“คนที่มีความรู้จะขายสติปัญญา แต่เราขายร่างกายของเรา เราทำงานหนักมากด้วย แล้วมันผิดตรงไหน ทำไมจึงต้องคัดค้านการทำมาหากินของเรา ทำไมถึงมีแต่อาชีพของเราที่ถูกมองว่าผิดศีลธรรม ผู้ชายจากถิ่นคุณมาหาเราถึงที่เอง แต่ย่านที่เราอยู่กลับมีชื่อเสีย ทำไมล่ะ ช่วยเคารพพวกเราบ้างเถอะ พวกเราไม่ได้เลือกปฏิบัติกับคนอื่น แต่ทำไมผู้คนถึงเลือกปฏิบัติกับเรา ทำไมเราถึงถูกกีดกันออกจากสังคมล่ะ?”
ที่ “คุณ” เพิ่งผ่านสายตาไป คือ "บทพูดอันทรงพลังและน่าจดจำ" ซึ่งกำลังเรียกเสียงเกรียวกราวในโลกโชเชียลมีเดียเวลานี้ ซึ่งมีที่มาจากภาพยนตร์ของดินแดนบอลลีวูด เรื่อง “หญิงแกร่งแห่งมุมไบ” หรือ ในชื่อภาษาอังกฤษคือ Gangubai Kathiawadi (คังคุไบ กฐิยาวาฑี)
บทพูดอันทรงพลังนี้ เป็นของผู้ใด :
บทพูดอันทรงพลังนั้นเป็นของคาแรกเตอร์ “คังคุไบ กฐิยาวาฑี” ตัวละครสำคัญในภาพยนตร์ “หญิงแกร่งแห่งมุมไบ” ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหนังสือเรื่อง Mafia Queen of Mumbai (ออกวางจำหน่ายในปี 2011) โดยนักข่าวที่มีชื่อว่า "ฮุสเซน ไซดี" (Hussain Zaidi) ซึ่งมีการอ้างอิงเรื่องราวจากชีวิตจริงของหญิงสาวที่มีชื่อว่า "คังคุไบ ฮาร์จีวันดัส" (Gangubai Harjeevandas) ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเปลี่ยนชื่อเป็น “คังคุไบ กฐิยาวาฑี” ในที่สุด
...
คังคุไบ กฐิยาวาฑี คือใคร :
หญิงสาวที่ถือกำเนิดในชนชั้นสูงของรัฐคุชราต ก่อนที่ในเวลาต่อมาโชคชะตาจะพลิกผัน จนกระทั่งได้รับฉายาว่า “มาดามแห่งกามธิปุระ” (Madam of Kamathipura) ในฐานะผู้มีอิทธิพลและได้รับความเคารพจากผู้คนในย่านโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดของนครมุมไบ ประเทศอินเดีย ในช่วงระหว่างปี 1950-1960
เหตุใด คังคุไบ กฐิยาวาฑี จึงได้รับความเคารพในฐานะ มาดามแห่งกามธิปุระ :
ตามตัวหนังสือของผู้เขียน คือ “ฮุสเซน ไซดี” บอกเล่าว่า ความพลาดพลั้งในช่วงวัยรุ่นได้เปลี่ยนให้เธอต้องกลายเป็นหญิงบริการโดยไม่เต็มใจ ได้พัฒนาความกร้าวแกร่งให้กับเธอ จนกระทั่งกลายเป็นผู้มีอิทธิพลแห่งย่านกามธิปุระ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ “คังคุไบ” ปฏิบัติกับเหล่าหญิงสาวในย่านโคมแดง กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเข้าใจประหนึ่งราวกับเป็นลูกสาวของเธอเองทุกคน โดยจะไม่มีการบังคับหญิงสาวคนใดให้ค้าประเวณีอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ “มาดามแห่งกามธิปุระ” ยังได้พยายามต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรม และความเสมอภาคให้กับเหล่าลูกสาวของเธอทุกคน ด้วยการเป็นแกนนำสำคัญในการผลักดันให้การค้าประเวณีถูกกฎหมายในประเทศอินเดียด้วย
“คุณปรบมือให้กับคำพูดของฉัน แต่มันก็ตลกดีนะ ที่สุดท้ายคุณก็ยังยืนกรานจะทำให้เราเป็นคนไร้บ้าน มิหนำซ้ำคุณยังไล่ลูกของเราออกจากโรงเรียนด้วย ฉันอยากจะถามอะไรสักหน่อย ตอบตามความจริงนะ ลูกๆ ของเราไม่มีสิทธิ์ได้รับการศึกษาหรือ ลูกหลานเราก็เหมือนลูกหลานคุณ พวกเขาก็เป็นอนาคตของอินเดียไม่ใช่หรือ เราควรมีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี”
อีกหนึ่งวรรคทองในสุนทรพจน์ที่ยังโจษจันไม่รู้จบ ซึ่ง "คังคุไบ กฐิยาวาฑี" กล่าวอย่างเข้มแข็งบนเวที ที่คราคร่ำไปด้วยผู้ทรงเกียรติทั้งจาก NGO ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิสตรีและนักการเมืองของอินเดีย ที่ อาซาดไมดาน (Azad Maidan) ของนครมุมไม จนกระทั่งทำให้ “เธอ” กลายเป็นคนดังของอินเดียในชั่วข้ามคืน จนกระทั่งได้มีโอกาสเข้าพบ “นายชวาหระลาล เนห์รู” นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้นด้วย
...
ด้านมืดของ คังคุไบ กฐิยาวาฑี :
หนังสือของ “ฮุสเซน ไซดี” ซึ่งส่วนใหญ่นำข้อมูลมาจาก "คำบอกเล่า" ของผู้คนในย่านกามธิปุระ เนื่องจากเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับประวัติส่วนตัวของเธอมีไม่มากนัก ได้ระบุตามตัวอักษรเอาไว้ว่า ในปีต่อมาหลังจากการกล่าวสุนทรพจน์อันลือลั่น “คังคุไบ กฐิยาวาฑี” ค่อยๆ หายไปจากแสงสปอตไลท์
โดย “เธอ” มักจะหลงใหลเครื่องประดับทอง และมักจะชื่นชอบการขับรถยนต์สุดหรูอย่างเบนท์ลีย์ไปยังสถานที่ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงคำบอกเล่าของหนึ่งในลูกบุตรธรรมของเธอด้วยว่า เธอเป็นคนที่มักนิยมดื่มสุราและเล่นการพนัน ขณะเดียวกัน ยังมีการอ้างคำบอกเล่าของคนในย่านกามธิปุระ (ซึ่งในหนังสือไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้) ซึ่งอ้างว่า “คังคุไบ กฐิยาวาฑี” มี “ด้านมืด” ในตัวของเธอเองเช่นกัน เพียงแต่ผู้คนเลือกที่จะ “ลืมมันไป” ก็เท่านั้น ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงในช่วงระหว่างปี 1975-1978
...
ข้อกล่าวหาการบิดเบือนข้อมูลที่มีต่อ คังคุไบ กฐิยาวาฑี :
ทั้งหมดที่ “คุณ” เพิ่งผ่านสายตาไปนั้น มีปรากฏทั้งในนิยายและภาพยนตร์ แม้ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วย “ด้านสว่าง” ให้กับ “มาดามแห่งกามธิปุระ” หากแต่คนในครอบครัว (เด็กๆที่ คังคุไบ กฐิยาวาฑี รับมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม) ไม่เห็นเช่นนั้นและนำไปสู่การฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท และร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้หยุดการฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เนื่องจากมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง
โดยทางครอบครัวยืนยันว่า “คังคุไบ กฐิยาวาฑี” ไม่ได้เป็น "โสเภณี" แต่เป็น “นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี” การกล่าวหาว่าเธอทำอาชีพเป็นโสเภณีทำให้ครอบครัวได้รับความเสียหาย และถือเป็นการ "บิดเบือนข้อมูล" พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการเปิดเผยแหล่งข้อมูลตัวบุคคลที่ “ฮุสเซน ไซดี” ใช้อ้างอิงในการเขียนหนังสือเล่มดังกล่าวอีกด้วย.
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
...