- เปิดไทม์ไลน์นับถอยหลังจุดจบโควิด-19 ปิดปี 2563 ยังน่าห่วง ทนต่ออีกนิดยาวถึงไตรมาส 2 ปี 2564
- วัคซีนแห่งความหวัง... ไฟเซอร์และโมเดอร์นา กับประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมกว่าที่คาดการณ์ไว้
- ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมแล้วมากกว่า 62 ล้านราย และเสียชีวิตอีกเกือบ 2 ล้านราย
เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2563 ในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้!... โควิด-19 (COVID-19) ไวรัสร้ายที่ในตอนแรก บางคน รวมถึงคนใหญ่คนโตในบ้านเมือง และท่านผู้นำประเทศทั้งหลาย พากันออกมาบอกว่า "อย่าไปกลัว! มันก็แค่ไข้หวัดธรรมดา เดี๋ยวสักพักก็หาย..."
ไปๆ มาๆ ที่ไหนได้ อ่วมกันทั่วหน้า ประเทศเล็ก ประเทศใหญ่ โดนกันหมด 11 เดือนที่ผ่านมามีแต่ชอกช้ำระกำใจ พอเหมือนจะดี สักพักมีข่าวประเทศนู้นเจอคลื่นโควิด-19 ลูกใหม่ อีกประเทศหนึ่งเจอติดเชื้อภายในประเทศ ปิดประเทศขังคนไม่ให้ออก-ไม่ให้เข้าแบบอิสระมาจนจะครบปี ทำคนตกงานเป็นล้านๆ รวมแล้วตอนนี้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกมากกว่า 62 ล้านราย และเสียชีวิตอีกเกือบ 2 ล้านราย
อย่างไทยเอง ตอนแรกเหมือนจะกลับมาเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวได้แล้ว ก็ต้องลั่นกลอนปิดเมืองอีกรอบ ผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศโผล่กลางกรุง หาต้นตอไม่ได้ ...แล้วยังมีข่าวใหญ่ล่าสุด เคสเชียงใหม่ ที่คราวนี้น่าวิตกกว่าครั้งไหนๆ หวั่นจะเป็น Super Spreader ซึ่งก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
...
เรียกง่ายๆ ว่า โควิด-19 ไม่ใช่คลื่นไวรัสธรรมดาๆ แต่เป็น "คลื่นแห่งความสูญเสีย" ที่โอกาสในการฝ่าออกไปนั้นดูท่าจะยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน ...แต่แน่นอนว่า ในเส้นทางที่มืดมิด หม่นหมอง ก็ย่อมมี "ความหวัง"
หลังพาดหัวข่าวของสื่อหลายสำนักทั่วโลกแจ้งข่าวดี ให้ได้รับรู้โดยทั่วกันว่า ผลการทดลองระยะสุดท้ายของ "วัคซีนไฟเซอร์" (Pfizer) และผลการทดลองระยะกลางของ "วัคซีนโมเดอร์นา" (Moderna) มีประสิทธิภาพโดยประมาณสูงถึง 95%
นั่นหมายความว่า จุดจบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ใกล้มาถึงแล้วใช่หรือไม่?
ไทม์ไลน์: คาดการณ์จุดจบวิกฤติโควิด-19
ต้องยอมรับว่า โควิด-19 มีการติดต่อและแพร่เชื้อรวดเร็วที่สุดโรคหนึ่ง และเพียงคนคนเดียวก็อาจส่งต่อได้ทีเดียวหลายคน รัศมีก็กว้างพอสมควร จนยากจะคาดเดาว่า "ณ ที่แห่งนี้ เราปลอดภัยจากมันจริงๆ หรือไม่?"
ที่สำคัญ คราวนี้เป็นกันทั้งโลก แม้บางประเทศจะเริ่มซาลงบ้างแล้ว แต่ปัญหาคือ... ยังเปิดประเทศไม่ได้!
หากดูจากสถานการณ์ภาพรวมตอนนี้ก็ต้องบอกว่า "สหรัฐอเมริกา" ยังคงเป็นประเทศที่น่าเป็นห่วงที่สุด มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมมากเป็นอันดับ 1
ดังนั้น หากเราจะลองคาดการณ์ไทม์ไลน์คร่าวๆ ของ "จุดจบวิกฤติโควิด-19" ก็พอจะเทียบเคียงกับสหรัฐอเมริกาได้บ้าง ในกรณีที่เป็นประเทศที่มีสถานการณ์เลวร้ายที่สุด
ซึ่งจากข้อมูลการวิเคราะห์ของ McKinsey และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทั่วโลก พอจะอ่านความเป็นไปได้ที่เป็นทิศทางบวกจากผลการทดลองวัคซีนทั้ง 2 ตัวได้ว่า ความเป็นไปได้ที่จุดจบของการแพร่ระบาดโควิด-19 จะอยู่ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2564
แล้วโควิด-19 จะจบเมื่อไร?
คำตอบนี้ หากพิจารณาในกรณีที่มีการใช้วัคซีนโควิด-19 ควบคู่ไปกับการดูแลและมาตรการทางสาธารณสุข รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและรักษาโรค ผสานไปกับการแปรผันตามฤดูกาล เราก็อาจลดอัตราการเสียชีวิตให้หยุดลงได้ในไตรมาส 2 และมีความเป็นไปได้ที่จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และจากผลข้างเคียงของการทดลองวัคซีนล่าสุดนั้น ก็จะทำให้ไตรมาส 3 มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด "ภูมิคุ้มกันหมู่" (Herd Immunituin) มากกว่าไตรมาส 4
...
แต่ก็นั่นแหละ... ไทม์ไลน์คร่าวๆ นี้ประเมินจากสหรัฐอเมริกา ประเทศที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุด และมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนได้เร็วที่สุดเช่นกัน
หมายความว่า ถ้าประเทศเรายังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างเพียงพอ ไทม์ไลน์ก็อาจมีการคลาดเคลื่อน...เล็กน้อย
เจาะลึก "ตัวแปร" ที่อาจกระทบไทม์ไลน์ "จุดจบโควิด-19"
1.เปิดผลการทดลองวัคซีนและแอนติบอดี (Antibody)
"ไฟเซอร์และโมเดอร์นา" 2 ผู้ท้าชิงวัคซีนโควิด-19 มีประสิทธิภาพอยู่ที่ประมาณ 95% ซึ่งสูงกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ไว้เสียอีก
โดยก่อนหน้านี้ วัคซีนโมเดอร์นามีการประกาศว่า สามารถเก็บรักษาในอุณหภูมิห้องได้นานกว่าที่ตั้งเป้าไว้ และอาจต้องการเพียงแค่ตู้เย็นเป็นที่เก็บรักษาเท่านั้น ซึ่งจะคงรูปได้นานถึง 30 วัน
แต่จากสถิติความปลอดภัยของวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาจนถึงวันนี้ ยังคงไม่รู้ว่า ทั้ง 2 ตัวนี้จะป้องกันเราจากโควิด-19 ได้นานแค่ไหนและตลอดกาลหรือไม่ ซึ่งในส่วนของวัคซีนไฟเซอร์ ประสิทธิภาพในกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี ยังคงไม่ชัดเจน
...
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจของการใช้ยาแอนติบอดี ที่เรียกว่า แบมลานิวิแมบ (Bamlanivimab) และค็อกเทลแอนติบอดี REGN-COV2 ที่ได้รับการอนุมัติภายใต้อำนาจตามมาตรการฉุกเฉิน (EUA) จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ไปเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน และ 22 พฤศจิกายน (ตามลำดับ) บ่งชี้ได้ว่า สามารถลดความจำเป็นในการเข้ารักษาในโรงพยาบาลของกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้ และยังควบคุมศักยภาพยาต้านไวรัสอย่าง PEP ได้อีกด้วย
แต่นั่น... ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาล
กลับมาที่วัคซีน 2 ตัว คาดการณ์ว่าในตอนแรกจะถูกนำมาใช้กับกลุ่มผู้ใหญ่หรือสูงอายุ และยังไม่แน่ชัดว่าจะใช้กับเด็กได้เมื่อไร
ทำไมถึงต้องให้กลุ่มผู้ใหญ่ก่อน หนึ่งในข้อสรุป คือ การแจกจ่ายวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ใหญ่ก่อนก็เพราะต้องการให้ช่วยขยาย "ภูมิคุ้มกันหมู่" ไปในวงกว้าง อย่างน้อยก็จนกว่าจะได้รับการอนุมัติให้ใช้วัคซีนกับเด็กได้ ซึ่งแน่นอนว่า หากวัคซีนมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากพอก็จะแจกจ่ายได้ทุกกลุ่มอายุ โดยอัตราการคุ้มครองของวัคซีนอยู่ที่ประมาณ 45-65%
...
"ภูมิคุ้มกันหมู่" สำคัญแค่ไหน?
แม้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ระบุยืนยันชัดเจนได้ว่า ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 มีการแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นอย่างไร นี่จึงเป็นนัยสำคัญที่ว่าทำไมถึงต้องขับเคลื่อน "ภูมิคุ้มกันหมู่" ในการช่วยลดการแพร่เชื้อ
เพราะเพียงแค่วัคซีนทั้งหมดมีประสิทธิภาพลดการแพร่เชื้อ 75% ก็สามารถครอบคลุมประชากรที่มีความจำเป็นสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แล้วกว่า 60-80%
2.ความเป็นไปได้ระยะสั้นของภูมิคุ้มกัน
ในช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดโควิด-19 ยังไม่มีความชัดเจนว่าภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อโควิด-19 จะอยู่ได้นานเท่าไร?
ตัวอย่างเช่น หากภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ในกรณีของโควิด-19 มีความเป็นไปได้อย่างน้อยที่สุดที่ 6-9 เดือน ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะเป็น 2 ปี เช่น บาดทะยัก หรือตลอดชีวิตอย่างหัด
โดยจากการศึกษาของสหราชอาณาจักรที่มีการติดตามประชากรในประเทศ พบว่า ความชุกของแอนติบอดีร่วงลง 26% โดยความสัมพันธ์ระหว่างการลดลงของแอนติบอดีกับความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำยังไม่มีความชัดเจน
หลังจากผ่านไป 3 เดือน แน่นอนว่า การติดเชื้อโควิด-19 มีการเอกสารยืนยันว่าเป็นไปได้ แต่อาจหาได้ยาก
อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมการศึกษาหลายๆ ฉบับแสดงให้เห็นว่า ช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ หลังจากนั้น 6 เดือน
3.อุตสาหกรรมการผลิตและการเข้าถึงวัคซีน
จากข้อมูลประสิทธิภาพเบื้องต้นของการทดลองวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา หากไม่มีการปรากฏประเด็นด้านความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญ ก็มีความเป็นไปได้ว่า ความต้องการวัคซีนจากทั่วทุกสารทิศจะแห่แหนเข้ามาสูงมาก โดยทั้ง 2 ตัวยืนยันว่า การใช้ 2 โดสย่อมดีกว่า 1 โดส
โดยข้อมูลปัจจุบันบ่งชี้ว่า วัคซีนโมเดอร์นาสามารถคงรูปในอุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียส ได้นาน 30 วัน และ -20 องศาเซลเซียส อยู่ได้นาน 6 เดือน ส่วนวัคซีนไฟเซอร์สามารถเก็บในตู้แช่เย็นได้ 5 วัน หรือเก็บในคูลเลอร์ขนส่งได้ 15 วันขึ้นไป แต่หากอยากให้อยู่ได้นานกว่านั้น ความเย็นที่เหมาะสมคือ -70 องศาเซลเซียส
แน่นอนว่า ใดๆ เหล่านี้ล้วนเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลซับซ้อนตามมาทีหลัง ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของไทม์ไลน์ได้ และขึ้นอยู่กับมาตรการสาธารณสุขของแต่ละประเทศด้วย
บทสรุป หากวัคซีนที่พัฒนามีประสิทธิภาพน่าทึ่งกว่านี้ คาดการณ์ว่า ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2564 จะมีความเป็นไปได้มากว่าเราจะได้เห็นภูมิคุ้มกันหมู่
ดังนั้น จุดจบของวิกฤติโควิด-19 มีแน่นอน และอาจอยู่ในระยะอันใกล้นี้... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเสี่ยงของโควิด-19 ยังคงมีอยู่ กรณีเลวร้ายที่สุด...อาจลากยาวไปถึงปี 2565 หรือไกลกว่านั้น.
ผู้เขียน : เหมือนพระอาทิตย์
ข่าวน่าสนใจ:
- จบโควิด-19 ช้าไป ช่วงเวลานี้ดีสุด ปรับกลยุทธ์ ฟื้น "ท่องเที่ยว" ทางรอดปี 64
- ทำไมบนเครื่องบินมีโอกาสติดโควิด-19 แค่ 1% ปาร์ตี้บาร์เสี่ยงกว่า
- Ant Group IPO อลเวง เมื่อ "แจ็ค หม่า" พูดไม่เข้าหูฝ่ายบริหาร "สี จิ้นผิง"
- ใครคือ "เจเน็ต เยลเลน" ว่าที่ รมว.คลังสหรัฐฯ ที่ "โจ ไบเดน" เลือก
- ไทยเข้า RCEP เปิดตลาด แข่งเดือด สินค้าทะลัก ใครไม่ปรับตัวรอวันเจ๊ง