นักสู้ 5 ขวบหัวใจแกร่ง ป่วยโรคพบยากตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ไม่ยอมแพ้ต่อร่างกายพิการ ทุ่มเทความพยายามเพื่อให้เดินได้ทั้งๆ ที่ความหวังริบหรี่
ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่หากมีหัวใจที่ไม่ท้อแท้ก็ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขกในสิ่งที่เป็นได้ MONDAY SHARES วันนี้ พาไปพบเรื่องราวสู้ชีวิต “น้องหยก” วัย 5 ขวบ ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อร่างกายพิการ กลับมีจิตใจเข้มแข็ง แววตาเปี่ยมด้วยพลัง เก่งและแกร่ง ทุ่มเทความพยายามนาน 3 ปี เพื่อเดินได้ทั้งๆ ที่ความหวังริบหรี่
นาย จรัญ พงษ์เขตรกิจ ผู้เป็นพ่อเปิดใจกับ "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" ถึงสาเหตุ น้องหยก หรือ ด.ญ.ไปรยา พงษ์เขตรกิจ พิการตั้งแต่กำเนิดว่า นางสาว ธัญญาลักษณ์ เย็นสบาย ภรรยา วัย 23 ปีตั้งครรภ์ 7 เดือน และฝากครรภ์ รพ.แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ ผลตรวจอัลตราซาวด์ประจำเดือน พบลูกมีน้ำในโพรงสมองมากเกินไปและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้หัวโต เป็น โรคหัวบาตร หรือ “โรคหัวแตงโม” ซึ่งพบความผิดปกตินี้ได้ 1 ใน 1000 ราย ทาง รพ. จึงส่งตัวมารักษา รพ จุฬา กทม.
...
“ภรรยาดูแลบำรุงครรภ์อย่างดี ฝากครรภ์ เจาะน้ำคร่ำ มาพบหมอตามนัดทุกเดือน วันนั้นได้ฟังหมอแล้วรู้สึกช็อก ทุกอย่างช็อตหมด ลูกจะเป็นแบบนี้เหรอ หมอบอกว่าอายุน้อยกว่านี้สามารถแก้ไขได้ แต่ลูกตัวใหญ่แล้ว ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผลกระทบจะเกิดอะไรกับลูกบ้าง แต่ยืนยันหมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงก็จะเลี้ยงให้ดี” นายจรัญเล่าวินาทีรู้ข่าวร้าย
ข่าวร้ายซ้ำสอง ลูกป่วยโรคพบยาก ระดมหมอนับสิบรักษา
เมื่อมารักษาตัวที่ รพ.จุฬา จากเดิมคิดว่าลูกคงไม่เป็นอะไรมาก ครอบครัวกลับได้รับข่าวร้ายซ้ำซ้อน หลังคุณหมอตรวจพบความผิดปกติเพิ่ม ลูกมีเนื้องอกที่หลังขนาด 800 กรัม ซึ่งพบได้ยาก จากหมอคนเดียวให้การรักษาต่อมาหมอทยอยมาปรึกษาหาทางรักษามากเกือบ 10 คน ไม่กี่นาทีต่อมาหมอประจำคนไข้เรียกไปพบ แจ้งว่าต้องรออีก 2 เดือนให้คลอดจึงจะผ่าตัดรักษาทั้งเนื้องอกและน้ำในโพรงสมองมากเกินได้
“พอภรรยารู้ ก็เครียด ซึม น้ำตาคลอเบ้าตลอด ผมให้กำลังใจ บอกได้หมอเก่งแล้ว ไม่ต้องกังวล ปลอบใจทุกวัน กลัวเครียดแล้วส่งผลกระทบลูกในท้องอีก ผมลูบท้องภรรยา พูดกับลูก ถ้าได้ทำบุญร่วมกันมา ขอให้มีชีวิตรอดได้อยู่ร่วมกัน ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง พ่อเลี้ยงได้เสมอ”
ช็อกซ้ำ หลังคลอด ลูกต้องผ่าตัดด่วน ช้าเสี่ยงต่อชีวิต
ณ ตอนนั้นนายจรัญคิดว่าลูกผ่าตัดแล้วคงหาย ไม่เป็นอะไรมาก กระทั่งก่อนถึงกำหนดคลอดไม่กี่วัน จู่ๆ ภรรยาน้ำคล่ำเดินทั้งสองรีบเดินทางจากสมุทรปราการมา รพ.จุฬา เข้ารับการผ่าคลอดทันที ระหว่างรอผล นายจรัญเห็นเด็กคนอื่นเข้าห้องคลอดทีหลังแต่ออกห้องก่อนลูกของเขาหลายคน ยังไม่เห็นลูกของตนเสียที สักพักพยาบาลเข็นเตียงเด็กพิเศษผ่านเข้าไปยังห้องไอซียู เขารู้สึกมีเซ็นต์ว่าต้องเป็นลูกตัวเองแน่ๆ
ไม่นานพยาบาลเรียกนายจรัญเข้าไปห้องไอซียู ข้างๆ หมอมีเตียงพิเศษที่เขาเห็นก่อนหน้านั้น หมอบอกว่าเด็กที่นอนคว่ำ มีถุงพลาสติกคลุมเนื้องอกที่หลัง นั่นคือลูก และหมอจับขาลูกบอกว่าไม่กระดิก ซึ่งอาจเกิดจากเนื้องอกที่หลังดึงเซลส์ประสาททั้งหมด ต้องผ่าตัดเนื้องอกภายในวันนี้ เพราะหากเนื้องอกแตกมีผลเสี่ยงต่อชีวิต
“ผมยืนมองหน้าลูกแบบอึ้งๆ ทำอะไรไม่ถูก สงสารลูกมาก ความรู้สึกตอนนั้นไม่เคยเจ็บอะไรขนาดนี้มาก่อน บอกหมอยินยอมให้ผ่าตัด พอออกจากห้องไอซียูรีบมากอดแม่ อยากร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก ทรมานใจมากเพราะเป็นห่วงลูก”
...
แผลผ่าตัดตั้งแต่หลังถึงก้นกบ น้ำหนักลูกลดเหลือ 2 ก.ก.
ผ่านไป 6 ชั่วโมง ลูกถูกผ่าตัดตั้งแต่หลังถึงก้นกบ จากลูกมีน้ำหนักแรกคลอด 2.8 ก.ก. หลังผ่าตัดเนื้องอกน้ำหนักเหลือ 2 ก.ก. ต้องนอนคว่ำเพราะหลังมีแผลผ่าตัด ถูกใส่ท่อระบายน้ำในโพรงสมองที่ศรีษะ และถูกพาไปรักษาต่อห้องไอซียูในห้องทำงานของหมอ เพื่ออยู่ในความใกล้ชิดของหมอมากที่สุด เพราะต้องดูชีพจร และระบายน้ำในโพรงสมอง
โชคดีนายจ้างเข้าใจให้ทำงานแค่ครึ่งวัน เมื่อเลิกงานนายจรัญรีบนั่งรถเมล์จากสมุทรปราการมาเยี่ยมลูกทุกวัน กลับถึงบ้านก่อนนอนเฝ้าภาวนาทุกค่ำคืน ขอให้ลูกปลอดภัย ผ่านไปเกือบสัปดาห์คำอธิฐานเป็นจริง ลูกอาการแข็งแรง ขาเริ่มขยับขเยื้อนได้แม้จะได้แค่เข่า แต่ครอบครัวดีใจที่สุดแล้ว เพราะสิ่งสำคัญคือลูกมีชีวิตรอด และได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาหลังรักษาตัวอยู่ รพ.เกือบเดือน
"ดีใจที่ลูกรอดชีวิต ถึงจะพิการเดินไม่ได้ แต่เราก็จะเลี้ยงให้ดีที่สุด เพราะเขาเกิดมาเป็นลูกเราแล้ว"
...
นักสู้ 5 ขวบหัวใจแกร่ง ไม่เคยพูดว่า หนูไม่ทำแล้วพ่อ
นายจรัญและภรรยาทำหน้าที่พ่อและแม่อย่างดีที่สุดดังที่ตั้งใจไว้ ทั้งสองผลัดกันทำกายภาพบำบัดให้ลูกทุกวัน แม้ความหวังลูกมีโอกาสทำศัลยกรรมเท้าให้เดินได้ริบหรี่ แต่ทั้งสองก็เชื่อว่าสักวันลูกจะเดินได้
“เรื่องเท้าหมอบอกผม ยังไงก็เดินได้ อยู่ที่ผมกับภรรยาจะกายภาพให้ลูกมากแค่ไหน ลูกจะสู้หรือเปล่าและ หมอบอกต้องรอทำศัลยกรรมเท้าตอนอายุ 7 ขวบ หรืออายุ 20 ขึ้นไป แต่ระบุชัดเจนไม่ได้เพราะขึ้นอยู่กับเซลส์ที่ขาดหายไป ”
ด้วยพลังใจที่แข็งแกร่งของ “น้องหยก” นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และนายจรัญ พ่อผู้ทุ่มเทเพื่อลูกที่อยากให้ลูกเดินได้ เพราะการได้ยืน เหมือนเป็นชีวิตใหม่ของลูก เขาจึงฝึกให้ลูกหัดเดินเป็นประจำ ถึงจะหกล้มหลายครั้ง น้องหยกก็พยายามลุกสู้ ปัดเข่า ยื่นมือมาจับนายจรัญและเริ่มหัดเดินใหม่
นายจรัญฝึกให้ลูกหัดเดินอยู่ 3 ปี แม้ลูกเดินไม่ได้สักครั้ง เขาไม่ลดละความพยายาม เพราะเชื่อว่าสักวันลูกต้องเดินได้แต่อาจใช้เวลานานหน่อย
...
กระทั่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา เกิดสิ่งมหัศจรรย์ จู่ๆ น้องหยกเดินได้เอง ซึ่งเร็วกว่าที่นายจรัญคิดไว้หลายเท่า เขาดีใจมากและดูคลิปลูกบ่อยๆ ดูไปยิ้มไปอย่างมีความสุข
“ทุกครั้งที่ผมพาลูกไปหัดเดิน ให้เขาจับแขนแล้วเดิน เวลาเขาล้ม ลูกจะยิ้ม ดีใจมีความสุข ผมไม่เคยเห็นอาการท้อแท้ ลูกไม่เคยพูดว่า หนูไม่ทำแล้วพ่อ วันที่ลูกเดินได้เอง ตอนนั้นลูกเล่นอยู่ในบ้าน จู่ๆ ก็ลุกเดินประมาณ 1-2 ก้าวแล้วก็ล้ม ตอนนี้ลูกเดินได้เอง 89% ไม่ต้องพยุงแล้ว ผมดีใจมากที่เห็นลูกมีความสุขในสิ่งที่ลูกเป็น"
การที่ลูกเดินได้เอง ไม่เพียงเป็นพลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้นายจรัญและภรรยาสู้ต่อไปเท่านั้น แต่นั่นหมายถึงภูมิคุ้มกันชีวิตของลูกให้ก้าวต่อไปในแบบของเขาโดยที่ไม่รู้สึกด้อยค่า สำหรับพ่อแม่ที่ต้องดูแลลูกพิการ นายจรัญให้คำแนะนำ ลูกพิการกาย อย่าให้พิการใจ ต้องเลี้ยงให้ร่าเริง สดใส อย่าอายที่ต้องพาลูกออกไปเที่ยว ทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่สาธารณะ ห้างสรรพสินค้าเพราะนี่คืออีกยาใจสำคัญ
"แรกๆ สายตาคนอื่นมองสงสัยในตัวลูก รู้สึกเจ็บจี๊ดหัวใจ แต่ผมพยายามฝืนให้ลูกเคยชิน เพราะอนาคตลูกต้องเจอสายตาคนอื่นๆ ไปข้างนอกมีคนมอง พูดให้ลูกคิดในแง่ดี สุข และภูมิใจกับสิ่งที่เขาเป็น ก็ลูกยิ้มเก่งไงลูกเดินได้เอง ลูกจะสุขภาพจิตดีได้หมอบอกว่าอยู่ที่พ่อแม่ ต้องพาไปที่ต่างๆ ไปเจอคนเยอะๆ ให้ทำตัวตามธรรมชาติ อย่าห้ามไปไหน ให้ชินกับสายตาคน พ่อแม่คือกำลังใจของลูก ห้ามท้อ ให้เปิดใจกับลูก"
ข่าวน่าสนใจ