็น 1.35% ของปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลก
...
![](https://static.thairath.co.th/media/PZnhTOtr5D3rd9oc9sCzi85RxEw9RVy6uUZFnnqJATYT1Nj.jpg)
"ระบบนิเวศและความเสี่ยงต่อมนุษย์"
มีการประเมินว่า “อุตสาหกรรมสิ่งทอ” จำเป็นต้องใช้สารเคมีรวมกันมากกว่า 15,000 ชนิด ในระหว่างกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นทั้ง ยาฆ่าแมลง สารกำจัดวัชพืช สารควบคุมการเจริญเติบโต สารดูดความชื้น สารกำจัดใบ สารฆ่าเชื้อรา
ซึ่งการใช้สารเคมีจำนวนมากมายขนาดนี้ เฉพาะเพียงขั้นตอนการปลูกไร่ฝ้าย นอกจากทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดินลดลงแล้วยังมีผลกระทบต่อมนุษย์ในแง่ของการทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น ทำให้เกิดปัญหาด้านระบบสืบพันธุ์ เช่น ภาวะมีบุตรยาก การแท้งบุตร หรือการพิการตั้งแต่กำเนิด หรือเลวร้ายที่สุดอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตได้
![](https://static.thairath.co.th/media/PZnhTOtr5D3rd9oc9sCzi85RxEw9RVy6uXq5KZbL6lVffmv.jpg)
"ไมโครพลาสติกในสิ่งทอ"
อ้างอิงจากรายงานของ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับยุโรป (United Nations Economic Commission for Europe) หรือ UNECE และ Ellen MacArthur Foundation มีการประเมินว่า "เส้นใยสังเคราะห์" เช่น โพลีเอสเตอร์ อะคริลิค และไนลอน ซึ่งถูกใช้เป็นวัสดุสำคัญในการผลิตเสื้อผ้าในยุคปัจจุบัน โดยคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 60% เนื่องจากมีราคาถูกนั้น ตั้งแต่กระบวนการผลิต การสวมใส่ โดยเฉพาะการซักทำความสะอาด จะทำให้ “ไมโครพลาสติกปฐมภูมิ” (Primary Microplastic) ในเส้นใยสังเคราะห์เหล่านั้นซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร เล็ดลอดออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติและลอยปะปนอยู่ในทะเลมากถึง 500,000 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 35% ของจำนวนไมโครพลาสติกทั้งหมดที่ถูกค้นพบในมหาสมุทรแต่ละปี
ซึ่ง “ไมโครพลาสติก” เหล่านี้นอกจากเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ยากซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศแล้ว หากเกิดเข้าสู่ระบบห่วงโซ่อาหารจนกระทั่งเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ในปริมาณสูง มีความเสี่ยงที่จะทำเกิดโรคมะเร็ง หรือทำให้ขัดขวางการทำงานของเส้นเลือดได้ด้วย
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04ajW77UjLjmcUog3bPILCXs3KzrE94s.jpg)
"ปริมาณขยะ"
ในการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Assembly) เมื่อปี 2019 มีการระบุว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นได้ทำให้เกิดขยะที่มีมูลค่ามากกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (17.6 ล้านล้านบาท) ในทุกๆ ปี จากการใช้ประโยชน์จากเสื้อผ้าน้อยเกินไป และขาดการนำกลับไปรีไซเคิล
โดยปริมาณขยะจากสิ่งทอนี้คิดเป็นค่าเฉลี่ยสูงถึง 92 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 7% ของปริมาณขยะทั้งหมดในพื้นที่ฝังกลบทั่วโลก ในขณะที่ปริมาณเสื้อผ้าที่ถูกนำกลับไปรีไซเคิลนั้นคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของปริมาณขยะสิ่งทอในแต่ละปีด้วย.
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง