ชายวัย 37 ปี ผู้กระชากชีวิตจากอาชีพวิศวกร สู่ "อภิมหาเศรษฐีหมื่นล้าน" ในชั่วพริบตา ยืนยันได้โดยนิตยสาร FORBES ที่รายงานว่า ในปัจจุบัน ชายผู้นี้มีทรัพย์สินถึง 16.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ!

ด้วยการนำเสนอ APPLICATION ที่ผนวกความคิดสร้างสรรค์และความบันเทิงได้อย่างสุดลงตัว

SONG DANCE CREATIVE HUMOUR AND 1MINUTE!

ทั้งหมดที่ว่าไปจากบรรทัดข้างบน คือ แรงขับชั้นดีที่ทำให้ APP ที่ชาวโลกเรียกขานมันว่า TikTok สามารถก้าวขึ้นทาบทับในระนาบเดียวกับ APP ประชานิยม ที่เริ่มเข้าสู่สัญญาณแห่งความโรยรา อย่าง FACEBOOK, TWITTER และ INSTARGRAM มากขึ้นทุกทีๆ

หากไม่มีอุบัติเหตุจากความขัดแย้งทางการค้าและการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน (ในอนาคตอันใกล้ๆ นี้)

'จาง อี้หมิง' (Zhang Yiming) คือ ชื่อของชายผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันสุดแสนมหัศจรรย์ที่ว่านั้น

ชายผู้ที่ปัจจุบัน...คือ ผู้มั่งคั่งในลำดับที่ 13 ของประเทศที่มีประชากรถึง 1.4 พันล้านคน และเขาคนนี้แทบจะไม่เปิดเผยเรื่องราวชีวิตส่วนตัวให้ชาวโลกได้รับรู้

ด้วยเหตุนี้...เราจึงอยากพาทุกคนไปรู้จักชายผู้ที่กำลังก้าวเท้าผ่านพรมแดงไปสู่อะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่า "ตำนาน" (ในอนาคต)

...

'จาง อี้หมิง' แปลว่า จงทำให้ทุกคนทึ่งจากความพยายามเพียงครั้งแรก

'จาง อี้หมิง' เกิดเมื่อปี 1983 ที่มณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน ครอบครัวของเขาประกอบอาชีพข้าราชการ ส่วนชื่อของเขานั้นมาจากสุภาษิตของจีน ที่แปลว่า "จงทำให้ทุกคนทึ่งจากความพยายามเพียงครั้งแรก" และได้สมรสกับภรรยาที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

โดยเจ้าพ่อ TikTok จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยนานไคในปี 2005 แต่สิ่งที่น่าใจ คือ ในตอนแรก เขาเลือกเรียนด้าน MICROELECTRONICS ก่อนที่จะเปลี่ยนใจไปเรียนคณะวิศวกรรมซอฟแวร์ในท้ายที่สุด

โดยงานแรกหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย คือ การไปสมัครเข้าทำงานที่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง MICROSOFT แต่แล้วความจำเจและน่าเบื่อหน่ายจากสารพัดระเบียบในออฟฟิศของชีวิตมนุษย์เงินเดือน ที่ถึงแม้จะได้รับค่าตอบแทนสูง (มาก) แต่มันกลับไร้ซึ่งความท้าทาย 'จาง' จึงตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตซะ!

เขาไปสมัครทำงานที่บริษัท STARTUP ที่กำลังเริ่มก่อร่างสร้างตัว (ณ เวลานั้น) อย่าง FANFOU (ทวิตเตอร์ของประเทศจีน) แต่ในเมื่อลองไปแล้ว มันยังไม่สุด 'จาง' จึงตัดสินใจค้นหาความท้าทาย (อีกครั้ง) ด้วยการไปทำงานให้กับบริษัท STARTUP ที่มีชื่อ KUXUN

ณ บริษัท STARTUP นี้เอง คือ หนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตของ BILLIONAIRE ผู้นี้!

จงเรียนรู้และหาคำตอบของเคล็ดลับความสำเร็จ ด้วยการ "ลงมือทำ"

เมื่อวิศวกรได้เรียนรู้หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ "อะไรคือ สิ่งที่เรียกว่า 'การขาย' และ 'การขายที่ดี' คืออะไร?"

"ตอนที่เริ่มงานชิ้นแรก ผมแทบจะเรียกได้ว่าเป็นวิศวกรธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่พอเข้าปีที่ 2 เท่านั้นแหละ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมต้องรับผิดชอบคนประมาณถึง 40-50 คน ที่ทำงานสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตภัณฑ์ทั้งหมด

และในช่วงปลายปี 2007 ผมจำได้ว่า ต้องไปติดต่อกับลูกค้าพร้อมๆ กับผู้อำนวยการฝ่ายขายของบริษัท ซึ่งประสบการณ์ที่ได้รับนั้น มันสุดแสนที่จะคุ้มค่า เพราะมันทำให้ผมได้เรียนรู้ภาพรวมของการทำธุรกิจทั้งหมด โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่สุด นั่นก็คือ... อะไรคือ "การขาย" และ "การขายที่ดี" มันต้องเป็นอย่างไร

ซึ่งจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้รับในครั้งนั้น ผมสามารถนำมันมาปรับใช้ได้ ทั้งการก่อตั้งบริษัท การรับสมัครพนักงาน และการดำเนินธุรกิจ จนกระทั่งประสบความสำเร็จได้จวบจนถึงปัจจุบัน"

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่อภิมหาเศรษฐีผู้นี้ยอมรับว่า ได้เรียนรู้จากก้าวแรกในการทำธุรกิจ ก็คือ...จงลงมือทำและสัมผัสผู้คน เพื่อหาคำตอบที่สำคัญที่สุดที่ว่า "ลูกค้าต้องการอะไร?"

...

"ในตอนนั้น งานที่ผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง คือ เรื่องเทคโนโลยี แต่เมื่อใดก็ตามที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีปัญหา ผมจะต้องถูกตามให้เข้าร่วมการหารือเรื่องแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกครั้งไป

ผู้คนมากมายมักจะชอบพูดว่า เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่คุณควรจะต้องทำ แต่ผมอยากจะพูดถึงเรื่องนี้ว่า ความรับผิดชอบและความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ดีๆ จะผลักดันให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นๆ รวมถึงคุณยังจะได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ การยิ่งได้พบและสัมผัสกับผู้คนมากมายนั้น จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์ในการทำงานที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงความคิดในแบบเป็นขั้นเป็นตอนและอยู่ในกรอบ ในสมัยที่ผมเป็นวิศวกร ไปสู่วิสัยทัศน์ใหม่ๆ ที่ว่า หากคิดจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ สิ่งที่มีความจำเป็นมากที่สุด คือ ต้องเข้าใจให้ได้ว่า ลูกค้าต้องการอะไร?"

BYTEDANCE ต้องเติบโตแบบไร้ขีดจำกัด เฉกเช่นที่ GOOGLE เป็นอยู่ในทุกวันนี้

สำหรับเส้นทางที่นำไปสู่การก่อร่างสร้างตัว และสร้างบริษัทที่มีชื่อว่า BYTEDANCE ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 7.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และถือเป็นบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก รวมถึงเป็นเจ้าของ APPLICATION SOCIAL NETWORK ในมือมากมาย

...

ซึ่งในจำนวนนั้น นอกจาก TIKTOK ที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันเป็นอย่างดี ล่าสุด พวกเขายังมี FLIPCHAT และ DUOSHAN ที่ถูกปล่อยออกมาในปี 2019 เพื่อหวังโค่นแชมป์อย่าง WECHAT ที่ปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในประเทศจีน (ให้จงได้นับจากนี)

เอาล่ะ...เราไปกันที่บันไดขั้นที่ 2 สู่ความเป็นอภิมหาเศรษฐีของ 'จาง อี้หมิง' กันต่อเลยดีกว่า...

จุดกำเนิด BYTEDANCE ยูนิคอร์นที่กำลังพุ่งทะยานไปสู่ดวงดาว

"ผมมองเห็นคนเล่น SMARTPHONE เดินบนท้องถนนมากขึ้นทุกทีๆ และในปี 2007 เมื่อ APPLE วางจำหน่าย IPHONE รุ่นแรก มันทำเอาผมแทบช็อก หลังจากไปซื้อมันมาใช้งาน แล้วพบว่า ผมสามารถสร้างเว็บไซต์หรือเขียนโปรแกรมได้บน IPHONE" เจ้าพ่อ TIKTOK เปลือยใจกับสื่อถึงแนวคิดที่จะก่อตั้งบริษัท ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีหมื่นล้านในอีกไม่กี่ปีต่อมา

บริษัท BYTEDANCE ถูกก่อตั้งได้สำเร็จในปี 2012 ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทด้านการค้าและเทคโนโลยีระดับโลก อย่าง SUSQUEHANNA INTERNATIONAL GROUP หรือ SIG ซึ่งได้มอบเงินทุนสูงถึง 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังการขายไอเดียครั้งแรก เพื่อขอระดมเงินทุนจากนักลงทุนชาวจีนประสบความล้มเหลว

ซึ่งหลังจากได้เงินทุนที่ว่า BYTEDANCE ได้ปล่อย APPLICATION ที่มีชื่อว่า TOUTIAO (แปลว่าพาดหัวข่าว) ซึ่งเป็น APP รวบรวมข่าวสารและใช้ AI ในการจัดสรรข้อมูลให้กับผู้ใช้บริการ

อึม...จะว่าไปมันก็คือ GOOGLE NEWS นั่นแหละ เพียงแต่...มันอยู่ในเวอร์ชั่นภาษาจีนแค่นั้น

แล้วมันก็ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ TOUTIAO ได้รับความนิยมจากผู้คนในดินแดนมังกรชนิดถล่มทลาย ถึงขนาดมียอดผู้ใช้งานมากกว่า 260 ล้าน USER ในแต่ละเดือน!

โดยหลังจากที่มันประสบความสำเร็จ ดาวรุ่งดวงใหม่แห่งโลกเทคโนโลยีผู้นี้ก็ไม่ต่างจาก TECH BOSSES คนอื่นๆ ที่ออกมายืนกราน (เหมือนๆ กัน) ว่า TOUTIAO ไม่ใช่ทั้งธุรกิจสื่อหรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ แต่เป็นผู้ผลักดันข้อมูลข่าวสารที่ดีให้กับผู้คน โดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการตั้งคำถาม (พูดง่ายๆ คือ เรารู้แม้แต่ว่า คุณกำลังคิดอะไรและอยากจะรู้อะไรนั่นแหล่ะ)

...

แต่คุณเชื่อหรือไม่? แม้ว่า TOUTIAO จะได้ชื่อว่าเป็น APP ที่โฟกัสเรื่อง "ข่าวสาร" เป็นสำคัญ แต่เมื่อปรายตาไปทั่วทั้งบริษัท BYTEDANCE กลับไม่พบ "ผู้สื่อข่าว" แทรกตัวอยู่ในองค์กรนี้ แม้แต่เพียงคนเดียว เช่นเดียวกับอีกหลายๆ SOCIAL NETWORKS ยักษ์ใหญ่บนโลกใบนี้

ซึ่งคำตอบ สำหรับคำถามของ 'จาง อี้หมิง' ในประเด็นนี้คือ...

"นั่นเป็นเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราไม่ใช่ธุรกิจสื่อสารมวลชน แต่เราก็เป็นมากกว่า search business หรือ social media platform และเรากำลังลงมือสร้างนวัตกรรมการทำงานในรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใช่การลอกเลียนบริษัทของสหรัฐอเมริกา ทั้งในเรื่องผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี"

และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะไม่เหมือนกับรอยทางที่ตะวันตกเคยย่ำเอาไว้ก่อนหน้านี้ ในที่สุด มันก็ได้กลายเป็นสิ่งที่เราๆ ท่านๆ รู้จักเป็นอย่างดี ภายใต้ชื่อ TIKTOK

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ สิ่งที่ "เรา" อยากให้ "คุณ" ทบทวนความจำจากการอ่านในบรรทัดด้านบนสักนิดก็คือ คำพูดนี้ของ 'จาง อี้หมิง'

"เราคือ ผู้ผลักดันข้อมูลข่าวสารที่ดีให้กับผู้คน โดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการตั้งคำถาม"

นั่นเป็นเพราะกลยุทธ์เลือก CONTENT ให้กับ USERS เพื่อปลดปล่อยพวกเขาจากการถูกกั้นขวาง ด้วยคำถาม คือ ไม้เท้าวิเศษที่ทำให้ TIKTOK สามารถพิชิตดินแดนตะวันตกลงได้ในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ มันจึงนำไปสู่การนำเสนอ APP ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันและมากด้วยมันสมองให้กับชาวจีนและชาวโลก ที่มีชื่อว่า DOUYIN (ชื่อของ TIKTOK ในประเทศจีน)

โดย DOUYIN เวอร์ชันแรก ถูกสร้างขึ้นภายในระยะเวลา 200 วัน จากนั้นเมื่อถูกปล่อยออกมาในเดือนกันยายน ปี 2016 มันถูก USER กระหน่ำ DOWNLOAD ไปสูงถึง 100 ล้านครั้ง! ภายในสิ้นปีนั้นทันที!

นับจากนั้นเป็นต้นมา TIKTOK ได้ปีนป่ายสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็วชนิดโลกต้องตกตะลึง โดยในช่วงปลายปี 2019 มันคือ APP ที่ไม่ใช่เกมที่ถูก LOAD มากที่สุดในระบบ IOS นอกจากนี้ TIKTOK ได้กลายเป็นหนึ่งใน APP SOCIAL NETWORKS ที่สุด POP สำหรับวัยรุ่นอเมริกัน หลังจากมันถูก DOWNLOAD ไปมากกว่า 1 พันล้านครั้ง!

โดยความสำเร็จในระดับสร้างปรากฏการณ์นี้ มันเกิดขึ้นจาก TIKTOK สามารถขจัดอุปสรรคพื้นฐานที่ทั้ง TWITTER และ FACEBOOK เคยเผชิญและต้องใช้เวลานานนับปี กว่าที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ นั่นคือ การที่จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก APP ของตัวเองได้ จนกว่าผู้ใช้บริการใหม่จะกด FOLLOW หรือ ADD FRIEND ใครสักคนนั่นเอง

แต่ในกรณี TIKTOK มันต่างออกไป เพราะมันสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดนั้น ด้วยการที่ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องป้อนอะไรลงไปก่อนที่จะได้รับชมคลิปต่างๆ ของผู้ใช้บริการคนอื่นๆ ภายใน APP ซึ่งวิธีการนี้ ทำให้บรรดาผู้ใช้บริการจำนวนไม่น้อย หลงกด LIKE คลิป หรือกด SKIP เพื่อเล่นคลิปวิดีโอถัดไป จนทำให้การใช้งาน APP มีความต่อเนื่องและยาวนานขึ้นโดยไม่รู้ตัว

คนแพ้ต้อง "วิดพื้น" วิธีกระตุ้นพนักงาน SENIOR ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ USER รุ่นหลาน

"มันเนิ่นนานมากแล้วที่ผมเพียงเฝ้ามองสารพัดคลิปวิดีโอใน TIKTOK โดยไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง นั่นเป็นเพราะมันคือ PRODUCT เฉพาะสำหรับคนหนุ่มสาว แต่ในเวลาต่อมา ผมได้ขอร้อง (แกมบังคับ) ให้บรรดาพนักงานของเรา (โดยเฉพาะรุ่น SENIOR) ต้องทำคลิปโพสต์ลงบน TIKTOK ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า คลิปเหล่านั้นในท้ายที่สุดจะต้องเป็นผู้ชนะ และได้ยอด LIKE จำนวนหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะถูกผมลงโทษโดยการให้วิดพื้น"

ซึ่งคำสั่งในแบบทีเล่นทีจริง แต่มุ่งไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาทีมนี้เอง ทำให้นักข่าวของนิตยสาร TIME ได้ให้คำจำกัดความวิถีแห่งผู้นำของเขา หลังการให้สัมภาษณ์พิเศษเอาไว้ว่า

"หนุ่มแน่นแต่ฉลาด นุ่มนวลแต่มากด้วยเสน่ห์ และเต็มไปด้วยตรรกะแต่น่าหลงใหล"

และหลังจากการเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ของ TIKTOK ทำให้ 'จาง อี้หมิง' ปักหมุดหมายแห่งความทะเยอทะยานในอนาคตเอาไว้ว่า BYTEDANCE จะต้องเติบโตแบบไร้ขีดจำกัด เฉกเช่นที่ GOOGLE เป็นอยู่ในเวลานี้

ซึ่งการจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้ ทุกคนจะต้องทำงานให้หนักขึ้นและมีความเป็นมืออาชีพให้มากขึ้น เพื่อที่พัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการชาวจีนให้ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติต่อไป...

สงครามการค้าสหรัฐฯ VS จีน อุปสรรคกั้นขวาง TikTok

เอาล่ะถึงแม้ TikTok กำลังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่แล้วจู่ๆ ม้ายูนิคอร์นที่กำลังวิ่งด้วยความคึกคะนอง กลับต้องสะดุดหัวคะมำ และต้องยอมก้มหัวเสียค่าปรับ ที่มีตัวเลขสูงถึง 5.7 ล้านเหรียญสหรัฐ จากข้อกล่าวหาล้วงข้อมูลส่วนบุคคลจากเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 13 ปี อย่างผิดกฎหมายและปราศจากความยินยอม โดยคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหรัฐฯ หรือ FTC

จากนั้นตามมาด้วยการที่ประธานาธิบดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศว่าจะใช้อำนาจของประธานาธิบดีแบน TikTok ในประเทศแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว ภายใต้ข้อกล่าวหาที่ว่า TikTok แอบนำข้อมูลผู้ใช้บริการ (ชาวสหรัฐอเมริกา) ไปให้กับทางรัฐบาลจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในอนาคต

(อืม...ว่าแต่ หากเป็นข้อกล่าวหานี้ แล้วสารพัด APP สัญชาติอเมริกาทั้งหลายที่ก็ล้วนแล้วแต่มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกไม่ต่างกัน เหตุไฉนถึงได้รับการยกเว้นในประเทศแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้วกันเล่า?)

ซึ่งทันทีที่ 'ท่านผู้นำทรัมป์' ประกาศเรื่องดังกล่าวให้กับบรรดาผู้สื่อข่าวทราบ ขณะอยู่บนเครื่องบิน AIR FORCE ONE มันได้ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามตามมาทันทีว่า MEGADEAL ที่ MICROSOFT กำลังเจรจาเพื่อขอซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐอเมริกา ที่ว่ากันว่าน่าจะมีตัวเลขสูงถึง 20,000-40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันได้หยุดชะงักลงชั่วคราว จะสามารถเดินหน้าต่อได้หรือไม่ รวมถึงการเติบโตที่กำลังเบ่งบานอย่างน่าหลงใหลนี้ จะมาถึง "จุดจบ" ด้วยหรือไม่เช่นกัน...

(ข้อกล่าวหา) TikTok ดูดข้อมูลของผู้ใช้บริการมีอะไรบ้าง?

คุณดูและคอมเมนต์คลิปอะไรบ้าง?

ข้อมูล สถานที่ ขณะที่คุณกำลังใช้งาน?

ชนิดและรุ่นรวมถึงระบบปฏิบัติการของมือถือของคุณ?

จังหวะความเร็วในการพิมพ์ TEXT ของคุณ? (เพื่อจะได้รู้ว่าคุณกำลังอยู่ในอารมณ์แบบใด เช่น โกรธหรือดีใจ)

คุณกำลังอ่านก็อปปี้ หรือแม้กระทั่งวางข้อความอะไร ลงไปในคลิป?

อย่างไรก็ดี สื่อดังในต่างประเทศได้มีการตั้งข้อสังเกตถึงข้อกล่าวหาเรื่องการดูดข้อมูลผู้ใช้บริการนี้ว่า ไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก APP อื่นๆ ที่มีอยู่อีกหลายๆ ล้าน APP ทั่วโลก โดยเฉพาะ FACEBOOK ซึ่งได้กระทำการ "ล้วงข้อมูล" ผู้ใช้บริการเหมือนๆ กันเลยสักนิด

ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า TikTok นำข้อมูลที่ได้มาทั้งหมด ส่งให้กับ "รัฐบาลจีน" นั้น ทาง TikTok ยืนกรานอย่างหนักแน่นมาโดยตลอดว่า บริษัทไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบงำของรัฐบาลจีนและข้อมูลของผู้ใช้บริการทั้งหมดถูกจัดเก็บไว้นอกประเทศจีน

อะไรที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ TikTok ในปี 2020 (ล่าสุด ณ เดือนกรกฎาคม ปี 2020)

เดือนเมษายน ปี 2020 TikTok ถูก DOWNLOAD จาก APP STORE และ GOOGLE PLAY ทั่วโลกรวมกันถึง 1.8 พันล้านครั้งแล้ว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 TikTok มียอด DOWNLOAD สูงถึง 315 ล้านครั้งทั่วโลก หรือสูงขึ้น 58% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา

โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สาเหตุที่ TikTok เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 หลายประเทศเข้าสู่ภาวะ LOCKDOWN ทำให้บรรดาผู้คนมีเวลาอยู่กับโทรศัพท์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงต่างมองหาความบันเทิงรูปแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้อง STAY AT HOME ซึ่ง TikTok สามารถตอบโจทย์ที่ว่านั้นได้อย่างลงตัว

ส่วนตัวเลข ACTIVE USERS ต่อเดือนทั่วโลก ในปัจจุบันอยู่ที่ 800 ล้าน USERS ใน 155 ประเทศ (รองรับ 39 ภาษา) ทำให้ TIKTOK กลายเป็น SOCIAL NETWORK ที่มียอด ACTIVE USERS ต่อเดือนสูงเป็นลำดับที่ 7 ในโลกแล้ว (อ้างอิง: datareportal.com)

โดยจำนวนผู้ใช้ TikTok ส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก โดยเฉพาะที่ประเทศอินเดีย มีชาวภารตะ DOWNLOAD ไปใช้งานแล้วมากกว่า 611 ล้านครั้ง หรือเท่ากับ 30% ของยอดการ DOWNLOAD ทั่วโลก และปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีกระแสข่าวว่า รัฐบาลอินเดียกำลังเดินตามรอยสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรในการแบน TikTok ก็ตาม ส่วนลำดับที่ 2 คือ ประเทศจีน ที่มียอดการ DOWNLOAD สูงถึง 196.6 ล้านครั้ง ส่วนลำดับที่ 3 คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มียอด DOWNLOAD 165 ล้านครั้ง

ในขณะที่ ค่าเฉลี่ยการใช้งานต่อวันของ TikTok อยู่ที่ 52 นาที ซึ่งถือเป็นตัวเลขการใช้งานที่จี้ติด INSTAGRAM ซึ่งมีค่าเฉลี่ยที่ 53 นาที เข้าไปทุกขณะแล้ว และแม้ว่า TikTok ยังคงมีค่าเฉลี่ยตามหลัง THE KING OF SOCIAL MEDIA อย่าง FACEBOOK ที่มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 58.5 นาที อยู่อีกมากมายนัก แต่บรรดานักวิเคราะห์ทางการตลาดหลายคนต่างเห็นตรงกันว่า จำนวนค่าเฉลี่ยที่ TikTok สามารถทำได้นั้น มันมากเพียงพอแล้วสำหรับการทำให้บรรดา USERS มีโอกาสเห็นโฆษณาในระดับที่สามารถทำการตลาดได้

ส่วนอายุเฉลี่ยของ USERS ที่เล่น TikTok นั้น มีจำนวนมากถึง 41% อยู่ในช่วงอายุ 16-24 ปี และ 90% ของ USERS มีพฤติกรรมเล่น TikTok เป็นประจำทุกวันและวันละหลายๆ ครั้ง ขณะที่จำนวนการดูคลิปวิดีโอโดยเฉลี่ย มีมากกว่า 1 ล้านครั้งทุกวัน

ปัจจุบัน บริษัท BYTEDANCE ผู้พัฒนา APP TikTok มีมูลค่าถึง 78,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ถือเป็นบริษัท STARTUP ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

END CREDIT

เรื่องเล่าอีกมุมมองของ TikTok

ปี 2014 มี APP ที่มีชื่อว่า MUSICAL.LY ถือกำเนิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมันได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในหมู่วัยรุ่นอายุ 13-18 ปี โดยสาเหตุที่มัน POP อย่างมากนั้น มาจากการที่บรรดา USER สามารถทำคลิปให้ผสมผสานกับบรรดาเพลงฮิตทั้งหลายที่กำลังเป็นที่นิยม ณ เวลานั้น (อืม...ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหม)

ซึ่งคลิปที่ USER นิยมทำมากที่สุดก็คือ คลิป LIP-SYNCING และ DANCE COVER ทำให้ในช่วงกลางปี 2017 APP MUSICAL.LY มีตัวเลขผู้ใช้งานสูงถึง 200 ล้าน USER

อย่างไรก็ดี ในปี 2016 ที่ประเทศจีน บริษัท BYTEDANCE ได้สร้าง APP ขึ้นมาตัวหนึ่ง มีชื่อว่า DOUYIN ซึ่งมีการใช้งานที่แทบหาความแตกต่างจาก MUSICAL.LY ไม่เจอ เพียงแต่มันถูกปล่อยให้ DOWNLOAD ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ต่อมาหลังจากมันฮิตระเบิดบนแผ่นดินมังกร บริษัท BYTEDANCE จึงเปลี่ยนชื่อมันจาก DOUYIN ไปเป็น TikTok เพื่อบุกตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีที่บุกออกสู่ตลาดโลกนี้เอง TikTok มี USER กด DOWNLOAD สูงถึง 100 ล้านครั้งแล้ว

ต่อมาในปี 2017 MUSICAL.LY ถูกบริษัท BYTEDANCE เข้าซื้อกิจการในมูลค่าสูงถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหลังจากเขมือบคู่แข่งได้สำเร็จ ต่อมาในปี 2018 บริษัท BYTEDANCE ได้นำ user accounts จาก Musical.ly และ TikTok มารวมกันอยู่ใน APP TikTok ทั้งหมด

และนี่คือ ต้นกำเนิด TikTok ในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่บริษัท BYTEDANCE (อาจจะ) ไม่อยากเล่า OOPS!