• คาซูโยชิ มิอุระ ฉายานาม คิง คาซู (King Kazu) อดีตศูนย์หน้าทีมชาติญี่ปุ่น วัย 54 ปี จ่อทำสถิติค้าแข้งฤดูกาลที่ 36 ในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ กับสโมสร โยโกฮามา เอฟซี (Yokohama FC)
  • สโมสร โยโกฮามา เอฟซี ยื่นสัญญาฉบับใหม่แก่ คิง คาซู (King Kazu) แม้ว่าฤดูกาลที่แล้ว "กองหน้า" ผู้นี้ จะลงเล่นเพียง 4 นัด และยิงประตูไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว
  • คิง คาซู (King Kazu) เริ่มต้นเดินทางออกตามฝันตั้งแต่วัยเพียง 16 ปี ข้ามโลกไปเล่นฟุตบอลอาชีพถึงบราซิล แต่ตลอดชีวิตค้าแข้งไม่เคยสัมผัสกลิ่นอาย "ฟุตบอลโลก" เลย

เมื่อถึงวันที่ "คุณ" อายุ 54 ปี เคยมีสักเศษเสี้ยวในจินตนาการบ้างหรือไม่ว่า ณ เวลา นั้น "คุณ" กำลังสวมสตั๊ดแย่งบอลกับ "ไอ้หนุ่มคราวหลาน" บนฟลอร์หญ้าเขียวขจี แถมมันยังไม่ได้เป็นการเล่นฟุตบอลกับโกลรูหนู หรือการเช่าสนามหญ้าเทียมเตะกันเล่นเอาสนุก เพื่อรื้อฟื้นความหลังครั้งวัยเยาว์ เพียง 1 หรือ 2 ชั่วโมง แต่มันเป็นสังเวียนแข้งในระดับอาชีพที่ดีที่สุดลีกหนึ่งของทวีปเอเชีย

มันคงเป็นเรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อใช่หรือไม่? "คุณ" คงคิดในใจ

แต่ทั้งหมดที่ "คุณ" อ่านไปตามบรรทัดด้านบนนั้น "มันคือเรื่องจริง" ของ "ชายผู้เป็นตำนาน"

...

ฮิเดโตชิ นากาตะ (Hidetoshi Nakata) อาจปลุกให้วัยรุ่นญี่ปุ่นยุค 90 เชื่อว่า นักเตะสัญชาติญี่ปุ่นสามารถสร้างชื่อและคว้าแชมป์ในลีกยุโรปได้

ชินจิ โอโนะ (Shiji Ono) อาจทำให้วัยรุ่นญี่ปุ่นขนลุกไปกับเทคนิคการเล่นฟุตบอลอันเพริศแพร้ว และเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นอัจฉริยะ

หรือ ชุนสุเกะ นากามูระ (Shunsuke Nakamura) อาจทำให้วัยรุ่นญี่ปุ่นเชื่อได้สนิทใจเลยว่า บนดินแดนปลาดิบมีคนที่สามารถหวดฟรีคิกได้แม่นยำ ราวกับจับวางในระนาบเดียวกับ เดวิด เบคแคม หรือ โรแบร์โต คาร์ลอส นั่นเลย!

แต่ยอดนักฟุตบอลและสมบัติล้ำค่าแห่งยุคทอง (Golden Generation) ของญี่ปุ่นทั้ง 3 คนนี้ มิอาจมีบารมีเหนือชายวัยย่างเข้า 54 ปี ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักฟุตบอลอาชีพที่อายุมากที่สุดในโลกผู้นี้ได้

King Kazu คือ ฉายาที่บ่งบอกถึง "อะไรทำนองนั้น" ดังที่ร่ายยาวมาเหยียดยาวจนถึงบรรทัดนี้

King Kazu คือ ฉายาของ คาซูโยชิ มิอุระ (Kazuyoshi Miura) ชายผู้ที่กำลังจะอายุครบ 54 ปี ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2021 โดยอดีตศูนย์หน้าทีมชาติญี่ปุ่นจะทำสถิติการค้าแข้งเป็นฤดูกาลที่ 36 ในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ กับสโมสรโยโกฮามา เอฟซี (Yokohama FC) ในฟุตบอลเจลีกฤดูกาลใหม่ที่ใกล้จะเปิดฤดูกาล

โดยเมื่อเดือนกันยายน ปี 2020 "คาซู" ในวัย 53 ปี 210 วัน เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักฟุตบอลอาชีพที่อายุมากที่สุดในโลกที่ได้ลงแข่งขัน หลังสวมปลอกแขนกัปตันพาทีมโยโกฮามา เอฟซี ลงฟาดแข้งกับสโมสรคาวาซากิ ฟรอนตาเล โดยเขาใช้เวลาบนสังเวียนแข้งในศึก J1 อันเข้มขลัง นานถึง 53 นาที ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออก

"ผมจะลงเล่นให้มากขึ้นในฤดูกาลนี้ และจะทำงานอย่างหนักในทุกๆ วัน เพื่อมีส่วนร่วมในชัยชนะของสโมสร" ยอดนักเตะรุ่นเก๋ากล่าวด้วยความหนักแน่นเพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง

Return Of the King บัญชีทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของเจลีก ทวีตให้เกียรติต้อนรับชายผู้เป็นตำนาน พร้อมกับนำหมายเลข 11 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขามาใช้ประกอบในทวิตดังกล่าวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเวลา 11.11 น. หรือวันที่ 11 มกราคม หลังได้รับการยืนยันว่า หมายเลข 11 แห่งตำนานได้รับการต่อสัญญาอีก 1 ปี

Twitter: @J_League_En

...

กับวัยที่มากถึง 54 ปี เมื่อเจลีกฤดูกาลใหม่เริ่มต้น ย่อมมีคำถามตามมามากมายว่า เหตุใดสโมสรโยโกฮามา เอฟซี จึงยังยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้กับ "กองหน้า" ที่ฤดูกาลที่แล้ว (2019-2020) ลงเล่นไปเพียง 4 นัด และยิงประตูไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว

แต่นั่นคงไม่เท่ากับการที่ตำนานนักเตะญี่ปุ่นผู้นี้ ยืนยันว่า เขายังไม่มีความคิดที่จะยุติการค้าแข้ง!

คาซู โยชิมิอูระ เข้าร่วมสังกัดโยโกฮามา เอฟซี มาตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งนั่นแปลว่า เขาอยู่กับสโมสรแห่งนี้มายาวนานถึง 16 ปีเข้าให้แล้ว ในฐานะนักเตะอาชีพ และ ณ สโมสรแห่งนี้เอง ที่ทำให้ "คาซู" ในวัย 50 ปี 14 วัน สามารถลบสถิติที่ยืนยงมาครึ่งศตวรรษ (ปี 1965) ของเซอร์สแตนลีย์ แมทธิวส์ ตำนานนักเตะของเมืองผู้ดี ในฐานะนักเตะที่อายุมากที่สุดในโลกที่สามารถยิงประตูได้ในระดับการเล่นอาชีพ ลงได้สำเร็จเมื่อปี 2017 และประตูนั้นยังถือเป็นประตูล่าสุดที่เขาสามารถทำได้ด้วย

และแน่นอน ปัจจุบันด้วยวัยที่สูงถึง 54 ปี เมื่อฟุตบอลเจลีกปีนี้เริ่มต้นในฤดูกาลนี้ "คาซู" ย่อมไม่ใช่นักเตะตัวหลักของโยโกฮามา เอฟซี แน่นอน โดยในระยะหลังๆ เขา จะลงเล่นเพียงไม่กี่นัดต่อฤดูกาล ยกเว้นปี 2016 ที่ได้ลงเล่นรับใช้ต้นสังกัด รวมกันมากถึง 20 นัด

...

ในเมื่อสามารถใช้งานในสนามได้เพียงน้อยนิด หรือในฐานะกองหน้าก็ยิงประตูได้จำกัดจำเขี่ยเหลือหลาย แล้วเหตุใด โยโกฮามา เอฟซี จึงยังยื่นสัญญาใช้บริการ "King Kazu" ต่อไปกันล่ะ?

King Kazu ผู้มีบารมีเหนือวงการฟุตบอลญี่ปุ่น

สำหรับชาวญี่ปุ่น "คาซู" คือ "พระเจ้า" คือ "สมบัติล้ำค่าของประเทศ" คือ "Cultural Icon"

ด้วย Story เบื้องหลังอันแข็งแกร่งของหนุ่มน้อยวัยเพียง 16 ปี ผู้หาญกล้าละทิ้งบ้านเกิดเพื่อทำตามความฝัน พาตัวเองคนเดียวเดินทางข้ามโลกไปเล่นฟุตบอลอาชีพในประเทศอันดับหนึ่งเรื่องศาสตร์ลูกหนังอย่างบราซิล และเมื่อบวกด้วยภาพลักษณ์สุด POP จากท่าเต้นฉลองการยิงประตูสไตล์แซมบ้า ที่มีชื่อเรียกว่า "Kazu Dance" มันสามารถปลุกวงการฟุตบอลญี่ปุ่นให้ตื่นขึ้นจากการเป็นเบี้ยล่างให้กับกีฬาอันดับหนึ่งตลอดกาลของเมืองอาทิตย์อุทัยอย่างเบสบอลได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อฟุตบอลลีกอาชีพของญี่ปุ่นเริ่มตั้งไข่ในช่วงยุค 90

...

และนั่นถือเป็นช่วงเวลาอันแสนรุ่งโรจน์ของ King Kazu อย่างแท้จริง "คาซู" คือ สตาร์อันดับหนึ่งของลีกอย่างชนิดไม่มีนักเตะญี่ปุ่น หรือนักเตะต่างชาติคนใดทาบติด ทั้งๆ ที่ในจำนวนนั้น มีชื่อของดาวเตะระดับดาวซัลโวฟุตบอลโลกอย่าง แกรี ลินิเกอร์ (ดาวซัลโวฟุตบอลโลกปี 1986) หรือ ซัลวาตอเร สคิลลาชี (ดาวซัลโวฟุตบอลโลกปี 1990) ที่ถูกซื้อตัวมาเพื่อหวังโปรโมตเจลีก ณ เวลานั้น รวมอยู่ด้วยก็ตาม

ทั้งหมดนั้น คือ แรงผลักให้ "คาซู" กลายเป็นฮีโร่ของประเทศและกลายที่รู้จักในระดับนานาชาติ รวมถึงกลายไอคอนของวงการฟุตบอลญี่ปุ่นตราบจนถึงปัจจุบัน

และถึงแม้ว่าในเวลาต่อมา ดินแดนปลาดิบจะสามารถผลิตยอดนักเตะที่ประสบความสำเร็จจนถึงขั้นสามารถคว้าแชมป์ในลีกยุโรป อย่าง ฮิเดโตชิ นากาตะ, ชินจิ คางาวะ, ชินจิ โอโนะ, เคซูเกะ ฮอนดะ, ชุนสุเกะ นากามูระ, ชินจิ โอกาซากิ ขึ้นมาได้ แต่ก็ยังคงไม่มีใครที่จะมีบารมีลอยเด่นอยู่เหนือกว่า The King ในสายตาของชาวญี่ปุ่นไปได้

นั่นเป็นเพราะสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว "King Kazu" คือ ตัวแทนของ ฟุตบอลสมัยใหม่ (Modern Football) ผู้ก้าวเข้ามายกระดับให้วงการฟุตบอลญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นหัวแถวของเอเชียได้เหมือนเช่นทุกวันนี้

ถึงแม้ว่า...ตลอดชีวิตการค้าแข้งอันยาวนาน "คาซู" จะไม่เคยมีโอกาสได้ไปสัมผัสกลิ่นอายของ "ฟุตบอลโลก" เลยสักครั้งก็ตาม!

ประสิทธิภาพการค้าแข้งของชายวัย 54 ปี บนลีกอาชีพที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย

"คาซู" จรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของ โยโกฮามา เอฟซี ตั้งแต่อายุ 38 ปี (ปี 2005) ทำสถิติลงเล่น 293 นัด ทำประตูได้ 27 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูรวม 3 ครั้ง

โดยสถิติการลงเล่น 6 ปีหลังสุด เฉพาะในฟุตบอลลีก คือ...

