ยังจำกันได้ไหม? มาตรการกึ่งหักดิบ ‘แบนพลาสติก’ ตัวการร้ายทำลายสิ่งแวดล้อม อย่าปล่อยให้ความพยายามสูญเปล่า เพราะการมาของ ‘โควิด-19’ (COVID-19) เปิดแนวคิดจาก ‘คนตัวเล็ก’ ในดินแดนซากุระ...ที่มีผลในระดับชาติ

เริ่มต้นครึ่งปีหลัง 1 กรกฎาคม 2563 กับการประกาศคิดค่าธรรมเนียม ‘ถุงพลาสติกหูหิ้ว’ 3-5 เยนต่อถุง (ประมาณ 1-1.50 บาท) ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อเจ้าใหญ่ทั่วประเทศญี่ปุ่น หลังปริมาณถุงพลาสติกหูหิ้วสูงถึง 3 หมื่นล้านถุงต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 5.6 จากทั่วโลก คิดดูว่ามากกว่าปริมาณการใช้ถุงพลาสติกในสหราชอาณาจักรที่มีประชากรน้อยกว่าญี่ปุ่นครึ่งหนึ่งถึง 17 เท่า

หากปล่อยให้เป็นไปอย่างที่เคยเป็น ปริมาณขยะพลาสติกอาจไม่ได้อยู่แค่ตามถังขยะทั่วไป แต่จะลามไปป่าเขา แม่น้ำ ลำคลอง และลงในทะเล

แล้วใครกันที่ได้รับผลกระทบหากเป็นแบบนั้น คำตอบก็คงรู้กันอยู่แล้ว ก็ ‘มนุษย์’ เราเองนี่แหละ!

แต่มาตรการ ‘แบนพลาสติก’ แบบหักดิบในทุกๆ ผลิตภัณฑ์เลย โฆษกผู้ประกอบการค้าปลีกเจ้าดังก็ยอมรับว่า "ยากที่จะการันตีมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารในห่วงโซ่การขนส่ง"

ดังนั้น สิ่งที่ ‘ญี่ปุ่น’ ทำคือ ความพยายามที่จะค่อยๆ ลดการสร้างขยะพลาสติก ตั้งแต่การออกกฎหมายในปี 2534 เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผู้ประกอบการคำนึงถึงหลัก 3R (ใช้น้อย, ใช้ซ้ำ, นำไปรีไซเคิล) ตลอดทั้งกระบวนการผลิต และมีส่วนรับผิดชอบในการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ของตัวเอง

แต่ว่าตามจริง เวลานั้นหลายประเทศก็เริ่มประกาศลดให้ถุงพลาสติกใช้แล้วทิ้งกันมานานแล้ว การที่ ‘ญี่ปุ่น’ เพิ่งประกาศเลิกให้ ‘ถุงฟรี’ จึงดูเริ่มเคลื่อนไหวช้าไปบ้าง

...

แล้วก่อนหน้านั้น เกิดอะไรขึ้นกับ ‘ญี่ปุ่น’...?

ถอดแนวคิด "คนตัวเล็ก" ญี่ปุ่นมองลึก อย่าทำแค่ "แบนพลาสติก" แล้วจบ

เคยได้ยินประโยคทำนองนี้กันไหม?

"วัฒนธรรมห่อพลาสติก...เพิ่มคุณค่าสินค้า"

นี่ล่ะ! คือ ‘คำตอบ’

‘รอย ลาร์ค’ ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัย Waikato บรรณาธิการฝ่ายการตลาดเว็บไซต์ JapanConsuming อธิบายไว้ว่า คนญี่ปุ่นในยุค 2500-2510 ติดการใช้พลาสติกมาก ในตอนนั้นญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตของโลก แต่เมื่อเศรษฐกิจในประเทศเริ่มเติบโตจึงมีแผนการเปลี่ยนภาพลักษณ์จากที่เคยผลิตสินค้าราคาถูกกลายเป็นผู้ค้าปลีกสินค้าพรีเมียม

ผู้ผลิตสินค้าจึงให้ความสำคัญกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม เพื่อมาตอบโจทย์รสนิยมของผู้บริโภคที่ต้องการมองหาสินค้าคุณภาพสูง จึงกลายเป็นมาตรฐานของผู้ค้าปลีกที่เชื่อว่าผู้ซื้อจะชอบการห่อหีบสินค้าอย่างประณีตงดงาม

"ผู้ค้าปลีกรายใหญ่มองว่า ตัวเองเป็นผู้ตัดสินใจเลือกคุณภาพสินค้าที่ดีแทนผู้บริโภค พวกเขาจะปฏิเสธสินค้าที่บรรจุภัณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐาน หรือดูธรรมดาเกินไปออกจากร้าน"

ในหนังสือเรื่อง "Wrapping Culture: Politeness, Presentation in Japan and Other Societies" ปี 2536 โดย นักมานุษยวิทยา ‘จอย เฮนดรี’ เขียนถึงวัฒนธรรมการบรรจุหีบห่อพลาสติกที่ขยายความนิยมไปจนถึงการห่ออาหาร แน่แหละว่าเพื่อความสะอาดรวมถึงความสวยงาม นอกจากนั้นการห่ออาหารด้วยพลาสติกยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมความสุภาพของคนญี่ปุ่นที่แสดงถึงการให้บริการอย่างใส่ใจ การห่อด้วยพลาสติกยังทำให้ของราคาถูกดูมีราคาสูงขึ้น ทั้งยังสร้างความประทับใจแก่ผู้ซื้อว่าร้านค้านี้มีการบริการลูกค้าอย่างเอาใจใส่ในรายละเอียด

แต่ว่าไป...

ถึงใช้เยอะ แต่ก็รีไซเคิลเยอะ

ถอดแนวคิด "คนตัวเล็ก" ญี่ปุ่นมองลึก อย่าทำแค่ "แบนพลาสติก" แล้วจบ

อย่าง ‘ประเทศไทย’ สร้างขยะพลาสติกมากกว่า 2 ล้านตันต่อปี และสามารถนำมารีไซเคิลได้เพียงร้อยละ 25 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นสร้างขยะพลาสติกประมาณ 9 ล้านตันต่อปี แต่อัตราการรีไซเคิลพลาสติกของญี่ปุ่นอยู่ที่ร้อยละ 84 จากข้อมูลของสถาบันการจัดการขยะพลาสติกในญี่ปุ่น

ในประเทศญี่ปุ่นมีการยึดหลักการ 3R คือ ใช้น้อย ใช้ซ้ำ นำไปรีไซเคิล อย่างเคร่งครัด โดยรัฐบาลแต่ละท้องถิ่นจะมีข้อมูลในเว็บไซต์ กำหนดวันทิ้งขยะและรายละเอียดการแยกขยะแต่ละประเภทอย่างละเอียด ซึ่งในแต่ละท้องที่อาจมีมาตรการบางอย่างที่แตกต่างกันไป บางที่ต้องเขียนชื่อไว้บนถุงขยะเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ และหากนำถุงขยะมาทิ้งผิดประเภทผิดวันรถขยะจะไม่เก็บถุงนั้นไปด้วย ตัวอย่างการแยกขวดน้ำพลาสติกจะต้องล้างทำความสะอาดก่อนทิ้งแยกฝาขวด ฉลาก และตัวขวดต่างถังขยะกัน นอกจากนี้ยังมีเบอร์โทรศัพท์สายด่วนเพื่อเรียกให้มาเก็บขยะพิเศษ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และขยะติดเชื้อ

...

แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีรูปแบบการจัดการขยะที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วระบบรีไซเคิลก็ยังรับปริมาณขยะพลาสติกที่ล้นหลามไม่ไหว ที่ศูนย์รีไซเคิลเอนจิเนียริ่ง อิชิคาวะ คันคโย (Ichikawa Kankyo Engineering recycle center) รับขยะพลาสติกจากเขตคัตสึชิกะ เขตหนึ่งในโตเกียวมารีไซเคิลทุกวัน มากถึงวันละ 10 ตัน

อย่าปล่อย...ความพยายามรักษ์โลกที่สูญเปล่า

ถอดแนวคิด "คนตัวเล็ก" ญี่ปุ่นมองลึก อย่าทำแค่ "แบนพลาสติก" แล้วจบ

แม้ตัวเลขการรีไซเคิลในญี่ปุ่นจะสูง แต่มันก็ซ่อนนัยสำคัญบางอย่างในนั้น ‘ชิซาโต โจโน' โฆษกกรีนพีซประจำประเทศญี่ปุ่น กล่าวไว้ว่า

เมื่อคนญี่ปุ่นคัดแยกขยะพลาสติกเป็นอย่างดีก่อนนำไปทิ้ง พวกเขาคิดว่าขยะเหล่านั้นจะกลายมาเป็นพลาสติกชิ้นใหม่ ในทางกลับกันขยะพลาสติกส่วนมากที่ทิ้งลงถังมานั้นจะไม่ถูกนำมาผลิตใหม่ เพราะคุณภาพของพลาสติกที่ต่ำลงรวมถึงปริมาณพลาสติกที่มีเยอะเกินไป ส่วนหนึ่งจึงต้องนำไปกลบฝัง และมากกว่าครึ่ง ประมาณร้อยละ 56 ถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงาน เป็นกระบวนการที่เรียกว่ารีไซเคิลความร้อน นำมาสร้างกระแสไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นมลพิษกับสิ่งแวดล้อมด้วย

...

ขยะพลาสติกและเศษตัดพลาสติกอีกส่วนหนึ่งยังส่งออกไปต่างประเทศ ในปี 2561 ญี่ปุ่นเป็นประเทศอันดับหนึ่งในการส่งออกขยะพลาสติก ปริมาณกว่า 1 ล้านตัน ซึ่งจะสร้างปัญหาใหม่เมื่อขยะได้ส่งไปถึงประเทศปลายทาง

"เราไม่รู้ว่าขยะเหล่านั้นจะถูกนำไปรีไซเคิลด้วยวิธีที่เหมาะสมหรือไม่ และกระบวนการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คน" โจโนกล่าว เนื่องจากอุตสาหกรรมรีไซเคิลเป็นอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษสูง ทำให้อากาศปนเปื้อนและเป็นตัวก่อโรคมะเร็ง

ทว่าประเทศที่เคยเป็นที่รับซื้อขยะอย่างจีนประกาศแบนขยะพลาสติกนำเข้า ในเดือนสิงหาคม ปี 2560 ส่งผลให้ขยะพลาสติกในญี่ปุ่นเริ่มถมสูงด้วยกำลังของคลังเก็บที่ไม่เพียงพอ ญี่ปุ่นจึงเบนเป้าส่งออกไปยังประเทศอื่น เช่น ไต้หวัน มาเลเซีย และประเทศไทย ซึ่งทำให้ยอดนำเข้าของไทยสูงขึ้นมากถึงร้อยละ 2,000-7,000 ในปี 2562 จากที่เคยนำเข้า จำนวน 2,508 ตัน เพิ่มขึ้นเป็น 9,860 ตัน

ด้าน ‘ยู’ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมกล่าว คนญี่ปุ่นคิดว่าวิธีการที่พวกเขาจัดการขยะอย่างดีแล้ว ก่อนทิ้งภาชนะพลาสติกจะต้องล้างทำความสะอาดแล้วตากให้แห้ง และแยกประเภทอย่างละเอียด แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาของขยะพลาสติกจะยังเพิ่มขึ้น ถ้าพวกเขายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมที่นำไปสู่การลดปริมาณการใช้ อย่างการปฏิเสธที่จะรับถุงเมื่อซื้อสินค้า "นั่นจะเป็นตัวกระตุ้นให้ฝั่งผู้ขายเริ่มคิดเปลี่ยนไม่ใช้พลาสติกห่อสินค้า"

ถอดแนวคิด "คนตัวเล็ก" ญี่ปุ่นมองลึก อย่าทำแค่ "แบนพลาสติก" แล้วจบ

...

แนวคิดจากคนตัวเล็ก

ในตำบลเล็กๆ ของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งได้เริ่มปฏิการมุ่งสู่การสร้างขยะเท่ากับศูนย์ ตั้งแต่ปี 2546 ที่ตำบลคามิคัทสึ ผู้นำศูนย์จัดการขยะทำหน้าที่ให้ความรู้แก่คนในชุมชนเรื่องการคัดแยกประเภทขยะ แบ่งได้ถึง 45 ประเภท ทำให้นำไปรีไซเคิลได้ง่าย รวมทั้งเรื่องการลงทุนซื้อของใช้ในบ้านที่ใช้ซ้ำได้เรื่อยๆ ซึ่งในปีที่ผ่านมาคามิคัทสึได้เข้าใกล้เป้าหมายโดยสามารถนำขยะไปรีไซเคิลได้ถึงร้อยละ 80.7 จากขยะทั้งหมดที่เมืองสร้าง ส่วนที่เหลือหากยังใช้งานได้ก็จะนำมาตั้งไว้ในร้านค้าหมุนเวียนกลายเป็นของใช้มือสองที่ให้คนมาหยิบไปได้และมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว

นอกจากนี้ ยังมีการออกอุบายจูงใจคนในชุมชนให้หลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียว ด้วยการสร้างเครือข่ายร้านค้าในชุมชนให้ช่วยกันลดการสร้างขยะ มีการสะสมคะแนนเมื่อผู้ซื้อปฏิเสธการรับถุง แล้วคะแนนที่ได้จะนำไปจับสลากแลกของรางวัลได้ ตัวแทนศูนย์คัดแยกขยะกล่าว

ในเมืองที่ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อยก็มีมาตรการลดขยะเช่นกัน ในปี 2561 เมืองคาเมโอกะเป็นเมืองแรกในญี่ปุ่นที่ประกาศแบนพลาสติกใช้ครั้งเดียว และตั้งเป้าให้เลิกใช้ทั้งหมดภายในปี 2573

แล้วอนาคตการใช้ ‘พลาสติก’ เป็นอย่างไร?

ถอดแนวคิด "คนตัวเล็ก" ญี่ปุ่นมองลึก อย่าทำแค่ "แบนพลาสติก" แล้วจบ

ปลายปีที่แล้วมีอย่างน้อย 90 ประเทศที่มีการแบน หรือลดอย่างจริงจังในกลุ่มพลาสติกใช้ครั้งเดียว เช่น ถุงหูหิ้ว หลอด แก้ว ที่ประเทศจีนมีแผนจะแบนพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในหลายเมืองใหญ่ปลายปีนี้ และแบนทั้งประเทศภายในปี 2565 ส่วนประเทศญี่ปุ่นรวมมาตรการทั้งสร้างแรงจูงใจและกีดกันให้ผู้ซื้อลดการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียว และส่งเสริมการรีไซเคิลในภาคอุตสาหกรรม

ตัวผู้ซื้อเองต้องตระหนักถึงการสร้างสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในการกำหนดคุณค่าและโมเดลการทำธุรกิจในอนาคต

ฝ่ายธุรกิจเองก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ในปี 2562 ร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาทั่วประเทศ อย่างเซเว่น อีเลฟเว่น ได้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ห่อข้าวปั้นเป็นพลาสติกชีวภาพที่ผลิตจากพืช ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญเพราะร้านสะดวกซื้อผลิตข้าวปั้นกว่า 2.2 พันล้านลูกต่อปี จะประมาณการลดการสร้างขยะพลาสติกได้ถึง 260 ตัน และลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 403 ตันต่อปี

โจโน โฆษกกรีนพีซยังแสดงความเห็นแย้งว่า ทางออกของปัญหาขยะไม่ใช่การสร้างขยะที่เป็นพลาสติกชีวิภาพที่ย่อยสลายง่าย แต่ต้องเป็นการหาหนทางที่จะเลิกใช้พลาสติกไปเลย เพราะการทำพลาสติกชีวภาพก็เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างเกินจำเป็นเหมือนกัน เธอยกตัวอย่างร้านที่ขายข้าว ถั่ว ธัญพืช อาหารแห้ง ที่ต้องการให้ผู้ซื้อนำภาชนะมาตวงสินค้าเองตามที่ต้องการซื้อแล้วขายตามน้ำหนัก 

อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะมีการประกาศเลิกใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีนี้ แต่เพราะสถานการณ์โรคระบาดที่ส่งเสริมให้ธุรกิจส่งอาหารเติบโต เป็นแรงผลักให้ประเทศไทยกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งเพื่อลดการสร้างขยะพลาสติกอีกครั้ง หลังจากนี้ในไทยและอีกหลายประเทศจำเป็นต้องมองหาแนวทางร่วมกับธุรกิจส่งอาหารให้คำนึงถึงการลดการสร้างขยะพลาสติก เช่น เปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่ายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังต้องส่งเสริมให้คนไทยคัดแยกขยะอย่างจริงจังเพื่อลดต้นทุนในการนำไปรีไซเคิลอีกด้วย

ข่าวอื่นๆ: