วันที่ 8 ตุลาคม 2015
"We must turn from doubters to believers"
"เราจะเปลี่ยน ผู้กังขา ให้กลายเป็น ผู้ศรัทธา"

คำประกาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นแห่งฝีมือของชายผู้เป็นเจ้าของสโลแกน "บุกแหลก แล้วยิง แ_ง ให้ตายคาที่" ต่อหน้าสื่อมวลชนในวัน GRAND OPENING ณ ทุ่งแอนฟิลด์

และคำประกาศที่เสมือนหนึ่งคำมั่น ที่ให้กับเหล่า THE KOP ซึ่งกำลังเศร้าซึมจากความตกต่ำของสโมสรอันเป็นที่รัก ว่า...

พวกเราจะหวนกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ เฉกเช่นที่เอกบุรุษ ‘บิลล์ แชงคลีย์’ เคยเสกให้สโมสรแห่งนี้ยิ่งใหญ่คับเกาะอังกฤษ จนเป็นที่ริษยาของ ‘บางสโมสร’

และจากวันนั้นถึงวันนี้ เพียง 4 ปีต่อมา...(‘เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’ ใช้เวลา 6 ปี อดทนปั้น ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ให้สามารถกลับมาเป็น ‘แชมป์ลีก’ เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี)

...

ชายสวมแว่นผู้มีใบหน้ายิ้มละไม และอุทิศทุกเซลล์ในร่างกายสำหรับการทุ่มเทให้กับ ‘ฟุตบอล’ บุกแหลกและชัยชนะ ก็สามารถทำในสิ่งที่ได้ประกาศในวันแรกที่ก้าวเท้าเหยียบเข้าถิ่นแอนฟิลด์ได้สำเร็จ

THE RED MACHINE เถลิงบัลลังก์แชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 19 ได้สำเร็จ! (ในขณะที่แฟนบอลบางทีมพยายามไถลไปว่า ปัดโธ่! นี่มันแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกต่างหาก อืม...)

ชายผู้นี้ ‘ดัดแปลง’ ทีมที่อุดมไปด้วยนักเตะเกรดบีเป็นส่วนใหญ่ แถมเพิ่งสูญเสียเหล่าแกนหลักสำคัญที่มีเพียงไม่กี่คนอย่าง ‘หลุยส์ ซัวเรซ’ (บาร์เซโลนา), ‘ราฮีม สเตอร์ลิง’ (แมนฯซิตี้), ‘สตีเวน เจอร์ราร์ด’ (แอลเอ กาแล็กซี เพราะเบรนดอน ร็อดเจอร์ ไม่ยอมต่อสัญญา) ออกไปจากทีม และแถม...ตอนที่เข้ามารับเผือกร้อน ณ วันนั้น ลิเวอร์พูลจมอยู่ในลำดับที่ 10 ของตารางพรีเมียร์ลีก

‘คุณ’ ไม่แปลกใจแล้วใช่ไหมว่า เพราะเหตุใด ณ เวลานั้น จึงมีแต่... ‘ผู้กังขา’ และไร้ซึ่ง ‘ผู้ศรัทธา’

ทีมแบบนี้จะประสบความสำเร็จไปได้อย่างไร? แฟนบอลบางทีมแสยะยิ้มภายใต้สีหน้าเจ้าเล่ห์สุดประมาณ พร้อมเย้ยหยันด้วยคำพูดสุดคลาสสิก "เอาไว้ปีหน้าไหมน้อง"

ว่าแต่...นับตั้งแต่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลสุดท้ายปี 2012 จนถึงปีนี้ 2019 รวมเป็น 7 ปี แล้วนะ ที่ทีมจากท้องทุ่งโอลด์แทรฟฟอร์ดปราศจากแชมป์ลีกติดไม้ติดมือ? หรือว่า...เอาไว้ปีหน้าไหมน้อง?

แล้วอะไร คือ ‘กุญแจสำคัญ’ ในการพลิกฟื้นสโมสรแห่งนี้ให้กลับมาคืนสู่ความรุ่งโรจน์ภายใน 4 ปี กวาดทั้งแชมเปียนส์ลีก ซุปเปอร์คัพ สโมสรโลก และล่าสุด ‘แชมป์ลีก’

ทั้งๆ ที่ฉากหน้าชายผู้นี้ PRESENT ตัวเองต่อสาธารณชนด้วยภาพลักษณ์บุรุษมากเสน่ห์ยิ้มแย้มเป็นมิตรกับคนทั่วไป และพร้อมจะกระโดดเข้ายินดีกับบรรดานักเตะและแฟนบอลแบบไม่ถือเนื้อถือตัว

ดูแล้วประหนึ่งเหมือนเป็นหนุ่มใหญ่อารมณ์ดี เล่นหัวไปวันๆ และน่าจะไม่เอาจริงเอาจังอะไรมากมายนัก

หากแต่ความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหลัง "แว่นที่หักแล้วหักอีก" เนื่องจากพี่แกเผลอตัวดีใจกับลูกทีมแบบสุดตัวจนทำแว่นพังไปหลายอันนั้น

แท้ที่จริงแล้ว ชายผู้นี้กลับเป็นคนที่สุดพิถีพิถันและจริงจังในถูกขั้นตอนการฝึกซ้อม แถมยังมีมันสมองที่ปราดเปรื่องในเรื่องการนำเทคนิคใหม่ๆ มาใช้สำหรับการสรรสร้างเกมลูกหนัง โดยมีเป้าประสงค์เดียวคือ การฟื้นฟู ‘เครื่องจักรสีแดง’ ให้กลับไปสง่างามราวกับ ‘กองทหารรักษาพระองค์พิทักษ์องค์ราชินี’ เช่นเดิม!

บุรุษผู้นี้มีนามว่า ‘เยอร์เกน คลอปป์’ (JURGEN KLOPP) ผู้กำลังบูรณปฏิสังขรณ์งานศิลปะชิ้นงามของโลก ภายใต้ชื่อ ‘ลิเวอร์พูล LIVERPOOL’

ใส่ใจ จริงจัง พิถีพิถัน ละเอียดทุกมิลลิเมตร นี่แหละ KLOPP STYLE?

ทีมสตาฟฟ์ลิเวอร์พูลรู้สึกว่า เขาไม่ใช่ผู้จัดการทีม แต่เป็น ‘โค้ช’ มากกว่า!

...

นั่นเป็นเพราะในทุกๆ ขั้นตอนการฝึกซ้อม ก่อนฤดูกาล 2019-2020 จะเริ่มต้น นักเตะหงส์แดงทุกคนจะได้รับรายงานเชิงลึกถึงสมรรถภาพร่างกายของตัวเอง จากนั้นในทุกๆ วัน จะมีการวางแผนและวิเคราะห์ผลการฝึกซ้อมอย่างละเอียดชนิดเป็นรายนาที เพื่อให้การฝึกซ้อมในแต่ละวันแต่ละนาทีที่ผ่านไปนั้น สามารถรีดเค้นศักยภาพทางร่างกายให้กับนักเตะแต่ละคนให้ได้มากที่สุด

ส่วนการเตรียมความพร้อมก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มต้นนั้น เขาจะพยายามรวบรวมข้อมูลของคู่ต่อสู้ให้ได้มากที่สุด ก่อนตัดสินใจกำหนดแท็กติกต่างๆ ในเกมวันนั้น ซึ่งข้อมูลที่ได้มาเหล่านั้น ทำให้สามารถตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ ในระหว่างการแข่งขันได้อย่างฉับไว และถูกต้องเสมอๆ และแน่นอน โมเดลนี้จะต้องเดินหน้าในแบบฉบับ "เป๊ะเว่อร์" ทุกคนต้องตรงต่อเวลา ห้ามขาดลามาสาย เด็ดขาด!

สองเพื่อนคู่หู ‘เซลจ์โก บูวัช’ (ZELJKO BUVAC) และ ‘ปีเตอร์ คราเวียตซ์’ (PETER KRAWIETZ) อัศวินผู้สวมมงกุฎให้ราชัน

‘บูวัช’ เป็นสหายร่วมศึกมาตั้งแต่เมื่อครั้งคุมสโมสร ‘ไมนซ์’ และ ‘โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์’ ในศึกบุนเดสลีกา จนกระทั่งมาเหยียบถิ่นแอนฟิลด์ โดย ‘บูวัช’ จะทำหน้าที่ดูแลเรื่องรายละเอียดแท็กติกการเล่นต่างๆ ส่วน ‘คราเวียตซ์’ จะทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล ส่วน ‘หนุ่มใส่แว่น’ จะทำหน้าที่เป็น ‘ผู้นำ’ ในการดำเนินยุทธศาสตร์ และการสร้างแรงบันดาลใจ

อย่างไรก็ดี เมื่อ ‘บูวัช’ ตัดสินใจลาจากในปี 2018 คนที่เข้ามาใหม่ คือ ‘เปปิน ลินเดอร์ส’ (PEP LJINDERS) มาทำหน้าที่แทน โดยคู่หูใหม่ ‘คราเวียตซ์’ และ ‘ลินเดอร์ส’ ก็สามารถทำงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายแบบไร้รอยต่อ

...

แทบไม่เคยล้มเหลวในการพัฒนานักเตะ แม้ว่านักเตะคนนั้นจะไม่ได้เป็นคนซื้อมาก็ตาม

‘จอร์แดน เฮนเดอร์สัน’ มาอยู่กับทีมตั้งแต่ปี 2011 ส่วน ‘โรแบร์โต เฟอร์มิโน’ ในปี 2015 นักเตะทั้ง 2 คนนี้ ก่อนหน้าเป็นอย่างไร? ปัจจุบันพัฒนาฝีเท้าไปขนาดไหน?

‘เรา’ คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ

และหากนับรวมนักเตะอย่าง ‘เวอร์จิล ฟาน ไดค์’ ‘โมฮาเหม็ด ซาลาห์’ ‘ซาดิโอ มาเน’ และ ‘อลิสซอน เบ็คเกอร์’ ที่ ‘คลอปป์’ เป็นคนคัดสรรซื้อมาร่วมทีมด้วยตัวเอง คงชัดแล้วนะว่า บุรุษผู้นี้มีสายตาในการมองหา "เพชรที่รอเจียระไน" เพียงใด?

ที่นี่ไม่ใช่ HOLLYWOOD ไม่มี ‘ซุปตาร์’ ทุกขั้นตอน ต้องทำงานเป็น ‘ทีม’

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถิ่นแอนฟิลด์ในยามนี้ไม่มีใครเป็น ‘ซุปตาร์’ ทุกขั้นตอนผ่านการทำงานเป็นทีมเวิร์ก ซึ่งประเด็นนี้ก็ไม่เว้น โดยคนที่อยู่เบื้องหลัง ‘ดีล’ สร้างความสำเร็จนับไม่ถ้วนนี้ ก็คือ ‘ไมเคิล เอ็ดเวิร์ด’ (MICHAEL EDWARDS) และ ‘ไมค์ กอร์ดอน’ (MIKE GORDON) คู่หู SPORTING DIRECTOR ที่มีสายตาในการมองนักเตะที่สุดเฉียบคม อีกทั้งยังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากทั้ง ‘คลอปป์’ และ ‘จอห์น เฮนรี’ เจ้าของทีมลิเวอร์พูล ในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ก่อนจรดปลายปากกาเซ็นนักเตะคนไหนเข้าทีมเสมอ ซึ่งรวมไปถึงการตัดสินใจที่จะต่อหรือขยายสัญญากับนักเตะคนใด หรือแม้แต่กระทั่งการสรรหาโค้ชให้กับนักเตะเยาวชนของสโมสรด้วย!

การปั้นพัฒนานักเตะเยาวชนขึ้นสู่ ‘ทีมชุดใหญ่’ ที่ไม่ขาดตอน

...

นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสู่ ‘เมืองลิเวอร์พูล’ ในปี 2015 เป็นต้นมา ‘คลอปป์’ ให้ความสำคัญกับนักเตะเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็น ‘จิ๊กซอว์สำคัญ’ ที่จะนำทีมกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่

ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีการทุ่มเงินมหาศาลในการซื้อนักเตะหลายครั้ง แต่ภายในทีมจะยังคงมีที่ว่างให้กับบรรดานักเตะเยาวชนจากอะคาเดมีเสมอๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้เห็นนักเตะหนุ่มแววดีอย่าง ‘เคอร์ติส โจนส์’ (CURTIS JONES) และ ‘เนโก วิลเลียมส์’ (NECO WILLIAMS) ได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ในศึก เอฟเอคัพ

เพราะ ‘คลอปป์’ คือคนที่ใช่สำหรับ ‘ลิเวอร์พูล’

เรื่องนี้ สามารถยืนยันได้โดย ‘เอียน แอร์’ (IAN AYRE) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลิเวอร์พูล โดยเขาเคยหล่นคำพูดที่สุดคมคายเอาไว้ว่า

"หากถามว่า ‘เยอร์เกน’ คือ คนที่ใช่สำหรับ ‘ลิเวอร์พูล’ หรือไม่ คำตอบก็คือ มันถูกต้องแน่นอนที่สุด"

ทุกอย่างที่แสดงออกมันเป็นไปเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีการเสกสรรปั้นแต่ง เมื่อใดก็ตามที่เขาเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว มันก็ดูราวกับว่าจะสามารถสร้างพลังพิเศษให้กับทุกคนได้ โดยเฉพาะในยามที่ ‘โอบกอด’ เหล่าสตาฟฟ์และนักเตะ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า แคร์ความรู้สึกของคนเหล่านั้นเพียงใด และนี่คือ ‘เยอร์เกน คลอปป์’ ชายที่สุดแสนจะ PERFECTLY สำหรับ ‘ลิเวอร์พูล’ ณ โมงยามนี้

ฉะนั้น สำหรับสาวก THE KOP มหาบุรุษผู้นี้หาใช่เพียงแค่ MR.JURGEN KLOPP หากแต่ ‘เขา’ คือ KLOPP IS GOD! ไปแล้ว...

30 ปี 239 นักเตะและเงิน 56,000 ล้านบาท สู่แชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี (คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน 1 ปอนด์ เท่ากับ 38.23 บาท)

นับตั้งแต่ THE KOP ออกเดินพาเหรดเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับการครองแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 18 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1990

จากปีนั้น...จนถึงปี 2020 หรือรวมระยะเวลาถึง 30 ปี กว่าที่ THE KING จะสามารถหวนคืนสู่บัลลังก์อันดับหนึ่งของประเทศอังกฤษได้อีกครา...

MAKE US DREAM!

ฉะนั้น มันจึงถึงคราวแล้วที่ THE KOP จะเชิดหน้าแหกปากตะโกนใส่ ‘สาวกบางทีม’ ที่มักจะพูดจาข่มเหงรังแกให้เจ็บ อาย และขมขื่นมาร่วม 3 ทศวรรษ จากถ้อยคำถากถางต่างๆ นานา

ก็แค่...ทีมแชมป์มิกกี้เม้าส์คัพ น้ำคำ "เชือดเฉือน" หลัง ‘ลิเวอร์พูล’ กวาด 3 แชมป์ ‘เอฟเอคัพ’ ‘ลีกคัพ’ และ ‘ยูฟ่าคัพ’ ในฤดูกาล 2000-2001 (ในขณะที่ ทีมปิศาจถือสามง่ามเรียกชัยชนะ 3 แชมป์ จาก ‘เอฟเอคัพ’ ‘พรีเมียร์ลีก’ และ ‘แชมเปียนส์ลีก’ อย่างยิ่งใหญ่ว่า ‘ทริปเปิลแชมป์’)

หรือไอ้พวกทีม SPICEBOY สำรวยสวยกราก เล่นสวยแต่ไร้ประสิทธิภาพ เล่นแบบนี้แหละ ถึงไม่ได้เป็นแชมป์กับคนอื่นเขาสักที!

และ (อันนี้เจ็บของจริง) หากลองใช้ GOOGLE ค้นหาคำว่า ‘พรีเมียร์ลีก’ จะไม่พบคำว่า ‘ลิเวอร์พูล’ จากโทษฐานที่นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก ‘ดิวิชั่น 1’ เป็น ‘พรีเมียร์ ลีก’ ลิเวอร์พูลยังไม่เคยได้แชมป์ลีกสักครั้งเดียว (แต่ตอนนี้ได้แล้วนะ)

ด้วยเหตุนี้ มันจึงถึงเวลาแห่งการปลดปล่อย...และนี่คือ ตัวเลขที่อยู่เบื้องหลัง 30 ปี 1 แชมป์ลีก ของ ‘ลิเวอร์พูล’

103,410 นาที คือ จำนวนนาทีที่ ‘ลิเวอร์พูล’ ลงเล่นในฟุตบอลลีก (ไม่รวมทดเวลาบาดเจ็บ) นับตั้งแต่ฤดูกาล 1990-2019 กว่าที่จะได้แชมป์สมัยที่ 19

ซึ่งเท่ากับลงเล่นไปทั้งหมด 1,149 นัด แบ่งเป็น ชัยชนะ 595 นัด ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ยได้ 52% ทำประตูไปได้รวม 1,968 ประตู ประตูได้เสีย +822 ประตู และสามารถทำคะแนนรวมไปทั้งสิ้น 2,075 คะแนน (สถิติ ณ ลงเล่นนัดที่ 31 ในพรีเมียร์ลีก)

อย่างไรก็ดี ชัยชนะ 28 นัด ทำคะแนนไปแล้ว 86 แต้ม ยิงไป 70 ประตู ก็สามารถทำให้ความฝันตลอดระยะเวลา 30 ปี กลายเป็นจริงลงในที่สุด

โดยสโมสรที่ "แจกแต้ม" ให้กับ ‘ลิเวอร์พูล’ ในลีกมากที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษนี้ ก็คือ ‘ทอตแนม ฮอตสปอร์’ โดยพลพรรค ‘ไก่เดือยทอง’ ของ ‘พี่ตูน บอดี้สแลม’ เอาคะแนนใส่พานประเคนให้ ‘หงส์แดง’ ถึง 108 คะแนน จากที่พบกันรวม 60 นัดในลีก

ส่วนลำดับที่ 2 ก็คือ คู่อริลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี ‘เอฟเวอร์ตัน’ ที่กลายเป็น ‘ลูกอมสุดหวานคอ’ ให้ ‘ลิเวอร์พูล’ เคี้ยวเล่นถึง 105 คะแนน ส่วนลำดับที่ 3 คือ ‘เวสต์แฮม’ โดนไป 101 คะแนน

ด้านทีมที่มีสถิติแพ้หมดรูป 100% ยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ‘ลิเวอร์พูล’ ในฟุตบอลลีก ในรอบ 30 ปี มี 4 สโมสร ประกอบด้วย ‘ไบรท์ตัน’ ‘คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้’ ‘ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์’ ‘น็อตต์ เคาน์ตี’

ส่วนสโมสรไหนที่กลายร่างเป็น ‘ขนมกรุบกรอบ’ จน ‘หงส์แดง’ อยากเจอด้วยมากที่สุดในลีก หากเทียบเป็นโอกาสที่ ‘ลิเวอร์พูล’ จะสามารถเอาชนะได้ นับตั้งแต่ฤดูกาล 1990-1991 ถึงปัจจุบัน (เฉพาะสโมสรที่แข่งกับลิเวอร์พูลตั้งแต่ 10 นัด หรือ 5 ฤดูกาลขึ้นไป)

อันดับที่ 1 คือ เบิร์นลีย์ 81.8%

อันดับที่ 2 คือ บอร์นมัธ 80%

อันดับที่ 3 คือ ควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์ส 80%

อันดับที่ 4 คือ ดาร์บี เคาน์ตี 75%

อันดับที่ 5 คือ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส 75%

ในทางกลับกันทีมที่เปรียบเสมือน "ยาขม" สำหรับ ‘ลิเวอร์พูล’ ในฟุตบอลลีก หากเทียบเป็นโอกาสที่ ‘หงส์แดง’ จะสามารถเอาชนะได้ นับตั้งแต่ฤดูกาล 1990-1991 ถึงปัจจุบัน (เฉพาะสโมสรที่แข่งกับลิเวอร์พูลตั้งแต่ 10 นัด หรือ 5 ฤดูกาลขึ้นไป)

ลำดับที่ 1 คือ ‘เบอร์มิงแฮม ซิตี้’ ที่ ‘พญาหงส์’ เก็บชัยชนะได้เพียง 21.4% และลำดับที่ 2 คือ THE CRAZY GANG ‘วิมเบิลดัน’ เจ้าของม็อตโต "โยน แ_ง เข้าไป เดี๋ยวให้กองหน้ามันหาทางโขกเอาเอง" ที่มีสไตล์การใช้บอลโยนยาว สร้างความทุกข์ระทมกบาลให้กับทีมคู่ต่อสู้อยู่ที่ 26.3%

ส่วนทีมที่คุณก็รู้ว่าใคร? (เป็นสถิติที่อยากจะเลยสายตา มองข้ามบรรทัดนี้ไปให้ไกลๆ เลยดีกว่าสำหรับ THE KOP ทั้งมวล) นั้น THE RED MACHINE พ่ายให้กับ ‘คู่รักคู่แค้น’ อย่าง ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ในฟุตบอลลีก ตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ถึง 28 นัด จากทั้งหมด 58 เกม หรือเท่ากับ 29.3% แถมคู่อริตลอดกาลยังมีประตูได้เสียในการสัประยุทธ์เหนือกว่าถึง +8 ประตูด้วย

และทีมเดียวเท่านั้นที่สามารถเก็บชัยชนะในลีกกับ ‘ลิเวอร์พูล’ ในแบบ 100% เราเชื่อว่า คุณนึกไม่ถึงแน่ๆ ว่า ทีมนั้น คือ สโมสรแบล็กพูล ที่สามารถเก็บชัยชนะได้แบบไปและกลับในลีกฤดูกาล 2010-2011

อันดับที่ 1 เบอร์มิงแฮม 21.4%
อันดับที่ 2 วิมเบิลดัน 26.3%
อันดับที่ 3 แมนยูฯ 29.3%
อันดับที่ 4 เชลซี 37.3%
อันดับที่ 5 อาร์เซนอล 37.3%

จากประตูของ ‘จอห์น บาร์นส์’ ในปี 1990 สู่ลูกยิงของ ‘เฟอร์มิโน’ ในปี 2019

นับตั้งแต่ฤดูกาล 1990-1991 จนถึงฤดูกาล 2019-2020 ‘ลิเวอร์พูล’ ใช้นักเตะไปแล้วรวม 239 คน กว่าจะกลับมาเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี

แต่ ‘คุณ’ รู้ไหมว่า จุดเริ่มต้นของการเป็นแชมป์ในฤดูกาล 1990-1991 และฤดูกาล 2019-2020 นั้น มีอะไรบางอย่างที่คล้ายๆ กัน

จุดเริ่มต้น ณ วันที่ 25 สิงหาคม 1990 ‘เครื่องจักรสีแดง’ ถล่ม ‘เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด’ ได้ 3 ประตูต่อ 1 จาก ‘จอห์น บาร์นส์’ ปีกซ้ายมหัศจรรย์ ‘เรย์ เฮาจ์ตัน’ ห้องเครื่องตัวเล็กแต่แกร่งทั่วแผ่น และเพชฌฆาตหน้าติดหนวด ‘เอียนนนนนนน รัช!’ (กรุณาทำเสียงลากยาวประกอบตาม) GOAL! GOAL! GOAL!

และจากชัยชนะในนัดนั้น ‘หงส์แดง’ ภายใต้การนำของ KING KENNY ‘เซอร์เคนนี ดัลกลิช’ เก็บชัยชนะได้อีก 8 นัดติดต่อกัน และไม่แพ้ใครในลีกนานถึง 14 นัดติดต่อกัน!

ในขณะที่อีก 30 ปีต่อมา ‘ลิเวอร์พูล’ ของ ‘คลอปป์’ ทำสถิติเกรียงไกรไม่แพ้กัน ชนะรวดในลีก 8 นัดติดต่อกันเช่นกัน และไม่แพ้ใครในลีกยาวนานถึง 27 นัด (ก่อนที่จะไปหลุดพ่ายวัตฟอร์ตแบบงงๆ) แถมในจำนวนนี้เป็นชัยชนะถึง 28 นัด จาก 31 นัด!

นักเตะที่ลงเล่นกับ ‘ลิเวอร์พูล’ มากที่สุดในรอบ 30 ปี

ในจำนวน 239 นักเตะของ ‘ลิเวอร์พูล’ ‘เจมี คาร์ราเกอร์’ เป็นนักเตะสวมเสื้อหงส์แดง ลงเล่นในฟุตบอลลีกมากที่สุดในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา โดยลงเล่นไปทั้งสิ้น 508 นัด แต่หากนับเฉพาะนักเตะชุดปัจจุบัน คนที่ลงเล่นในลีกมากที่สุด ก็คือ ‘จอร์แดน เฮนเดอร์สัน’ โดยปัจจุบันลงเล่นไปแล้ว 266 นัด ซึ่งนั่นเท่ากับหากเขาลงเล่นในนัดที่ ‘นักเตะแมนฯซิตี้’ ยอมสยบด้วยการปรบมือให้กับทีมแชมป์ในฤดูกาลนี้ เขาจะแซงหน้า ‘ร็อบบี ฟาวเลอร์’ ขึ้นไปอยู่อันดับ 6 ทันที

• เจมี คาร์ราเกอร์ 508 นัด

• สตีเวน เจอร์ราร์ด 504 นัด

• ซามี ฮูเปีย 318 นัด

• เปเป เรนา 285 นัด

• สตีฟ แมคมานามาน 272 นัด

• ร็อบบี ฟาวเลอร์ 266 นัด

• จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 266 นัด

• ลูคัส เลวา 247 นัด

• มาร์ติน สเคอร์เทล 242 นัด

• เจมี เรดแนปป์ 237 นัด

ใครคือ คนที่(เรา)ควรลืมตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา

ด้านนักเตะที่มีโอกาสลงเล่นน้อยที่สุดของ ‘ลิเวอร์พูล’ ในรอบ 30 ปีนี้ มี 6 คน ประกอบด้วย ‘ดานิเอเล ปาเดลลี’ (DANIELE PADELLI) ‘เดวิด ราเวน’ (DAVID RAVEN) ‘จอห์น นิวบี’ (JON NEWBY) ‘ปาทริช ลูซี’ (PATRICE LUZI) ‘อิสวาน คูซมา’ (ISTVAN KOZMA) และ ‘ราฟาเอล คามาโช’ (RAFAEL CAMACHO) (ไอ้พวกนี้คือใครกันหว่า?) โดยทั้งหมดได้ลงเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ไปเพียงคนละ 1 นัดเท่านั้น

‘ถิ่นแอนฟิลด์’ ไม่เคยสิ้น ‘ราชาดาวซัลโว’

ส่วนผู้ที่ทำประตูให้กับหงส์แดงในลีกมากที่สุด คือ THE GOD ‘ร็อบบี ฟาวเลอร์’ สเกาเซอร์ตัวจริงเสียงจริง ผู้มีหัวใจเป็นสีแดงเข้มข้น (เท่านั้น) โดย THE GOD หวดไปทั้งสิ้น 128 ลูก!

• ร็อบบี ฟาวเลอร์ 128 ประตู

• สตีเวน เจอร์ราร์ด 121 ประตู

• ไมเคิล โอเวน 118 ประตู

• โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 71 ประตู

• หลุยส์ ซัวเรซ 69 ประตู

• เอียน รัช 65 ประตู

• เฟอร์นันโด ตอร์เรส 65 ประตู

• ซาดิโอ มาเน 60 ประตู

• โรแบร์โต เฟอร์มิโน 56 ประตู

• เดิร์ก เคาท์ 51 ประตู

นักเตะดีเด่น ‘หนึ่งเดียวคนนี้’ ในรอบ 30 ปี

ส่วนนักเตะที่จัดอยู่ในหมวดรายการแฟ้มบุคคลขอปรบมือให้นั้น จากสถิติในรอบ 30 ปี มีเพียง "หนึ่งเดียวคนนี้เท่านั้น" เขาคนนั้นก็คือ ‘สตีเวน เจอร์ราร์ด’ นั่นเป็นเพราะอดีตมิดฟิลด์และกัปตันทีมผู้นี้สามารถติดอยู่ในลิสต์ ทั้งการทำประตูสูงสุด และลงเล่นมากที่สุด

นอกจากนี้ ‘สตีวีจี’ ยังเป็นนักเตะคนสำคัญในการพาทีมคว้า ‘โทรฟี’ ระดับเมเจอร์อย่าง ‘แชมเปียนส์ลีก’ ในฤดูกาล 2004-2005 อีกด้วย

และแน่นอน อืม...หากไม่พลาดท่าเกิดอุบัติเหตุ "ลื่นล้ม" ในฤดูกาล 2013-2014 จนทำเอา THE KOP ทั้งโลกช็อกตาตั้ง แชมป์หลุดมือไปแบบคาดไม่ถึง

บางที...หยาดน้ำตาที่หลั่งรินในนัดที่สามารถหักเอาชนะ ‘แมนฯซิตี้’ ได้ในฤดูกาลนั้น อาจเป็น "หยาดน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม" กับแชมป์ลีกครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้งก็เป็นได้

เอาล่ะ จบดราม่าแล้ว เราไปกันต่อดีกว่า...

จาก KING KENNY ถึง ‘คลอปป์’ 2 กุนซือเท่านั้นที่เก็บสถิติคว้าชัยชนะเกิน 60%

นับตั้งแต่ KING KENNY เลือกที่จะพ่ายแพ้ต่อความกดดันในการกุมหางเสือทีมที่ดีที่สุดในประเทศอังกฤษ โดยการประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1991 ทั้งๆ พาทีมคว้าแชมป์ลีกมาได้แล้วถึง 3 สมัย และ ณ วันนั้น ทีมยังเป็นจ่าฝูงในลีก โดยมีคะแนนนำทีมอันดับสองถึง 3 คะแนน

‘กุนซือหงส์แดง’ คนต่อๆ มา ไล่เรียงจาก ‘รอนนี่ มอแรน’ ผู้เข้ามารับหน้าที่แทน(ชั่วคราว) หรือไอ้หนวดหิน ‘แกรม ซูเนสส์’ ผู้แปลงลิเวอร์พูล ให้เป็น ‘วิมเบิลดัน’ สาขา 2 คู่หูกุนซือ ‘รอย อีแวนส์’ ‘เชราร์ อุลลิเยร์’ ‘เอลบอส ราฟาเอล เบนิเตซ’ ‘รอย ฮอดจ์สัน’ ‘เคนนี ดัลกริช’ (รอบ 2) หรือคนที่ THE KOP ไม่อยากจะจำ อย่าง ‘เบรนแดน ร็อดเจอร์ส’ (เนื่องจากพี่แกแสดงการกระทำที่น่ารังเกียจ ด้วยการไม่พยายามจะต่อสัญญากับวีรบุรุษแห่งแอนฟิลด์อย่าง ‘สตีวีจี’ ในฤดูกาลสุดท้าย) ก็ยังไม่มีใครพา ‘เครื่องจักรสีแดง’ เป็นแชมป์ลีกได้เลย จนกระทั่งการมาถึงของ ‘กุนซือเฮฟวี่เมทัล’ เจ้าของทฤษฎี ‘เกเก้นเพรสซิ่ง’

และ ‘เยอร์เกน คลอปป์’ เป็นกุนซือเพียงคนเดียว นับตั้งแต่ KING KENNY ประกาศวางมือ (รวมถึงช่วงที่กลับมาคุมทีมรอบ 2) ที่สามารถทำสถิติเก็บชัยชนะได้เกินกว่า 60%

สถิติกุนซือหงส์แดง ในการพาทีมเอาชนะในฟุตบอลลีก ตั้งแต่ปี 1990-2020

• เคนนี ดัลกลิช (1990-1991) 60.91%

• แกรม ซูเนสส์ (1991-1994) 42.04%

• รอย อีแวนส์ (1994-1998) 48.26%

• รอย อีแวนส์/เชราร์ด อุลลิเยร์ (1998) 33.36%

• เชราร์ด อุลลิเยร์ (1998-2004) 49.77%

• ราฟาเอล เบนิเตซ (2004-2010) 55.26%

• รอย ฮอดจ์สัน (2010-2011) 35%

• เคนนี ดัลกลิช (รอบ 2) (2011-2012) 42.86%

• เบรนแดน ร็อดเจอร์ส (2012-2015) 51.64%

• เยอร์เกน คลอปป์ (2015-ปัจจุบัน) 65.14%

จาก ‘รอนนี โรซานทาล’ ถึง ‘ทาคุมะ มินามิโนะ’ THE REDS ทุ่มไปแล้ว 1.47 พันล้านปอนด์ (56,000 ล้านบาท) กว่าที่จะได้แชมป์ลีกสมัยที่ 19

‘รอนนี โรเซนธาล’ (Ronny Rosenthal) ศูนย์หน้าชาวอิสราเอล คือ นักเตะคนแรกที่ถูกซื้อมาร่วมทีมในปี 1989-1990 จากสโมสรสตองดาร์ด ลีแอช ประเทศเบลเยียม ด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ แต่ ‘คุณ’ รู้ไหม นับจาก ‘โรเซนธาล’ แล้ว ‘หงส์แดง’ ต้องเซ็นสัญญากับนักเตะรวมถึง 218 คน กว่าที่จะได้แชมป์สมัยที่ 18 และ 19 ที่ต้องใช้ระยะเวลาห่างกันถึง 30 ปี

ซึ่งแน่นอน การจ่ายเงินมหาศาลไปกับนักเตะจำนวนมากขนาดนั้น มันย่อมมีทั้ง ‘ของจริง’ และ ‘ของปลอมทำเหมือน’ แน่นอนคุณย่อมรู้จักชื่อนี้ดี ‘หลุยส์ ซัวเรซ’ ศูนย์หน้ามหาประลัย หรือ ‘เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค’ หรือ ‘ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวออร์’ MARK II แต่ ‘คุณ’ เคยได้ยินชื่อนักเตะเหล่านี้หรือไม่? ‘เทอร์เบน พิกนิก’ (TORBEN PIECHNIK) ‘บรูโน เชย์รู’ (BRUNO CHEYROU) หรือ ‘ฌอน ดันดี’ (SEAN DUNDEE)

ฉะนั้น เราลองไปดูตัวอย่างการลงทุนที่สุดล้มเหลวกันก่อน เริ่มที่กองหน้า ‘แอนดี คาร์โรลล์’ ค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ลงเล่น 44 นัดในลีก ยิงได้แค่ 6 ประตู ‘คริสเตียน เบนเตเก’ ค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ ลงเล่น 29 นัดในลีก ยิงได้แค่ 9 ประตู ‘มาริโอ บาโลเตลี’ ค่าตัว 16 ล้านปอนด์ ลงเล่น 16 นัดในลีก ยิงได้แค่ 1 ประตู

โดยกุนซือที่ซื้อนักเตะเยอะที่สุดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ก็คือ ‘ราฟาเอล เบนิเตช’ โดยในช่วงฤดูกาล 2005-2008 ‘เอลบอส’ ซื้อนักเตะมากถึง 40 คน ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี โดยคนที่อยู่ในข่ายคุ้มค่าตัวสุดๆ ก็เช่น ‘เปเป เรนา’ ‘เดิร์ก เคาท์’ ‘เฟอร์นันโด ตอร์เรส’ ส่วนนักเตะที่โลกลืมอย่าง ‘กาเบรียล ปาเลตตา’ (GABRIEL PALETTA) หรือ ‘เซบาสเตียน เลโต’ (SEBASTIAN LETO) (พวกนี้คือใครกันนะ?) เหล่านี้ เราคงขอเว้นวรรคในฐานที่เข้าใจ

YOU ‘II NEVER WALK ALONE

นักเตะมาแล้วก็ไป แต่ THE KOP คือ ความภักดีที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หากไร้ซึ่งพวกเขาแล้ว มันคงเป็นเรื่องยากที่สโมสรแห่งนี้จะคืนกลับสู่ความสำเร็จได้

ภาพที่ชัดเจนในฤดูกาลนี้ คือ ภาพๆ เดียวกับที่ทาบทับในภาพความสำเร็จเมื่อ 30 ปีก่อน ความจงรักภักดีในถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ประจำสโมสร YOU ‘II NEVER WALK ALONE ไม่เคยจางหายไปจากหัวใจทุกหมู่เหล่า แม้วันคืนแห่งความตกต่ำจะครอบงำสโมสรแห่งนี้มาเนิ่นนานถึง "ครึ่งอายุขัยของชีวิตมนุษย์" ก็ตาม

สิ่งที่สามารถยืนยันถึง ‘ความหมาย’ ในถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็คือ THE KOP ที่เดินเข้าสนามแอนฟิลด์ เพื่อร่วมตะโกนร้องเพลง YOU ‘II NEVER WALK ALONE สนับสนุนทีมรักตลอด 30 ปีที่ผ่านมา จึงมีจำนวนมากมายถึง 24,698,942 คน พวกเขาไม่เคยผันความภักดีที่มีต่อตราสโมสรแห่งนี้่ไปให้กับผู้ใด

และนี่เองคือ สัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัวของ ‘เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’ ที่พูดย้ำๆ หลายครั้งในหลากหลายหนังสือ หรือแม้กระทั่งบทสัมภาษณ์กับสื่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ ที่ว่า...

"จะเป็นทีมไหนในลีกก็ได้ จะ ‘เชลซี’ หรือ ‘แมนฯซิตี้’ ได้แชมป์ลีกก็ไม่เป็นไร เพราะมียกเว้นเพียง ‘ทีมเดียว’ เท่านั้น ที่ไม่ควรได้รับอนุญาตให้เป็นแชมป์ลีกได้ นั่นก็คือ ‘ลิเวอร์พูล’ เพราะหาก ‘พวกเขา’ กลับคืนสู่จุดๆ เดิมที่พวกเขาเคยอยู่ ทีมที่มีอดีตอันยิ่งใหญ่และจารีตอันแข็งแกร่ง จะไม่มีวันยอมก้าวลงจากความสำเร็จในเร็ววันเหมือนเฉกเช่นทีมอื่นๆ แน่นอน!"

END CREDIT :

‘เรา’ เกือบลืมบอกไป การเถลิงแชมป์ลีกของ ‘ลิเวอร์พูล’ ในสมัยที่ 19 นี้ ถือเป็นการได้แชมป์ลีกที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากได้เป็นแชมป์ทั้งๆ ที่ยังเหลือนัดที่ต้องลงแข่งอีกถึง 7 นัด (สถิติ ณ วันที่ลงเตะนัดที่ 31) ชนะ 28 นัด เสมอ 2 นัด แพ้ 1 นัด

ส่วนทีมอื่นๆ ที่มีสถิติได้แชมป์ "นอนมา" แบบเร็วที่สุดตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาลในลำดับต่อๆ มา ประกอบด้วย

เอฟเวอร์ตัน (1984-85) ได้แชมป์ โดยเหลือการลงเตะอีก 5 นัด (เตะ 42 นัด) ทำสถิติ ณ วันที่ได้แชมป์ คือ ลงเตะ 37 นัด ชนะ 26 นัด เสมอ 6 นัด แพ้ 5 นัด

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1907-08) ได้แชมป์ โดยเหลือการลงเตะอีก 5 นัด (เตะ 38 นัด) ทำสถิติ ณ วันที่ได้แชมป์ คือ ลงเตะ 33 นัด ชนะ 21 นัด เสมอ 4 นัด แพ้ 8 นัด

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (2000-01) ได้แชมป์ โดยเหลือการลงเตะอีก 5 นัด (เตะ 38 นัด) ทำสถิติ ณ วันที่ได้แชมป์ คือ ลงเตะ 33 นัด ชนะ 23 นัด เสมอ 7 นัด แพ้ 3 นัด

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2017-18) ได้แชมป์ โดยเหลือการลงเตะอีก 5 นัด (เตะ 38 นัด) ทำสถิติ ณ วันที่ได้แชมป์ คือ ลงเตะ 33 นัด ชนะ 28 นัด เสมอ 3 นัด แพ้ 2 นัด

ข่าวอื่นๆ :