ปี 2015 (J2) ลงเล่นรวม 16 นัด (รวมเวลาในการเล่น 682 นาที) ยิง 3 ประตู

ปี 2016 (J2) ลงเล่นรวม 20 นัด (รวมเวลาในการเล่น 639 นาที) ยิง 2 ประตู

ปี 2017 (J2) ลงเล่นรวม 12 นัด (รวมเวลาในการเล่น 451 นาที) ยิง 1 ประตู

ปี 2018 (J2) ลงเล่นรวม 9 นัด (รวมเวลาในการเล่น 56 นาที)

ปี 2019 (J2) ลงเล่นรวม 3 นัด (รวมเวลาในการเล่น 109 นาที)

ปี 2020 (J1) ลงเล่นรวม 4 นัด (รวมเวลาในการเล่น 67 นาที)

ตามสถิตินี้จะเห็นได้ชัดว่า "คาซู" เริ่มถดถอยลงตามอายุขัย ในขณะที่ ทั้งจำนวนประตูที่ยิงได้หรือจำนวนเวลาที่จะได้ลงสนาม ก็จะเป็นการลงเล่นในระดับ J2 ซึ่งไม่ใช่การลงเล่นในระดับ J1 ด้วย

เช่นนี้แล้ว เหตุใด โยโกฮามา เอฟซี จึงยังคงหยิบยื่นสัญญาให้กับ "คาซู" ทุกปีๆ

คราบไคลความเป็น "ตำนานนักเตะ" ที่ไม่เคยจางหาย และการรักษาภาพลักษณ์อันยอดเยี่ยม

ฌอน แคร์โรล (Sean Carroll) นักข่าวกีฬาชื่อดังของญี่ปุ่น ให้ความเห็นในประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า...

"ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว ทั้งในแง่ของจำนวนผู้สูงอายุ และค่าเฉลี่ยอายุขัย ด้วยเหตุนี้ มันจึงแทบไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ค่าเฉลี่ยอายุของนักฟุตบอลอาชีพจะถูกยืดออกไป ไม่เชื่อลองดูลิสต์รายชื่ออดีตนักเตะชื่อดังที่ยังค้าแข้งอยู่ในฟุตบอลลีกของญี่ปุ่นดูสิ ชุนสุเกะ นากามูระ, ชินจิ โอโนะ หรือ ยาซูฮิโตะ เอ็นโดะ ดาวเตะรุ่นน้องของคาซู ปัจจุบันก็อยู่ในวัย 40 ปี กันแล้วทั้งสิ้น

นอกจากนี้ ระบบอาวุโสที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นในสังคมญี่ปุ่น มันยิ่งเกื้อหนุนให้คนระดับ King Kazu มีความพิเศษเหนือกว่าปกติเข้าไปอีก เขาจึงจะได้สัญญาใหม่ทุกปีตราบเท่าที่เขายังคงต้องการ ท่ามกลางการเติม Story ต่อท้ายไปเรื่อยๆ โดยบรรดาแฟนๆ และสื่อมวลชน ทั้งหลายในทำนองที่ว่า การมีคาซูเอาไว้ในทีมก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในห้องแต่งตัวกับนักเตะรุ่นน้อง รวมถึงเขายังคงทำงานของตัวเองอย่างหนัก เพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการฟุตบอลญี่ปุ่น ซึ่งเหล่านี้คือ วัฒนธรรมตามแบบฉบับของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง"

ในขณะที่ มาซายูกิ ทานาเบะ (Masayuki Tanabe) อีกหนึ่งนักข่าวสายกีฬาชื่อดังของญี่ปุ่น ให้ความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า "เห็นได้ชัดว่า ที่ผ่านมาการปรากฏตัวในสนามแต่ละครั้งของคาซู สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนชั้นดีให้กับบรรดานักเตะของโยโกฮามา เอฟซี ที่กำลังฟาดแข้งได้ทุกครั้ง

นอกจากนี้ ปรากฏการณ์นอกสนามของคาซู ยังสามารถช่วยผลักดันให้สโมสรสามารถสร้างรายได้เชิงพาณิชย์จากชื่อเสียงของ ชายผู้เป็นตำนานแห่งวงการฟุตบอลญี่ปุ่นได้อย่างมหาศาล รวมถึงยังทำให้สโมสรเล็กๆ แห่งนี้ มีเสน่ห์เย้ายวนใจมากพอสำหรับการดึงดูดนักเตะชื่อดังให้กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ของทีมได้ด้วย"

อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว หากใครยังนึกไม่ออกว่าชื่อเสียงของ "King Kazu" ยิ่งใหญ่ขนาดไหนในญี่ปุ่น

งั้นเอาเป็นว่า...แม้วัยจะล่วงเลยขึ้นเลข 5 แล้ว แต่ปัจจุบันสารพัดแบรนด์ชื่อดังของญี่ปุ่น ตั้งแต่กาแฟ ยันร้านเสริมหล่อท่านชาย ยังคงใช้บริการ "คาซู" เป็นพรีเซ็นเตอร์ทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง จากภาพลักษณ์สปอร์ตแมนฮีโร่ของประเทศที่ปราศจากไขมัน จากการที่เจ้าตัวยังคงมุ่งมั่นเรื่องการออกกำลังกายตามมาตรฐานนักกีฬาอาชีพอย่างชนิดไม่มีตกหล่นแม้แต่วินาทีเดียว จนสามารถรักษาหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ และได้รับการยกย่องจากบรรดานักเตะคราวหลานอยู่เสมอๆ

นอกจากนี้ การที่มักชอบโชว์ภาพพาภรรยาและลูก พร้อมกับเทรนเนอร์ส่วนตัวไปยังเกาะกวมในช่วงปิดฤดูกาลเป็นประจำ ยังช่วยให้ภาพลักษณ์สปอร์ตแมนของเขามีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

ในขณะที่ ภาพลักษณ์สุดยอดนักเตะของคาซูนั้น ปัจจุบัน เขาไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากโฆษกอย่างไม่เป็นทางการของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเกิดประเด็นปัญหาอะไรเกี่ยวกับวงการฟุตบอล "คาซู" คือ คนแรกๆ ที่ผู้สื่อข่าวจะวิ่งไปขอความเห็นอยู่เสมอๆ

หากแต่สิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่า "ชาญฉลาดที่สุด" ในแง่ของการทำตัวให้เป็นจุดสนใจเพื่อให้เกิดกระแสในตัวเขาได้อย่างต่อเนื่องก็คือ ทุกๆ ต้นเดือนมกราคมของทุกปี "คาซู" มักจะออกมาประกาศการตัดสินใจที่จะค้าแข้งต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งทุกๆ ครั้ง มันจะประสบความสำเร็จในแง่การทำตัวให้เป็นข่าวได้เสมอๆ

"ผมมั่นใจว่า คาซูมีทั้งชื่อเสียงและเงินทองมากพอแล้ว ฉะนั้น การที่เขายังสมัครใจที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพต่อไป มันคงมีเหตุผลเดียว นั่นก็คือ เขาหลงใหลการเล่นฟุตบอล เพราะมันไม่มีเหตุผลอื่นใดอีกแล้วที่จะให้ เขา สวมสตั๊ดลงสู่สนามอีก ฉะนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่เราจะเห็นคาซูสวมสูทสีฉูดฉาด ยิ้มโชว์กล้องพร้อมจุดเทียนเค้กวันเกิดเป็นประจำในทุกๆ ปี สำหรับงานแถลงข่าวต่อสัญญานักเตะอาชีพฉบับใหม่" มาซายูกิ ทานาเบะ ให้ความเห็นส่งท้าย

ซึ่งมันสอดคล้องกับวรรคทองที่ว่า...

"ใช่ ผมยังรู้สึกสนุกกับการได้เล่นฟุตบอล ในทุกๆ ช่วงเวลา หากจะว่ากันจริงๆ แล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกสนุกมากกว่าตอนที่ไปเล่นอาชีพที่บราซิลเสียอีก" The King แห่งวงการฟุตบอลญี่ปุ่น กล่าวถึงโมเมนต์การเล่นฟุตบอลเมื่อเร็วๆ นี้

มองผ่านเลนส์นอกวิถีชาวญี่ปุ่น คาซู โยชิ มิอุระ เก่งแค่ไหน?

วิทยา เลาหกุล หรือ "โค้ชเฮง" อดีตยอดนักเตะของไทย ผู้เคยผ่านการค้าแข้งทั้งในเยอรมนี และญี่ปุ่น รวมถึงเคยทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนให้กับสโมสรกัมบะ โอซากา ทีมในระดับ J1 มาแล้ว ดูจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการวิเคราะห์ประเด็นนี้

"หากจะว่ากันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า คาซูเป็นกองหน้าที่เก่งในระดับหนึ่ง แต่หากให้ผมบอกว่าเก่งแค่ไหน ผมคงบอกได้แค่ว่า หากเทียบกับ "เดอะตุ๊ก" ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน กองหน้าในตำนานของเรา ในความเห็นส่วนตัวผมว่า ปิยะพงษ์ของเราเก่งกว่า!" สิ้นคำ เฮงซังก็หัวเราะด้วยความชอบใจ

"คือเหตุผลเพราะแบบนี้" ตำนานนักเตะไทย ทิ้งระยะไว้ชั่วครู่ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบต่อไปว่า...

"สมัยก่อน ผมเคยพา นที ทองสุกแก้ว โคตรเซ็นเตอร์แบ็กทีมชาติไทย ไปลองเล่นที่ญี่ปุ่น มีอยู่นัดหนึ่งได้เจอกับทีมเวอร์ดี คาวาซากิ (ปัจจุบันคือทีมโตเกียว เวอร์ดี) ซึ่งก็มีคาซูร่วมทีมมาด้วย ปรากฏว่า บรรดายอดนักเตะของเวอร์ดี คาวาซากิ ไม่ว่าจะเป็น คาซู หรือคู่หูอย่าง รุย รามอส ไม่มีใครสามารถเลี้ยงบอลผ่านนทีของเราไปได้สักคนเดียว ซึ่งหลังจากนัดนั้นเป็นต้นมา นทีของเรานี่ถือว่า ได้รับการยอมรับอย่างสูงมากจากบรรดานักเตะของญี่ปุ่น

แต่จุดแข็งของคาซู คือ เป็นคนที่มีความขยันทุ่มเทในการฝึกซ้อมมากๆ รวมถึงมีระเบียบวินัยในฐานะนักเตะอาชีพที่น่ายกย่อง ซึ่งการดูแลร่างกายที่ยอดเยี่ยมบวกกับไม่เคยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักมาก่อน จึงทำให้คาซูยังสามารถลงเตะในระดับอาชีพได้ แม้ล่วงเลยเข้าเลข 5 แล้วก็ตาม

นอกจากนี้ ผมเชื่อว่า การที่ทีมโยโกฮามา เอฟซี ยังคงต่อสัญญาให้กับคาซูอย่างต่อเนื่องนั้น ผมเชื่อว่า ทีมคงต้องการให้คาซูเป็นผู้สร้างแรงผลักดันทั้งในและนอกสนาม รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับบรรดานักเตะรุ่นน้องในทีมมากกว่าที่จะเห็นเขาทำประตูให้กับทีม เพราะไม่ว่าอย่างไร บารมีเฉพาะตัวของคาซูยังคงอยู่เหนือวงการฟุตบอลของญี่ปุ่นไปอีกนาน

อีกอย่าง คือ การว่าจ้างนักเตะที่อายุเกิน 32-33 ปีไปแล้วนั้น สำหรับฟุตบอลญี่ปุ่น ค่าจ้างมักจะไม่สูงมากนัก ฉะนั้น การยื่นสัญญาให้กับคาซูค้าแข้งต่อไป แต่ผลลัพท์ที่ได้ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทีมโดยเฉพาะกับนักเตะเยาวชน หรือการสร้างรายได้ให้กับทีมจากบรรดาผู้สนับสนุน เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากกว่าแน่นอน!" อดีตยอดมิดฟิลด์ทีมชาติไทย กล่าวทิ้งท้าย.

ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: