ข่าวคราวของ บัณฑิตสาวป้ายแดง ม.หอการค้า น.ส.ระภีภรณ์ นาสะอ้าน หรือ น้องมิน เกิดอาการป่วยกะทันหัน จนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ขณะเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศเกาหลีใต้ จนทำให้ใครหลายคน หันมาตระหนักถึงความปลอดภัยเวลาไปท่องเที่ยวในต่างแดนมากขึ้นนั้น หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก...

เพราะเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เรื่องราวชีวิตคล้ายๆ กัน ซึ่งหากใครได้อ่าน คงนึกว่าเป็น พล็อตซีรีส์เกาหลี มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว!

จู่ๆ แฟนหนุ่มเกิดหัวใจวายกะทันหัน ขณะเที่ยวกับแฟนสาว ซึ่งแม้จะรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ต้องอยู่ในสภาพนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ไม่รู้วันคืนว่า จะสามารถฟื้นกลับมาได้เมื่อไหร่ บนดินแดนแห่งความโรแมนติก ประเทศเกาหลีใต้

แต่แล้วปาฏิหาริย์แรก ก็เกิดขึ้นจริง แฟนหนุ่มฟื้นจากอาการเจ้าชายนิทราอย่างสุดเหลือเชื่อ ท่ามกลางความแสนยินดีของแฟนสาว ที่กลับมารอฟังข่าวอยู่ที่ประเทศไทย

แต่อนิจจา...เสียงแรก ที่ฝ่ายชาย เรียกหาเมื่อฟื้นคืนสติ แทนที่จะเป็น ชื่อสาวคนรัก ที่เฝ้าเป็นห่วงอยู่ทุกขณะจิต กลับกลายเป็น ชื่อของ แฟนเก่า เนื่องจากฝ่ายชายเกิดอาการ ความจำเสื่อมกะทันหัน จำแฟนเก่าได้ แต่กลับจำแฟนสาวคนปัจจุบัน ที่ทั้งรักและห่วงหาอาวรณ์มิได้ขาด

ไม่ได้เอาเลย

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น อาการความจำเสื่อมที่เกิดขึ้น มันได้พรากความรู้แทบจะทั้งหมด ที่ชายหนุ่ม อุตสาหะร่ำเรียนมาเป็นเวลาหลายสิบปี เพื่อจะทำงาน ในตำแหน่งวิศวกร ไปจนเกือบหมด แถมด้วยอาการป่วยติดตัว เกือบจะเรียกได้ว่า ต้องมีคนคอยดูแลตลอดเวลา และที่สำคัญที่สุด ยังมี หนี้สินก้อนโต จากค่ารักษาพยาบาลขณะรักษาตัวในประเทศเกาหลีใต้ ที่ทางสถานทูตไทย สำรองเบิกจ่ายช่วยเหลือไปก่อน เป็นตัวเลขสูงถึง 7 หลัก!

...

จำเราไม่ได้ ดูแลตัวเองก็ไม่ได้ แถมมีหนี้สินกองโต

หากแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ เป็นหญิงสาวคนนั้น คุณจะทำอย่างไร?

แต่รู้ไหม ... หญิงสาว ที่ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาแฟนๆไทยรัฐออนไลน์ ไปรู้จักในวันนี้ เธอตัดสินใจอย่างไร?

คุณอุไรวรรณ เพ็งพุ่ม หรือ คุณอุ๊ หญิงแกร่งผู้นี้ ใช้สองแขนน้อยๆ ของเธอ ตระกองกอด คุณธีระพงษ์ เร่ในไพร หรือ คุณป้อม แฟนหนุ่มที่ในวันนี้อยู่ในฐานะสามี เอาไว้เช่นเดิม และทั้งสองคน ยินดีที่จะจับมือกัน ฝ่าฟันมรสุมชีวิตลูกใหญ่ลูกแรก ดังที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้เกริ่นไว้ข้างต้น ไปด้วยกัน จนกลับมาครองคู่ได้เป็นสามี ภรรยา และมีลูกน้อย 1 คน ในที่สุด

รักแท้ของชายหญิงคู่หนึ่ง ที่กลายเป็นตำนานเล่าขานไม่รู้จบบนโลกออนไลน์ เมื่อหลายปีก่อน

แต่ ณ วันนี้ ใครจะรู้บ้างว่า มรสุมลูกใหญ่ที่ถาโถมสาดซัดใส่ทั้งคู่นั้น ยังมิได้จบลงเหมือนดั่งซีรีส์เกาหลี ที่สุดท้ายมักจะจบลงแบบ Happy ending

เพราะเกลียวคลื่นลูกใหญ่กว่าลูกแรกที่เคยเผชิญ กำลังก่อตัว เพื่อพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่ที่ในวันนี้ มี ด.ช.ธนธัส เร่ในไพร หรือ น้องปุณ ลูกน้อยวัยเพียงขวบเศษ เป็นเรือพ่วงอีกลำที่ต้องดูแล อีกครั้ง!

หญิงสาว ต้องลาออกจากงาน เพื่อมาดูแลสามีที่มีอาการโรคหัวใจกำเริบเป็นระยะๆ หนำซ้ำบางครั้ง เกิดอาการนอนชัก ไม่สามารถทำงานหนัก หรือแม้แต่ปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ ส่วนลูกน้อย พยานรัก ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นหลังการแต่งงาน พบว่า ป่วยเป็นมะเร็งที่ไต ตั้งแต่อายุได้เพียง 11 เดือน

ซ้ำร้าย ยังมีหนี้สินจากค่ารักษาพยาบาลของฝ่ายชายในอดีต ที่ติดค้างอยู่กับ สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเกาหลีใต้ ที่มีตัวเลขสูงถึง 2 แสนบาท

ทั้งหมดนี้ คือ มรสุมลูกใหญ่ระลอกที่ 2 ที่ คุณอุ๊ หญิงแกร่งของเรา กำลังเผชิญอยู่

“อุ๊ ต้องขอความเห็นใจกับทางราชการ โดยเฉพาะ สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศเกาหลีใต้ ด้วยนะคะ ที่หลายปีแล้ว ยังไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้สินที่ค้างไว้ได้ เพราะในเวลานี้ ครอบครัวของเรา กำลังลำบากจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้สินที่เกิดขึ้น เพราะเราทราบดีว่า เงินทั้งหมดนี้คือเงินภาษีของประชาชน

เพียงแต่ ในเวลานี้ ลำพังเงินที่จะหามาใช้จ่ายและดูแลทั้ง พี่ป้อม และ ลูกปุณ ในแต่ละเดือน เรายังแทบได้ไม่พอเลยค่ะ ต้องขอความเห็นใจด้วยจริงๆ นะคะ” คุณอุ๊ กล่าวกับทีมข่าวฯ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและเต็มไปด้วยความเกรงใจ ต่อสถานทูตไทยประจำประเทศเกาหลีใต้ ที่ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด

...

อัพเดตชีวิตครอบครัว ตำนานพิสูจน์รักแท้ เจ้าชายนิทรา

“ปัจจุบัน เราอยู่กันสามพ่อ แม่ ลูก ที่จังหวัดพิษณุโลกค่ะ” คุณอุ๊ พยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ ระหว่างสนทนากับทีมข่าวฯ

สามีโรคหัวใจกำเริบ ลูกน้อยเป็นมะเร็งตั้งแต่แบเบาะ เข้า รพ.ทั้งคู่ เครียดหนัก หนี้สินยังไม่ได้ชำระ

ส่วนตัว อุ๊ ทางกายยังคงสบายดีอยู่ แต่ พี่ป้อม...ล่าสุด เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องพักรักษาตัวในห้อง CCU หรือห้องสังเกตอาการผู้ป่วยวิกฤติเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันคุณหมอได้แนะนำว่า ควรจะทำการสวนหัวใจ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการโรคหัวใจ กลับมากำเริบขึ้นอีกครั้ง แต่ที่หนักจริงๆ คือ ลูกของเรา...คุณอุ๊ ทอดน้ำเสียงเจือปนความเศร้าหมอง เมื่อคุยมาถึงประโยคนี้

น้องปุณ ลูกของเรา...ที่ปัจจุบันมีอายุ 1 ขวบ 4 เดือน ถูกพบว่าป่วยเป็นมะเร็งที่ไตข้างซ้าย ตั้งแต่อายุได้เพียง 11 เดือน ต้องเข้ารักษาอาการป่วยตั้งแต่แบเบาะ และเพิ่งจบคอร์สการให้คีโมไปเมื่อต้นเดือน มี.ค.60 ที่ผ่านมานี้เอง ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการติดตามอาการและเช็กผลเลือด แต่ที่พอใจชื้นได้ ก็คือ...คุณหมอที่ทำการรักษา บอกว่า โอกาสที่โรคร้ายของน้องปุณจะหายขาด มีสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์!

แต่อย่างไรก็ดี...สรุปแล้วคือ ณ เวลานี้ ทั้งพ่อ ทั้งลูก ยังคงต้องพักรักษาตัวอยู่ใน รพ.ทั้งคู่ เจอสถานการณ์แบบนี้ อุ๊ ยอมรับเลยค่ะ ช่วงนี้เครียดมาก ต้องกินยาเพื่อบำบัดอาการอยู่ทุกวัน สาวเจ้าของตำนานรักแท้ กล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

...

เดจาวู ชีวิตกำลังเริ่มจะดี สุดท้ายเจอมรสุมชีวิตถาโถมรอบสอง

แต่คิดๆ แล้ว มันเหมือนเหตุการณ์เดจาวู ก่อนที่พี่ป้อมจะป่วยครั้งแรกเลยค่ะ ชีวิตเราทั้งคู่กำลังจะไปได้ดีๆ ก็ต้องมาพบกับเหตุการณ์หนักๆ แบบที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนเข้า!

ช่วงที่พี่ป้อม กลับจากประเทศเกาหลีใต้ มาพักรักษาตัวที่เมืองไทยใหม่ๆ อาการป่วยต่างๆ ก็เหมือนเริ่มจะดีขึ้น เราจึงตัดสินใจมีลูกด้วยกัน พอมีลูก ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ เริ่มมากขึ้น งานที่เลือกทำอยู่ตอนนั้น คือ อาชีพเป็นตัวแทนขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์เครื่องใช้เด็กออนไลน์ในเฟซบุ๊ก เพื่อที่จะได้มีเวลาดูแลพี่ป้อม เริ่มจะไม่เพียงพอ จึงได้ตัดสินใจไปสมัครงาน จนกระทั่งได้งานประจำ แต่แล้วพอลูกเกิดมาป่วยเป็นมะเร็ง แถมพี่ป้อมที่ว่ากำลังดีๆ ก็เกิดมีอาการโรคหัวใจกำเริบ ถึงขนาดนอนชัก ไม่สามารถปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ อุ๊จึงตัดสินใจลาออกจากงาน มาดูแลทั้งคู่ในที่สุด

ส่วนน้องปุณ ไม่สบาย ระบบย่อยมีปัญหาไม่สามารถดื่มนมปกติทั่วไปได้ ต้องดื่มนมชนิดพิเศษที่มีราคาค่อนข้างสูง ก็ยิ่งทำให้มีรายจ่ายในบ้านเพิ่มมากขึ้นไปอีก ทำให้อย่างน้อยที่สุด อุ๊ ต้องหาเงินให้ได้อย่างน้อย 1 หมื่นบาทต่อเดือน เพื่อดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในครอบครัว

แต่เจอแบบนี้ ยอมรับเลยค่ะ ว่า แม้ใจอุ๊จะอยากออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ก็ทำได้ไม่เต็มที่ เพราะต้องคอยวิ่งไปวิ่งมาดูแลทั้งพี่ป้อม และน้องปุณ รายได้จากขายของออนไลน์เพียงอย่างเดียวในเวลานี้ ยอมรับเลยค่ะ ว่าไม่พอ เฮ้อ...(ถอนหายใจ) ต้องไปรบกวนขอเงินจากแม่มาใช้จ่ายในบ้านเกือบทุกเดือน คุณอุ๊ กล่าวน้ำเสียงเหนื่อยใจ

...

ขอความเห็นใจราชการ อยากชำระหนี้ แต่ครอบครัวยังลำบาก เงินใช้เดือนชนเดือน

เมื่อสถานการณ์ในครอบครัวเราเป็นแบบนี้ จึงอยากขอความเห็นใจทางราชการด้วยนะคะ เงินบริจาคจากพี่น้องประชาชนในช่วงนั้น เราได้นำไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล และชำระคืนให้ทางสถานทูตไทยประจำประเทศเกาหลีใต้แล้วส่วนหนึ่ง ที่เหลืออีกประมาณ 2 แสนบาทนั้น เดิมที อุ๊ กับ พี่ป้อม ตั้งใจว่าเมื่อกลับเมืองไทย จะพยายามทำงานหาเงินมาชำระคืนให้ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งเห็นว่า อาการป่วยของพี่ป้อมนั้น สามารถใช้สิทธิบัตรทองรักษาได้ จึงได้ปิดการรับบริจาคลงเพื่อป้องกันเสียงครหาต่างๆ

แต่แล้ว.....ทุกอย่างที่เราตั้งใจไว้ ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ที่สุดแล้ว ก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันกับครอบครัวของเราเข้าอีกจนได้

“ตอนนี้ แม้จะลำบาก วิ่งไปดูอาการสามีที ลูกที แต่อุ๊จะขอสู้เต็มที่ และจะพยายามหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้ เพราะเราสองคนรำลึกอยู่เสมอว่า ...ที่มีวันนี้ได้ เพราะสถานทูตไทยประจำประเทศเกาหลีใต้ ให้ความช่วยเหลือ เพียงแต่ตอนนี้...(น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ) ครอบครัวเรา กำลังลำบากจริงๆ จึงอยากขอเวลาไปอีก...สักเล็กน้อย

เพราะหากเป็นเวลานี้ อุ๊ ก็ยังคิดไม่ออกจริงๆ ว่า จะเอาเงินที่ไหนไปคืนให้ จึงอยากขอฝากกราบเรียนเรื่องที่เกิดขึ้น ผ่านทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ไปถึงทางสถานทูตไทยประจำประเทศเกาหลีใต้ ด้วยนะคะ” หญิงแกร่งที่รับเหมาดูแลทั้งสามีและลูกที่กำลังป่วย กล่าวทิ้งท้ายฝากขอความเห็นใจในท้ายที่สุด

เอาละ มาถึงบรรทัดนี้ เมื่อเราหวนคืนอดีต ในเคสที่ประสบความสำเร็จในการให้ความช่วยเหลือมาแล้ว ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอพาแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ทุกท่าน ไปอัพเดตความคืบหน้า การช่วยเหลือ น.ส.ระภีภรณ์ นาสะอ้าน หรือ น้องมิน ผ่านการสัมภาษณ์พิเศษข้ามโลก ของ ท่านศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศเกาหลีใต้

อัพเดต ‘น้องมิน’ อาการทุกอย่างเริ่มดีขึ้น แต่หมอยังตอบไม่ได้ ว่าจะฟื้นคืนสติเมื่อไหร่?

ท่านทูตศรัณย์ บอกเล่าถึงอาการล่าสุดของน้องมิน ณ วันที่ 31 มี.ค. เวลา 12.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ผ่านการสัมภาษณ์พิเศษข้ามโลกในครั้งนี้ ว่า หลังจากได้สแกนสมอง พบว่า ยังมีอยู่จุดที่น่าเป็นห่วง คือสมอง ที่อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อการฟื้นตัว ซึ่งอาจทำให้ น้องมิน รู้สึกตัวได้ช้า ด้วยเหตุเพราะมีการหยุดหายใจไปนานถึง 20 นาที ซึ่งโดยทั่วไปต้องถือว่าอยู่ในสภาพที่อันตรายมาก แต่แพทย์ที่ประเทศเกาหลีใต้ ก็ช่วยรักษาจนทำให้อาการดีขึ้นจนถึงวันนี้ ขณะที่ ร่างกายส่วนอื่นฟื้นตัวได้ดีพอสมควรแล้ว ทั้งการหายใจสามารถทำได้ด้วยตัวเอง และหัวใจเต้นปกติมากขึ้น และการที่น้องมินอายุยังน้อย ก็ทำให้เชื่อได้ว่า ร่างกายน่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย

“แพทย์ยังไม่สามารถประเมินได้ว่า น้องมิน จะกลับมาฟื้นคืนสติได้เมื่อไหร่ เพียงแต่บอกว่า คงต้องใช้เวลา แต่ในอดีตก็มีเคสที่คล้ายๆ กัน และสามารถฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร”

ค่ารักษา พุ่ง 1.2 ล้านบาท ด้าน สถานทูตฯ การันตี พร้อมช่วยเต็มที่

เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเกาหลีใต้ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 30 มี.ค. คุณพ่อของน้องมินได้มาพบที่สถานทูต จากการพูดคุยกัน คุณพ่อดีใจที่อาการโดยรวมของลูกสาวดีขึ้น แม้จะยังไม่รู้สึกตัวก็ตาม แต่ได้ให้ความมั่นใจกับคุณพ่อไปว่า ถือเป็นความโชคดีของน้องมิน ที่ได้มาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลระดับแนวหน้าของประเทศเกาหลีใต้ จึงได้รับการปฐมพยาบาลจากแพทย์อย่างทันท่วงที จนมีอาการดีขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาล ที่คุณพ่อของน้องมิน ไม่ค่อยสบายใจนัก เนื่องจากล่าสุด อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบาทนั้น ได้ให้ความมั่นใจไปว่า

เป็นหน้าที่ของสถานทูต ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือคนไทยทุกคนอย่างเต็มที่ในทุกกรณี ไม่ว่าค่าใช้จ่ายจะมาก หรือน้อย เพียงใดก็ตาม

“รพ.ในประเทศเกาหลีใต้ แพทย์มีจรรยาบรรณสูงมาก เมื่อรับคนไข้แล้ว จะดูแลอย่างเต็มที่ ไม่กีดกันว่าเป็นคนของประเทศไหน และหลาย รพ.ในประเทศนี้ มักจะเปิดโอกาสให้สถานทูตของแต่ละประเทศ สามารถไปเจรจา เพื่อลดค่ารักษาพยาบาลได้ โดยพิจารณาจากขีดความสามารถของคนไข้ และดูจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน และอย่างไรก็ดี แม้ว่าจะไม่สามารถรับประกันได้ทุกรายว่า จะได้ลดค่ารักษาพยาบาล แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ก็ยังไม่เคยเห็นว่า จะมี รพ.ในประเทศไหน เปิดโอกาสให้เจรจาลดค่าใช้จ่ายได้เหมือนที่ประเทศเกาหลีใต้มาก่อน ซึ่งถือว่า ประเทศนี้เขามีมนุษยธรรมสูงมาก”

รอหมอพิจารณา ส่งตัวน้องมินกลับบ้าน

สำหรับเรื่องการขอนำตัวกลับมารักษาที่ประเทศไทยนั้น ท่านทูตศรัณย์ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ว่า อาการป่วยอยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อการเคลื่อนย้ายแล้วหรือยัง? และด้วยความที่แพทย์ในประเทศนี้ มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก หากอาการของน้องมิน ยังไม่ดีขึ้นจนปลอดภัยมากพอ รับรองว่าจะไม่ยินยอมให้มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแน่นอน

ยืมเงินสถานทูตไทย จ่ายค่ารักษาพยาบาลในต่างแดน ผ่อนชำระไร้ดอกเบี้ย นานสุด 2 ปี

สำหรับเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูงนั้น ท่านทูตศรัณย์ กล่าวกับทีมข่าวฯ ว่า เงินสำรองจ่ายที่ทางสถานทูต ชำระค่ารักษาพยาบาลไปให้ก่อนนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชน ฉะนั้น ตามหลักเกณฑ์ ทางครอบครัวผู้ป่วยจะต้องนำมาชำระคืน แต่แน่นอนเมื่อบางครั้ง ตัวเลขค่ารักษาอาจจะสูง จนเกินความสามารถของบางครอบครัวไปบ้าง สามารถทำสัญญากู้เพื่อผ่อนชำระหนี้ ในส่วนต่างที่ไม่สามารถจ่ายคืนก้อนแรกได้ ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยไม่มีดอกเบี้ยได้

พบนักท่องเที่ยวไทย ป่วยหนักจนต้องเข้าพักรักษาตัว ที่ รพ.เกาหลีใต้ เฉลี่ย 6-7 รายต่อปี

เอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศเกาหลีใต้ กล่าวกับทีมข่าวฯ ต่อไปอีกว่า ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวไทย เดินทางมาที่ประเทศเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยปี 2559 ที่ผ่านมา มีตัวเลขสูงถึง 4 แสนคน และแน่นอน มีเดินทางเข้ามามาก ก็ย่อมต้องมีผู้มีอาการเจ็บป่วยแบบปัจจุบันทันด่วนบ้าง แต่จากสถิติเฉลี่ย พบว่าในแต่ละปี จะมีผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องเข้าพักรักษาตัวที่ รพ.และได้มีการติดต่อสถานทูต เข้าไปให้ความช่วยเหลือ ประมาณ 6-7 คนต่อปี ซึ่งถือว่าไม่มากจนเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนทั้งหมด

มั่นใจ ไม่ถูกตัดสิทธิ แม้ตัวเลขคนไทยลักลอบเข้าเมืองเพิ่มสูงขึ้นมาก

สำหรับปัญหาการลักลอบเข้าไปทำงานแบบผิดกฎหมายของคนไทยนั้น ท่านทูตศรัณย์ กล่าวกับทีมข่าวฯ ว่า สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน มีคนไทยอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ประมาณ 90,000 กว่าคน ในจำนวนนี้ เป็นแรงงานที่ผิดกฎหมาย ประมาณ 60,000 กว่าคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง อาจจะเข้มงวดกับนักท่องเที่ยวไทยอยู่บ้าง รวมถึง อาจถึงขั้นปฏิเสธการเข้าเมือง เฉพาะในบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าจะเข้ามาทำงานแบบผิดกฎหมาย ทำให้ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ที่ในปี พ.ศ.2558 ที่ผ่านมา คนไทยถูกปฏิเสธการเข้าประเทศ สูงถึง 20,000 คน และในปี พ.ศ.2559 สูงถึง 30,000 คน

แต่อย่างไรก็ดี ส่วนตัวไม่คิดว่า ทางการเกาหลีใต้ จะยกเลิกสิทธิพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เพราะเวลานี้เกาหลีใต้กำลังเกิดกรณีพิพาทกับประเทศจีน ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวลดลง ฉะนั้น จึงต้องการนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ มาทดแทน และนักท่องเที่ยวไทย ก็เป็นนักท่องเที่ยว ที่คนเกาหลีชอบมาก เนื่องจากปีๆ หนึ่ง มีนักท่องเที่ยวไทย มาเที่ยวที่เกาหลีใต้สูงถึง 400,000 คน และต่อคนมีตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยสูงมาก

“ฉะนั้น อยากขอให้คนไทย ที่ตั้งใจจะมาท่องเที่ยวในประเทศเกาหลีใต้จริงๆ ขอให้เตรียมความพร้อมในเรื่องของเอกสาร แผนการเดินทาง ให้เรียบร้อย ผมเชื่อว่าคนที่จะมาท่องเที่ยวจริงๆ ไม่น่ากังวล เพราะเราตั้งใจจะมาท่องเที่ยว จึงน่าจะตอบคำถามให้เขาสบายใจได้” ท่านทูตศรัณย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น

ท้ายที่สุดนี้ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล อยากขอฝากเตือน ผ่านทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ไปถึงนักท่องเที่ยวไทยทุกคนที่จะเดินทางไปเที่ยวในต่างแดนว่า

“การเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างแดน ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ ภัยธรรมชาติ หรือ การก่อการร้าย ได้ทั้งสิ้น ฉะนั้นแล้ว อยากให้คนไทยทุกคน เตรียมความพร้อมเรื่องยารักษาโรคส่วนตัว ข้อมูลสำคัญต่างๆ รวมถึงเบอร์ติดต่อญาติไว้ และที่สำคัญ ควรที่จะมีการทำประกันภัยการเดินทางเอาไว้ เพราะต้องยอมรับว่า โรงพยาบาลในต่างประเทศ มีค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างสูง ฉะนั้น หากมีการทำประกันภัยการเดินทางเอาไว้ น่าจะสามารถทำให้เกิดความอุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง และที่สำคัญที่สุด ควรจะมีเบอร์ติดต่อสถานทูตไทยในแต่ละประเทศติดตัวเอาไว้ด้วย เพื่อติดต่อในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยสถานทูตไทยประจำประเทศเกาหลีใต้ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ +82 10 6747 0095 คอยให้บริการตลอด 24 ชม.”

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน