เตือนแล้วนะ!! ... แม้จะเป็นเสียงที่มาจาก "แพทย์มือหนึ่ง" แถวหน้าระดับประเทศ แต่ก็ไม่วายถูกเพิกเฉยจากหน่วยงานภาครัฐ หรือกระทั่งตัว "ผู้นำสหรัฐฯ" เองก็ตาม ที่ผ่านมากว่า 100 ปี ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สุดท้าย ... จบด้วยความสูญเสียของประชาชนตาดำๆ

ศึกนอกไม่กลัว ศึกในไม่ขลาด ... เห็นทีจะกลายเป็นอีกหนึ่งนิยามติดตัวของประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่มีวิวาทะเผ็ดร้อนเชือดเฉือนคนนั้นคนนี้ไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) เช่นนี้ ก็ยังมิวายฟาดฟันกับ "แพทย์มือหนึ่ง" ของสหรัฐอเมริกา ทั้งสวน ทั้งตอก แบบไม่ไว้หน้า

"แพทย์มือหนึ่ง" คนนั้นคือใคร?

เขาทำอะไร? ถึงไปสะกิตต่อมเดือดผู้นำฝีปากกล้าให้ร้อนระอุ

หากย้อนดูตามหน้าสื่อต่างประเทศหลายสำนักในช่วงวิกฤติโควิด-19 นี้ คงคุ้นเคยกันดีกับชื่อ ‘ดร.แอนโธนี เฟาซี’ ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ราชการประจำภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาแล้วถึง 6 สมัย และยังดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญสูงสุดด้านโรคติดเชื้อของสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 2527

ถือเป็น "แพทย์มือหนึ่ง" ระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา ที่แม้แต่ทั่วโลกเองก็ยังยอมรับ ... มีแต่ ‘ทรัมป์’ นี่แหละที่ส่ายหน้าหนี!!

เมื่อเปิดสมุดผลงานที่ผ่านมาของ ดร.เฟาซี ก็ต้องบอกว่าผ่านมาทุกยุค!!

ปี 2530 ได้เป็นผู้กล่าวสรุปกรณีโรคเอดส์ (AIDS) ให้กับประธานาธิบดี ‘โรนัลด์ แรเกน’ ต่อมาในปี 2544 ก็มีโอกาสเข้าร่วมพิจารณาและหารือกับสภาอนุกรรมการในวาระวัคซีนสำหรับอาวุธชีวภาพของกองทัพ

ผ่านไป 2 ปี ในปี 2546 ก็ได้ร่วมแถลงต่อคณะอนุกรรมการวุฒิสภาเกี่ยวกับโรคซาร์ส (SARS) และในปี 2548 ก็ได้เข้าร่วมการแถลงข่าวการวางแผนการรับมือการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่รัฐวอชิงตัน ก่อนจะได้รับเกียรติประวัติสูงสุดกับการได้รับ "เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดี" จากประธานาธิบดี ‘จอร์จ ดับเบิลยู บุช’ ในปี 2551 เพื่อเป็นรางวัลของความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างแข็งขันในการช่วยเหลือผู้อื่นให้มีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์

...

ต่อมาปี 2557 ดร.เฟาซี ก็ยังมีโอกาสได้ร่วมสนทนากับประธานาธิบดี ‘บารัค โอบามา’ เมื่อครั้งลงพื้นที่ด้านสาธารณสุข ร่วมกับเลขานุการกระทรวงบริการสาธารณสุขและมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา

หรือแม้แต่ประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เอง ที่เมื่อเดือนมีนาคม 2563 ได้เข้ารับชมโมเดลไวรัสโคโรนาร่วมกัน ในระหว่างการเยี่ยมชมสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ แต่ก็ต้องแตกหัก สะบัดหน้าหนี เมื่อ ดร.เฟาซี เสนอแนวทางการชะลอการแพร่ระบาดโควิด-19 จนไปกระทบกับแผนการ "เปิดอเมริกา" ของ ‘ทรัมป์’ กลายเป็นวิวาทะร้อน ดื้อรั้น ไม่สนไม่ฟังคำเตือนใดๆ

และยิ่งตอกย้ำความขุ่นเคืองให้กับ ‘ทรัมป์’ มากไปอีก หลัง ดร.เฟาซี ออกมาเตือนให้ยกระดับการจัดการการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมแล้วกว่า 1.4 ล้านราย และเสียชีวิตอีกกว่า 84,000 ศพ ให้เข้มข้นและเข้มงวดมากกว่าเดิม เน้นย้ำให้ช่วยกัน "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ" (Stay at Home) ก่อนที่การแพร่ระบาดจะกลับมาอีกครั้ง

จากคำเตือนที่หวังดี กลายเป็นว่าไปขัดแข้งขัดขา ออกมาตอกหน้าว่า "เป็นคำเตือนที่ฟังไม่ขึ้น!!"

ยืนยันเดินหน้าลุยตามแผนการเดิม คือ "เปิดโรงเรียน" อีกครั้ง โดยยกตัวเลขทางสถิติของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุขึ้นมาสนับสนุนแนวคิดตน

แถม ‘ทรัมป์’ ยังตราหน้าว่า "ดร.เฟาซี กำลังเล่นเกมที่มีนัยทางการเมือง"

เมื่อเตือนแล้วไม่คิดจะฟังกัน!! ดร.เฟาซี ก็ไม่สน แต่ย้ำให้คิดตามอีกทีว่า การที่เด็กมีภูมิคุ้มกันที่ยอดเยี่ยมจะนำไปสู่ผลกระทบที่อันตรายมากๆ ของโรคระบาดโควิด-19 มันจะค่อยๆ เป็นไปทีละขั้นๆ และเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย แน่นอนว่า การเปิดโรงเรียนอีกครั้งในเวลาแบบนี้ ย่อมทำให้ตกอยู่ภายใต้การแพร่ระบาดที่พลังรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

ก่อนจะทิ้งท้ายระเบิดลูกโตผ่านคำพูดเรียบๆ ที่ว่า "ตัวเลขความสูญเสียชีวิตของชาวอเมริกันที่แท้จริง บางทีอาจสูงกว่าตัวเลขของทางการก็เป็นได้"

การต่อสู้ ห้ำหั่น ระหว่างแพทย์กับผู้นำสหรัฐฯ และคณะรัฐบาล ไม่ได้มีเพียงเหตุการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เท่านั้น แต่มีมานานนับ 100 ปีแล้ว และคำเตือนต่างๆ ก็ไม่ต่างจากที่ ดร.เฟาซี ย้ำกับ ‘ทรัมป์’ มาตลอด

...

"แพทย์" คนนั้นเป็นใคร?

ย้อนคำเตือนกันแบบช็อตต่อช็อต ก่อนที่ ‘ไวรัสร้าย’ จะฟื้นคืนชีพกลับมาระลอกที่ 2

100 ปีที่แล้ว เขาคนนั้นมีชื่อว่า ‘ดร.โธมัส ทัทเทิล’ ข้าหลวงสาธารณสุข ประจำกรุงวอชิงตัน ผู้นำหน้าที่เป็นกุนซือคอยชี้แนะให้สหรัฐอเมริกาผ่านพ้นการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของ ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ (1918 Influenza) ไปได้

แพทย์มือหนึ่งที่เป็นตำนาน ที่มักปรากฏตัวแบบรายสัปดาห์ผ่านโทรทัศน์ และแพทย์มือหนึ่งในยุคดิจิตอล ที่ใช้แอปพลิเคชันเทเลแกรมเป็นที่ถ่ายทอดสด แม้จะปฏิบัติงานภายใต้สภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่ยุทธวิธีในการจบศึกการแพร่ระบาดครั้งใหญ่นี้ล้วนเป็นไปในทำนองเดียวกัน เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing), การสวมหน้ากาก และการกักตัว (Quarantine)

...

     คำเตือนที่ 1 : ติดเชื้อโดยบุคคลที่ไม่แสดงอาการ

ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาด ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ นั้น ดร.ทัทเทิล ก็มีการระบุถึงการติดเชื้อโดยบุคคลที่ไม่แสดงอาการเช่นกัน แม้ว่าในยุคสมัยนั้น เขาจะไม่ได้เรียกอย่างตรงไปตรงมา โดยข้อความที่ ดร.ทัทเทิล เขียนลงบนรายงานด้านสาธารณสุขของคณะกรรมการบริหารวอชิงตัน ที่เผยแพร่ในปี 2462 มีการระบุถึงสิ่งที่เรียกว่า "พาหะ" ที่เป็น "บุคคลที่สัมผัสโรคแต่มีภูมิคุ้มกันโรคชัดเจน และยังเป็นพาหะเชื้อโรคและติดต่อสู่บุคคลอื่น"

และในบันทึกระหว่างการโดยสารเรือยนต์ขนาดใหญ่จากเมืองโนม รัฐอลาสกา ไปยังเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ของ ดร.ทัทเทิล ยังระบุอีกว่า "ในบรรดาผู้โดยสารทั้งหมดมีบุคคลที่มีอาการแสดงบ่งชี้เป็นไข้หวัดใหญ่ถึง 150 ราย อย่างไรก็ตาม ไม่มีการรายงานตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในเมืองโนม"

นี่จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า ภายในเรือโดยสารลำดังกล่าวต้องมีผู้โดยสารที่ไม่แสดงอาการอยู่เป็นแน่ และเป็น "พาหะแพร่เชื้อ"

คุ้นๆ ไหม? วิวาทะล่าสุดของ ดร.เฟาซี กับ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ก็มาจากคำเตือนนี้เช่นกัน จากความกังวลที่ว่าการเปิดโรงเรียนอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่า ดร.เฟาซี มีข้อกังวลว่า ภูมิคุ้มกันที่ยอดเยี่ยมของเด็กๆ อาจกลายเป็นพาหะแบบไร้อาการได้

โดย ดร.เฟาซี เชื่อว่า การติดต่อเชื้อโดยบุคคลไม่แสดงอาการเริ่มปรากฏในช่วงเดือนมกราคม หรือ 2 เดือนก่อนที่โควิด-19 จะกลายเป็นการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นบทเรียนของหน่วยงานด้านสาธารณสุข และควรเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อการสวมหน้ากากได้แล้ว

...

     คำเตือนที่ 2 : กฎแห่งความเข้มงวด

เช่นเดียวกับ ดร.เฟาซี ที่เน้นย้ำมาตลอดจนกลายเป็นแตกหักกับ ‘ทรัมป์’ ถึงการให้เข้มงวด เข้มงวด เข้มงวด! เข้มงวดให้มากที่สุด ทาง ดร.ทัทเทิล เองก็มีการบอกกับสาธารณชนถึงความเข้มงวดอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะบรรเทาการแพร่ระบาดของไวรัสให้เบาลง เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม และการสวมหน้ากาก

บันทึกของ ดร.ทัทเทิล เป็นคำเตือนการเว้นระยะห่างที่แม้จะผ่าน 100 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ล้าสมัย "การรวมตัวในที่สาธารณะทั้งหมด ยกเว้นความจำเป็นจริงๆ เพื่อรักษาชีวิต และการฟ้องร้องดำเนินคดี ควรถูกสั่งห้าม"

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.ทัทเทิล ยังแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากในที่สาธารณะและกักตัวเอง แต่หากย้อนระลึกถึงความหลังกลับพบข้อมูลของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (CDC) ว่า นี่เป็นความพยายามที่ "ไม่มีการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ"

ขณะเดียวกัน ทาง ดร.เฟาซี เอง ช่วงต้นเดือนเมษายนก็พบหลักฐานที่เป็นนัยสำคัญในการแสดงผลของคำสั่ง "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ" (Stay at Home) ที่มีอัตราการติดเชื้อค่อยๆ ชะลอตัวลง แต่คาดว่าอัตราการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงที่สหรัฐอเมริกากลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง

     คำเตือนที่ 3 : ไม่เห็นผล โดนตอกกลับ

ดร.ทัทเทิล และ ดร.เฟาซี แม้ห่างกัน 100 ปี แต่เห็นไปในทางเดียวกัน โดยเฉพาะมาตรการควบคุมและยับยั้ง

ดร.ทัทเทิล เคยส่งคำถามถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา ว่า "ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสร้ายรายสุดท้ายควรกักตัวเป็นระยะเวลานานเท่าไรถึงปลอดภัย?"

แต่กลับได้คำตอบกลับมาว่า "พวกเขาไม่ได้แนะนำให้ใช้มาตรการกักตัวเพื่อต่อสู้กับไข้หวัดใหญ่"

ทำเอา "แพทย์มือหนึ่ง" ในตำนานถึงกับงง!!

ขณะเดียวกัน ดร.เฟาซี เองก็ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดี ‘ทรัมป์’ ที่มีการชักชวนให้นำยารักษาโรคมาลาเรีย หรือที่เรียกว่า ไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine) มาใช้รักษาโควิด-19 และเตือนนักเตือนหนาว่า "อันตราย!!"

แต่ถามว่า ‘ทรัมป์’ แคร์ไหม ก็ไม่!! ดันออกมาตอบโต้กลับ แถมยังโวว่าตัวเองก็ใช้ด้วย

     คำเตือนที่ 4 : คำเตือนสุดท้ายก่อนไวรัสฟื้นคืนชีพ

ดร.ทัทเทิล เตือนอย่างจริงจังถึงการกลับมาอีกครั้งของการแพร่ระบาดไวรัสร้าย แม้ว่า ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ จะเริ่มต้นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงและพุ่งขึ้นสูงสุดในช่วงฤดูหนาว แต่มันสามารถจะกลับมาพุ่งขึ้นสูงสุดได้อีกครั้งในฤดูหนาวถัดมา หลังจากผ่านอากาศอันอบอุ่นในช่วงฤดูร้อนไปแล้ว

"การต่อสู้ของพวกเรายังไม่จบ ในความเป็นจริง พวกเรายังอยู่ตรงกลางของการแพร่ระบาดของมัน ฉะนั้น ต้องเตรียมพร้อมที่จะพบกับสถานการณ์นั้นอีกครั้งในวันข้างหน้า"

ไม่ต่างจาก ดร.เฟาซี ที่มองว่า การฟื้นคืนชีพของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกามีแน่นอน แต่ยังไม่ได้รับประกันถึงความสูญเสีย

"มันจะกลับมา เพราะไวรัสสามารถแพร่เชื้อได้และเป็นการระบาดทั่วโลก"

ดร.เฟาซี คาดการณ์ทิ้งท้ายว่า ไวรัสโควิด-19 มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาฟื้นคืนชีพและแพร่ระบาดอีกครั้งในสหรัฐอเมริกาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เหมือนกับการเริ่มต้นของฤดูไข้หวัดใหญ่ ฉะนั้น ชาวอเมริกันต้องเตรียมพร้อมสำหรับการคืนสู่สภาพคำสั่ง "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ" (Stay at Home)

ความสูญเสียจากการแพร่ระบาดเมื่อ 100 ปีก่อน ที่ไม่มีการปฏิบัติตามคำเตือนอย่างสม่ำเสมอและเพิกเฉยของหน่วยงานรัฐ ทำให้สุดท้ายแล้วมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 50 ล้านคนทั่วโลก เป็นชาวอเมริกันถึง 675,000 ศพ ส่วนความสูญเสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา ณ เวลานี้ คงยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ในระยะอันใกล้นี้ แต่ตัวเลขพลเมืองอย่างน้อย โดยทำเนียบขาว ระบุว่าอาจเสียชีวิตมากกว่า 135,000 ศพทีเดียว.

ข่าวอื่นๆ :