หลังจากการเปิดตัวและเริ่มออกวางจำหน่ายแล้วในบางประเทศ ส่วนในประเทศไทย คาดว่าคงอีกไม่น่าจะนานนักที่บรรดาสาวกผลไม้จะต้องเตรียมเงินเพื่อซื้อ SmartPhone ที่มีพระนามว่า iPhone 12 แต่ปัญหาสำหรับ คุณ มันก็น่าจะมีอยู่บ้างใช่หรือไม่?

ในเมื่อปีนี้ ศาสดา ทิม คุก (Tim Cook) CEO ของ Apple ตัดสินใจออก iPhone มาให้เลือกถึง 4 รุ่น คือ iPhone 12 mini iPhone 12 iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งแต่ละรุ่นก็ย่อมมีทั้งจุดดีและจุดด้อย ฉะนั้นแล้วทั้ง 4 รุ่นนี้ รุ่นไหนกันล่ะที่คุณควรจะเลือก วันนี้เราจึงลองรวบรวมข้อดี ข้อเสีย เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ ก่อนที่คุณจะเทเงินในกระเป๋าเพื่อเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือไปสู่ความเร็ว 5G กันดู โดยข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นการรวบรวมความเห็นมาจากเว็บไซต์ cnet.com ซึ่งได้มีโอกาสทดสอบ iPhone 12 บางรุ่นมาแล้ว

ส่วนคำถามที่ว่า ประเทศไทยจะวางขายเมื่อไรนั้น ปัจจุบัน (28 ก.ย. 63) ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจาก Apple แต่อย่างใด ฉะนั้นบรรดาสาวกก็ใจเย็นๆ กำเงินในกระเป๋ารอกันไปก่อน ฉะนั้น วันนี้คุณลองอ่านบทวิเคราะห์นับตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป เพื่อประกอบการตัดสินว่าจะเลือกซื้อรุ่นไหนกันดี?

iPhone 12 mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max อะไรที่เหมาะสมสำหรับคุณ?

1. iPhone 12
คือ รุ่นที่คุ้มราคาที่สุด หากคุณไม่ได้ชื่นชอบ Smartphone ขนาดเล็ก

...

iPhone 12 mini

64GB: 699 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 21,900 บาท
128GB: 749 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 23,400 บาท
256GB: 849 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 26,500 บาท

สเปกเครื่อง

ขนาด สูง 131.5 x กว้าง 64.2 x หนา 7.4 มม. น้ำหนัก 135 กรัม

หน้าจอ OLED 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340x1080 ที่ 476 ppi ความสว่างสูงสุด 625 นิต (ทั่วไป)

ชิพ A14 Bionic

กล้องหลังคู่ Wide และ Ultra-Wide12MP ประสิทธิภาพการซูม Digital Zoom 5 เท่า

กล้องหน้า 12MP

ถ่ายบันทึกวิดีโอ บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps ซูมออกแบบออปติคอล 2 เท่า ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 3 เท่า

รองรับ Face ID

แบตเตอรี่ เล่นวิดีโอนานสูงสุด 15 ชั่วโมง

มาตรฐานกันน้ำ IP68 ทนน้ำลึก 6 เมตร ภายในเวลา 30 นาที

iPhone 12

64GB: 799 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 25,000 บาท
128GB: 849 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 26,500 บาท
256GB: 949 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 29,700 บาท

สเปกเครื่อง

ขนาด สูง 146.7 x กว้าง 71.5 x หนา 7.4 มม. น้ำหนัก 162 กรัม

หน้าจอ OLED 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532x1170 ที่ 460 ppi ความสว่างสูงสุด 625 นิต (ทั่วไป)

ชิพ A14 Bionic

กล้องหลังคู่ Wide และ Ultra-Wide12MP ประสิทธิภาพการซูม Digital Zoom 5 เท่า

กล้องหน้า 12MP

ถ่ายบันทึกวิดีโอ บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps ซูมออกแบบออปติคอล 2 เท่า ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 3 เท่า

รองรับ Face ID

แบตเตอรี่ เล่นวิดีโอนานสูงสุด 17 ชั่วโมง

มาตรฐานกันน้ำ IP68 ทนน้ำลึก 6 เมตร ภายในเวลา 30 นาที

iPhone 12 Pro

128GB: 999 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 31,200 บาท
256GB: 1,099 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 34,400 บาท
512GB: 1,299 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 40,600 บาท

สเปกเครื่อง

ขนาด สูง 146.7 x กว้าง 71.5 x หนา 7.4 มม. น้ำหนัก 187 กรัม

หน้าจอ OLED 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532x1170 ที่ 460 ppi ความสว่างสูงสุด 800 นิต (ทั่วไป)

ชิพ A14 Bionic

กล้องหลัง Ultra-Wide และ Telephoto 12MP ซูมเข้าแบบออปติคอล 2 เท่า ซูมออกแบบออปติคอล 2 เท่า และช่วงซูมแบบออปติคอล 4 เท่า Digital Zoom 10 เท่า มี LiDAR Scan และ Apple ProRAW

กล้องหน้า 12MP

ถ่ายบันทึกวิดีโอ บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps ซูมเข้า-ออกแบบออปติคอล 2 เท่า ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 6 เท่า

รองรับ Face ID

...

แบตเตอรี่ เล่นวิดีโอนานสูงสุด 17 ชั่วโมง

มาตรฐานกันน้ำ IP68 ทนน้ำลึก 6 เมตร ภายในเวลา 30 นาที

iPhone 12 Pro Max

128GB: 1,099 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 34,400 บาท
256GB: 1,199 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 37,500 บาท
512GB: 1,399 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 43,700 บาท

สเปกเครื่อง

ขนาด สูง 160.8 x กว้าง 78.1 x หนา 7.4 มม. น้ำหนัก 226 กรัม

หน้าจอ OLED 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778x1284 ที่ 458 ppi ความสว่างสูงสุด 800 นิต (ทั่วไป)

ชิพ A14 Bionic

กล้องหลัง Ultra-Wide และ Telephoto 12MP ซูมเข้าแบบออปติคอล 2.5 เท่า ซูมออกแบบออปติคอล 2 เท่า และช่วงซูมแบบออปติคอล 5 เท่า Digital Zoom สูงสุด 12 เท่า มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซนเซอร์ มี LiDAR Scan และ Apple ProRAW

กล้องหน้า 12MP

ถ่ายบันทึกวิดีโอ บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซนเซอร์สำหรับวิดีโอ ซูมเข้าแบบออปติคอล 2.5 เท่า ซูมออกแบบออปติคอล 2 เท่า ซูมดิจิตอลได้สูงสุด 7 เท่า

รองรับ Face ID

แบตเตอรี่ เล่นวิดีโอนานสูงสุด 20 ชั่วโมง

มาตรฐานกันน้ำ IP68 ทนน้ำลึก 6 เมตร ภายในเวลา 30 นาที

เหตุผล แม้จะไม่ใช่รุ่นที่ราคาถูกที่สุด แต่การที่ iPhone 12 มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่า iPhone 12 mini ในขณะที่ สเปกอื่นๆ แทบจะไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น Processor กล้องถ่ายรูป หรือขนาดหน่วยความจำเครื่อง การจ่ายเพิ่มอีกนิดแลกกับหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ในกรณีที่คุณไม่ชอบ Smartphone จอเล็ก มันจึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

...

2. iPhone 12 Pro
คุ้มประโยชน์การใช้สอย ในราคาที่เอื้อมถึง

เหตุผล iPhone 12 Pro คือ รุ่นที่ได้ประโยชน์ด้าน Hardware เกือบเทียบเท่า iPhone 12 Pro Max เพียงแต่มีขนาดตัวเครื่องเท่ากับ iPhone 12 นอกจากนี้ จุดที่ iPhone 12 Pro ดีกว่า iPhone 12 คือ กล้องเทเลโฟโต้ จอภาพที่สว่างกว่า lidar sensors สำหรับภาพถ่ายบุคคลในโหมดกลางคืน และรองรับการถ่ายภาพ ProRAW

...

3. iPhone 12 Pro Max
มันคือรุ่นที่เหมาะสมสำหรับผู้มีกำลังจ่าย และชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นพิเศษ

เหตุผล เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อคุณยอมจ่ายแพงขึ้น ก็ย่อมต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด ซึ่ง iPhone 12 Pro Max สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผลขนาด 6.7 นิ้ว รวมถึงสามารถตอบสนองการถ่ายภาพและวิดีโอได้ในทุกรูปแบบ และโดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมรุ่นทั้งหมด

4. ภาพรวมการออกแบบ และข้อดีข้อเสียของทั้ง 4 รุ่น

โดยภาพรวมการออกแบบทั้ง iPhone 12 iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max แทบไม่ได้มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความคมชัดของจอแสดงผล มาตรฐานกันน้ำที่ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตรภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) และมีแถบแม่เหล็ก MagSafe สำหรับรองรับการชาร์จเร็วและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ในอนาคต และแน่นอน ไม่มีช่องเสียบหูฟัง

แต่จุดที่แตกต่างที่น่าสนใจ คือ iPhone 12 Pro Max มีขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว ซึ่งสามารถรองรับประสบการณ์สมจริงในการชมภาพยนตร์ เล่นเกมที่เน้นกราฟิก รวมถึง Video Conference ได้ดีที่สุด

ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ที่มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว เท่ากันนั้น จุดที่แตกต่างกันคือ หน้าจอของ iPhone 12 Pro จะแสดงผลได้สว่างกว่า iPhone 12 ซึ่งจะมีประโยชน์กว่าแน่ๆ ในเวลาที่คุณต้องจ้องมองโทรศัพท์กลางแจ้ง

5. ความทนทานของตัวเครื่อง

ตามสเปกแล้วอีกจุดหนึ่งที่แตกต่างกันระหว่าง iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ที่แม้จะมีขนาดเท่ากัน คือ ความแข็งแกร่งของตัวเครื่อง เนื่องจาก iPhone 12 ทำจากอลูมิเนียม ซึ่งทนทานน้อยกว่า iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ที่ทำจากสแตนเลสสตีล

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพียงสเปกคร่าวๆ เพราะล่าสุด บริษัทประกันภัย Allstate ได้ลองทดสอบความแข็งแกร่งของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น พบว่า จากการ Drop Test ลงบนพื้นถนนที่ขรุขระ ที่ความสูง 6 ฟุตนั้น เทคโนโลยี Ceramic Shield เพื่อป้องกันหน้าจอโทรศัพท์ใหม่ของ Apple ใน iPhone 12 ดีขึ้นกว่า iPhone 11 ถึง 4 เท่า ไม่ว่าจะเป็นการ Drop Test ทั้งจากด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง

นอกจากนี้ Allstate ยังค้นพบว่า การออกแบบ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ให้มีลักษณะแบนราบ ยังช่วยเพิ่มความทนทานให้กับโทรศัพท์ ในกรณีที่ด้านหลังของโทรศัพท์ตกกระแทกกับพื้นด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า SmartPhone ทั้ง 2 รุ่นนี้ หากตกจากที่สูงจะไม่เกิดความแตกหักเสียหายใดๆ เลย

และจากการทดสอบในรูปแบบเดียวกัน ยังพบอีกว่า iPhone 12 Pro ซึ่งเป็นรุ่นที่มีราคาแพงที่สุด หน้าจอจะได้รับความเสียหายมากกว่า iPhone 12 เสียด้วย เนื่องจากเมื่อนำ iPhone 12 Pro มาทำการ Drop Test จากทางด้านหลัง นั้นพบว่า หน้าจอของ iPhone 12 Pro ถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะที่ iPhone 12 กลับไม่พบความเสียหายใดๆ เลย

ขณะเดียวกัน เมื่อลองทำการทดสอบด้วยวิธี Drop Test จากด้านหน้า พบว่า หน้าจอของ iPhone 12 Pro แตกช่วงครึ่งล่างของจอ ในขณะที่ iPhone 12 กลับมีรอยแตกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น SmartPhone ทั้ง 2 รุ่นไม่ได้เสียหายจนถึงขั้นไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป เพราะมีบาง Functions เท่านั้นที่ได้รับความเสียหาย

ซึ่งผลจากการทดสอบนี้ทำให้ บริษัทประกันภัย Allstate สรุปผลการประเมินว่า ในแง่ของความทนทาน iPhone 12 ทำได้ดีกว่า iPhone 11 รวมถึงยังทำได้ดีกว่า SmartPhone รุ่นอื่นๆ ที่ถูกนำมาทดสอบในรูปแบบเดียวกันก่อนหน้านี้ด้วย

โดย Jason Siciliano รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ ของ Allstate กล่าวว่า โดยรวมแล้วเทคโนโลยี Ceramic Shield ล่าสุด ของ Apple ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่า iPhone 12 จะไม่เกิดการแตกหักเสียหายหากมันตกลงจากที่สูงลงบนพื้นถนน ฉะนั้นในเมื่อต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงเพื่อดูแลกล้องที่มีราคาแพงมากๆ รวมถึงต้นทุนที่สูงลิ่ว หากต้องนำเครื่องไปซ่อม เราจึงขอแนะนำให้ทุกท่านใช้เคสป้องกันเครื่องเอาไว้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด...

6. Telephoto Camera Night Mode Portraits และ ProRAW

แม้ทั้ง 4 รุ่น จะมี กล้องอัลตราไวด์เหมือนๆ กัน แต่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มีจุดที่แตกต่างคือ มีเลนส์ Telephoto ซึ่งช่วยในการซูมภาพและปรับปรุงเรื่องการถ่ายภาพ Portraits ได้ดีกว่า

แต่เดี๋ยวก่อน แม้ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีเลนส์ Telephoto เหมือนกัน แต่ทั้งสองรุ่นนี้มีรูรับแสงแตกต่างกันเล็กน้อย โดย iPhone 12 Pro มีรูรับแสง f / 2.0 ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max มีรูรับแสง f / 2.2 นอกจากนี้ยังมีระดับการซูมภาพแตกต่างกันด้วย โดย iPhone 12 Pro ซูมภาพได้สูงสุด 10 เท่า และ Optical Zoom ได้ 4 เท่า ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max ซูมภาพได้สูงสุด 12 เท่า และ Optical Zoom ได้ 5 เท่า

นอกจากนี้ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ยังมีสิ่งพิเศษที่แตกต่างกว่า iPhone 12 และ iPhone 12 mini คือ การมี Lidar scan และ ProRAW

โดยข้อดีของการมี Lidar scan ซึ่งถูกติดตั้งไว้กับกล้องหลัง คือ สามารถถ่ายภาพในสถานที่ที่มีแสงน้อย และการถ่ายภาพ Portraits ในเวลากลางคืนได้ดียิ่งขึ้น ส่วน ProRAW เป็นคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ให้กับบรรดาผู้ชื่นชอบการถ่ายรูปได้เป็นอย่างดีที่สุด เนื่องจากมันจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมและแก้ไขภาพถ่ายได้ดียิ่งขึ้น จากการที่ภาพถ่ายไม่ได้ถูกบีบอัดไฟล์

ในขณะที่ การถ่ายวิดีโอนั้น ความแตกต่างระหว่าง iPhone 12 iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max คือ iPhone 12 สามารถถ่ายวิดีโอด้วยโหมด HDR (High Dynamic Range) Dolby Vision ที่ 30 เฟรมต่อวินาที แต่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ในขณะที่การซูมภาพถ่ายวิดีโอนั้น iPhone 12 ซูมได้สูงสุด 3 เท่า iPhone 12 Pro ซูมได้สูงสุด 6 เท่า ส่วน iPhone 12 Pro Max ซูมได้สูงสุด 7 เท่า

แต่คุณสมบัติเฉพาะด้านการถ่ายภาพที่มีเพียง iPhone 12 Pro Max เท่านั้นก็คือ ระบบเซนเซอร์ป้องกันภาพสั่นไหว ที่ปกติจะมีในกล้องถ่ายภาพระดับพรีเมียมเท่านั้น ซึ่งนั่นเท่ากับ การถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอของ iPhone 12 Pro Max จะมีความเสถียรมากกว่าเพื่อนร่วมรุ่นทั้งหมดอย่างแน่นอน

7. ความอึดของแบตเตอรี่ และความเร็วในการประมวลผล

จากการทดสอบเบื้องต้น ของทีมงาน cnet.com พบว่า iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ซึ่งใช้ชิพประมวลผล A14 Bionic เหมือนกันนั้น พบว่าทั้งคู่สามารถประมวลผลได้แทบไม่มีความแตกต่างกัน

ส่วนเรื่องความจุของแบตเตอรี่ จากการทดสอบ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro พบว่า iPhone 12 สามารถเล่นวิดีโอต่อเนื่อง ผ่าน Airplane Mode ได้ 17 ชั่วโมง 14 นาที ในขณะที่ iPhone 12 Pro ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย ด้วยระยะเวลา 15 ชั่วโมง 56 นาที ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากขนาดของเครื่องที่สามารถบรรจุแบตเตอรี่ได้มากกว่า

(หมายเหตุ ทีมงาน cnet.com ยังไม่ได้รับเครื่องทดสอบ iPhone 12 mini และ iPhone 12 Pro Max)

8. Lidar scan และหน่วยความจำ ทำให้เกิดความแตกต่าง

สิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรลืม คือ Lidar scan (Light Detection and Ranging) ที่มีเฉพาะใน iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max นั้น นอกจากจะช่วยให้การถ่ายภาพในที่มืดดียิ่งขึ้นแล้ว มันยังมีคุณสมบัติเด่นอื่นๆ เช่น การวัดระยะได้อย่างแม่นยำ รวมถึงช่วยในการทำภาพเสมือนที่เป็นรูปแบบ 3 มิติจำลอง หรือ AR (Augmented reality) ได้รวดเร็วขึ้น ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีด้วย ซึ่งปัจจุบันนักพัฒนาจากหลายค่ายกำลังใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อสร้าง Application ใหม่ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จาก SmartPhone ให้มากขึ้น

ส่วนประเด็นเรื่องความจุหน่วยความจำของ iPhone ทั้ง 4 รุ่นนั้น เบื้องต้นคงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณในกระเป๋าของแต่ละคนเป็นหลัก แต่หากคุณเป็นพวกนิยมการถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูงและต้องการบันทึกทุกๆ รูปไว้ในโทรศัพท์ สิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงเป็นลำดับแรกก่อนตัดสินใจซื้อ แน่นอนว่ามันคงต้องคือ ความจุของหน่วยความจำ นอกเหนือจากนั้น การวางแผนสำหรับการสมัครเข้าใช้บริการ iCloud ของ Apple ก็น่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณต้องคำนวณค่าใช้จ่ายเช่นกัน


9. หูฟังไร้สายที่คุ้มราคาที่สุด สำหรับ iPhone 12

เป็นที่ทราบกันดีว่า iPhone 12 ทุกรุ่น นอกจากจะไม่มี Adapter แถมมาให้แล้ว หูฟังมีสายขาประจำอย่าง Earbud ก็ถูกยกเลิกไปด้วย ภายใต้เหตุผลคำหรูดูดีที่เรียกว่า รักษ์โลก ฉะนั้นหากคุณตัดสินใจซื้อรุ่นใดรุ่นหนึ่ง จึงอาจมีความจำเป็นที่จะต้องกันเงินส่วนหนึ่งมาซื้อ หูฟัง เพิ่มเติม

และทั้งหมดนี้คือ 5 อันดับ หูฟังไร้สาย ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วว่า น่าจะคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย(เพิ่ม) เมื่อคุณซื้อ iPhone 12 ไม่ว่ารุ่นใดรุ่นหนึ่ง

1. Sony WH-1000XM4

WH-1000XM4 คือ หูฟังไร้สาย ที่ได้รับการแก้ไขจุดอ่อนเรื่องความสามารถในการสนทนาทางโทรศัพท์นอกสถานที่ จากรุ่นพี่คือรุ่น WH-1000XM3 ได้เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้มันยังได้รับการปรับปรุงเรื่องการเชื่อมต่อบลูทูธ ให้สามารถเชื่อมต่อ 2 อุปกรณ์ เช่น โทรศัพท์มือถือ และ PC ในเวลาเดียวกันได้ด้วย ซึ่งทำให้หากกรณีมีสายเรียกเข้าขณะคุณกำลังใช้หูฟังกับ PC มันจะถูกเปลี่ยนไปที่โทรศัพท์เมื่อคุณรับสายทันที นอกจากนี้มันยังเพิ่มการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกให้ดียิ่งขึ้นกว่าเก่าด้วย ทั้งหมดนี้คุณจะต้องจ่ายที่ราคา 13,990 บาท

2. Beats Flex

หูฟังไร้สาย แนว NeckBand จากแบรนด์ Beats ในเครือ Apple ที่มีราคาค่าตัวถูกอย่างเหลือเชื่อ เพียง 1,700 บาท ทั้งๆ ที่รุ่นพี่ในตระกูล BeatsX ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ขายในราคาถึง 5,900 บาท! ด้วยเหตุนี้ Beats Flex จึงกลายเป็นหูฟังที่ราคาเป็นมิตรกับผู้คนที่สุดแล้วของ Apple ในเวลานี้ และนอกจากราคาค่าตัวจะถูกลงแล้ว มันยังให้เสียงและการสนทนาทางโทรศัพท์ที่ดีขึ้น และการใช้งานที่ยาวนานขึ้นกว่ารุ่น BeatsX ที่มีราคาแพงกว่าเสียด้วย เรียกว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

3. Mpow X3

ด้วยราคาค่าตัวเพียง 1,890 บาท แต่หูฟังไร้สาย Mpow X3 กลับให้เสียงที่ดีจนน่าตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นความคมชัดของเสียงเบสและการตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญมันสามารถใช้งานได้ถึง 7 ชั่วโมง และสามารถกันน้ำได้ที่มาตรฐาน IPX7 ด้วย เรียกว่าคุ้มกว่านี้น่าจะไม่มีอีกแล้ว

4. AirPods Pro

แม้ว่าราคา 9,490 บาท อาจจะดูแพงไปสักนิด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธคือ AirPods Pro เป็นหูฟังไร้สายที่ยอดเยี่ยม ที่มาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวนและประสิทธิภาพเสียงเบสที่ดีขึ้น และมันยิ่งดีมากขึ้นไปอีกหลังล่าสุด Apple ได้มีการอัปเดตฟีเจอร์เสียงรอบทิศทาง ในเวลาชมภาพยนตร์ให้กับ iPhone และ iPad นอกจากนี้มันยังเป็นทางเลือกที่ดีเอามากๆ เวลาที่คุณใช้งานเวลารับสายหรือฟังเพลงระหว่างการไปออกกำลังกาย ติดแต่ว่าข้อเสียที่แก้ไม่ตกคือ แบตเตอรี่ยังเสื่อมสภาพเร็ว และคุณอาจต้องเสียเงินก้อนโตเพื่อซื้อรุ่นใหม่ ภายในระยะเวลาการใช้งานเพียง 1-2 ปี

5. Bose QuietComfort Earbuds

ประสิทธิภาพเรื่องเสียงและการตัดเสียงรบกวนที่ยอดเยี่ยม เป็นจุดเด่นที่ดีที่สุดของหูฟังไร้สายจากค่าย Bose ตัวนี้ ทำให้ราคาค่าตัว 8,800 บาท ไม่ถือเป็นรายจ่ายที่แพงมากจนเกินไปนัก และสามารถเทียบเคียงกับ AirPods Pro ในกรณีที่คุณอยากจ่ายในราคาถูกลงนิดหน่อย ได้อย่างคู่คี่สูสี.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก : เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: