เมื่อมาตรการ ‘Lockdown’ ปิดเมืองสกัดกั้นการลุกลามของ ‘โควิด-19’ (COVID-19) เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของมนุษย์ทั่วโลกแบบกลับด้าน แม้ผ่อนคลาย ยกเลิก แต่จะกลายเป็น "ความปกติใหม่" (New Normal) ที่อยู่ไปอีกนานและอาจถาวร

ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา มนุษย์โลกต้องใช้ชีวิตภายใต้มาตรการอันแสนเข้มงวดที่แตกต่างกันไป บ้างมีข้อจำกัดเป็นช่วงเวลา ออกแคมเปญให้ทุกคน "อยู่บ้าน" หรือ Stay at Home บ้างเข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing และบ้างก็เข้มข้นชนิดที่ว่า "ปิดเมือง" หรือที่เรียกกันว่า มาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown)

มีการคาดการณ์ตัวเลขคร่าวๆ ของมนุษย์โลกที่ติดอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ว่า อาจมากกว่า 1 ใน 3 เลยทีเดียว ซึ่งประเทศแรกที่ใช้มาตรการอันแสนเข้มข้นนี้ คือ ประเทศจีน ที่ ณ เวลานั้น มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันสะสมราวหมื่นคน ก่อนที่ประเทศอื่นๆ จะค่อยๆ ทยอยหยิบมาใช้ตาม และที่เห็นเด่นชัดที่สุด คือ สเปน และอิตาลี ที่ในเวลานี้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมแล้วกว่า 2 แสนคน หรือแม้แต่ประเทศอื่นๆ อย่าง อิหร่าน เดนมาร์ก อิสราเอล และเยอรมนี รวมถึงสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมมากที่สุดในโลกกว่า 1.3 ล้านคน

ความเข้มงวดของมาตรการล็อกดาวน์มีความแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปในทางเดียวกัน คือ เน้นย้ำให้ "อยู่บ้าน" (Stay at Home), ปิดธุรกิจบางประเภท หรือห้ามการจัดงานอีเวนต์ใดๆ เป็นการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)

Lockdown เปลี่ยนชีวิตกลับด้าน แม้ "โควิด-19" พ้นไป แต่มาตรการอาจถาวร

...

ซึ่งหลังจากผ่านมานานหลายเดือน บางประเทศที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 รุนแรง ก็เริ่มมีการวางแผนเพื่อเตรียมผ่อนคลายหรือยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ เมื่อตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่มีแนวโน้มลดลงและผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเริ่มทรงตัว เพื่อให้มนุษย์โลกทยอยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันกันตามปกติอีกครั้ง

แต่การกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันที่เรียกว่า "ปกติ" กลับกลายเป็น "ความปกติใหม่" หรือ New Normal ที่สลับสับเปลี่ยนจนกลับด้าน อันเป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์ที่แสนเข้มข้น

มาตรการล็อกดาวน์เปลี่ยนชีวิตประจำวันของมนุษย์โลกอย่างไร?

และ New Normal ที่อนาคตจะกลายเป็น Normal เป็นอย่างไร?

คงต้องย้อนไปกลับไปดูช่วงชีวิตในยามปิดเมือง หรือ ล็อกดาวน์ (Lockdown) กันดูอีกครั้งว่า มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงแบบและกลับด้านแบบไหนบ้าง?

ชีวิตในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ของเหล่ามนุษย์โลก คงหนีไม่พ้น "ตื่นสาย นอนดึก ส่วนกลางวันก็แอบอู้งานหน่อยๆ"

เห็นได้จากข้อมูลการพยากรณ์พลังงานไฟฟ้าของ TESLA ที่พบว่า นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาปกติ 08.00 น. ลดลงถึง 18% เช่นเดียวกับที่กรุงโตเกียว และอีก 3 เขตปกครองใกล้เคียง ประเทศญี่ปุ่น ที่หลังจากมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ก็พบว่า มีการใช้พลังงานในช่วงวันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) ลดลง 5%

แน่นอนว่า เมื่อมี "มาตรการล็อกดาวน์" การเดินทางระหว่างวันไปทำงานที่ออฟฟิศก็ลดลง เหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายก็สามารถนอนหลับได้ยาวนานขึ้น จากที่ปกติจะเริ่มมีความต้องการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ช่วงเวลา 06.00-08.00 น. ก็ปรับเปลี่ยนไป โดยจากข้อมูลในประเทศเยอรมนี แสดงให้เห็นเทรนด์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ คือ เครื่องชงกาแฟไม่ได้มีการใช้งานเลยจนถึงช่วงเวลา 08.00-09.00 น.

Lockdown เปลี่ยนชีวิตกลับด้าน แม้ "โควิด-19" พ้นไป แต่มาตรการอาจถาวร

จากคำบอกเล่าให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนชาวเยอรมนี ยืนยันว่า "พวกเขาจะไม่ลุกจากที่นอนจนกระทั่งอีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มทำงาน และนั่นทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายนับตั้งแต่ตื่นนอน"

ประเทศในทวีปยุโรปอย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี มีมาตรการที่พ่วงมากับการล็อกดาวน์ คือ มาตรการพักงานชั่วคราวที่อนุญาตให้พนักงานหรือลูกจ้างสามารถรับเงินเดือนได้

หรือแม้แต่ในสหราชอาณาจักรก็เช่นกัน จนทำให้พนักงานหรือลูกจ้างเริ่มจะตื่นสายกันมากขึ้น ซึ่งหากเจาะลึกลงไปเกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน ก่อนที่จะมีมาตรการล็อกดาวน์ การใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. แต่ปัจจุบัน พวกเขาเลือกที่จะออกไปสูดอากาศข้างนอก ทำให้การใช้ไฟฟ้าช่วงเวลากลางวันนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

...

Lockdown เปลี่ยนชีวิตกลับด้าน แม้ "โควิด-19" พ้นไป แต่มาตรการอาจถาวร

สวนทางกับของประเทศเยอรมนี ที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า ชีวิตพวกเขาเลื่อนเวลาเพิ่มไปอีก อันเป็นผลจากการตื่นสาย เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ซึ่งจากปกติที่จะมีการเริ่มใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลา 18.00 น. เพราะกลับจากการทำงานและเริ่มต้นทำงานบ้าน แต่พอมีมาตรการล็อกดาวน์ พวกเขาต้องทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) และเรียนออนไลน์แทน ทำให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มเกือบตลอดทั้งวัน และพุ่งสูงสุดในช่วงเย็น หลังมีการเปลี่ยนพฤติกรรมการดูทีวีใหม่

เปลี่ยนพฤติกรรมการดูทีวีอย่างไร?

เมื่อมนุษย์โลกอยู่บ้าน ไม่ต้องเดินทางแต่เช้า พวกเขาก็นอนดึกขึ้น การหันมารับชมทีวียามเย็นลากยาวถึงค่ำมืดดึกดื่นจึงเป็นเรื่องปกติใหม่ โดยเฉพาะการรับชมแบบออนไลน์ หรือที่เรียกกันว่า "สตรีมมิ่ง"

Lockdown เปลี่ยนชีวิตกลับด้าน แม้ "โควิด-19" พ้นไป แต่มาตรการอาจถาวร

...

จากรายงานของบริษัท เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) พบว่า ยอดสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 15.8 ล้านแอคเคาท์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งศูนย์วิจัย Wall Street คาดการณ์ว่าอาจเพิ่มสูงขึ้นอีกถึง 2 เท่า หรือแม้แต่น้องใหม่อย่าง ดิสนีย์ พลัส (Disney+) ที่มียอดสมัครสมาชิกเกินกว่า 50 ล้านแอคเคาท์ ในเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่เคยมีการคาดการณ์เสียอีก

และเมื่อมีการรับชมสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น การใช้งานอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลันเช่นกัน รวมถึงพบเทรนด์ความปกติใหม่ที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ การใช้งานแบนด์วิซที่สลับขึ้น-ลง ในช่วงการรับชมสตรีมมิ่งและการใช้แอปพลิเคชันซูม (Zoom) ในการประชุมหรือเรียนออนไลน์ โดยพบว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมามีการบริโภคบอร์ดแบนด์หรืออินเทอร์เน็ตสูงกว่าช่วงก่อนหน้ากว่า 35%

Lockdown เปลี่ยนชีวิตกลับด้าน แม้ "โควิด-19" พ้นไป แต่มาตรการอาจถาวร

ขณะที่ ประเทศสิงคโปร์ หลังมาตรการขอความร่วมมือให้อยู่บ้าน (Stay at Home) เริ่มใช้เมื่อวันที่ 7 เมษายน ก็พบว่า การใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้พบกับชีวิตประจำวันที่กลับด้านอย่างสิ้นเชิง

คือ ระหว่างวันมียอดการใช้ไฟฟ้าลดลงและอยู่ในระดับต่ำ แต่ในช่วงกลางคืนกลับแตกต่างคนละเรื่องคนละราว โดยในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา เกิดกระแสยอดฮิตสตรีมมิ่งสารคดีชื่อดัง Tiger King และ The Last Dance การใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงต่อเนื่องในช่วงกลางคืน กว่าจะเริ่มลดลงก็จนกระทั่งช่วงเวลา 22.00-24.00 น. กลายเป็นว่า จากที่ต้องรีบเข้านอนเพื่อตื่นแต่เช้า ก็เปลี่ยนเป็นนอนก็ต่อเมื่ออีก 1 ชั่วโมงจะพ้นวันไปแล้วนั่นแหละ

...

จากพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นรอบโลก นับเป็นความท้าทายใหม่ที่เป็น New Normal ของมนุษย์โลก ซึ่งผู้ให้บริการไฟฟ้าและให้บริการอื่นๆ ต้องให้ความสนใจและปรับเปลี่ยนตามให้ทัน

Lockdown เปลี่ยนชีวิตกลับด้าน แม้ "โควิด-19" พ้นไป แต่มาตรการอาจถาวร

และแม้ ณ เวลานี้ จะยังไม่แน่ชัดว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะมีขอบเขตอยู่ที่ตรงไหน และจะหยุดได้เมื่อไร

แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า เมื่อวิกฤติโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ประเทศต่างๆ ก็จะมีการปรับมาตรการที่ใช้กันอยู่ตอนนี้ให้เข้ากับแนวทางของตนเองต่อไป เช่น อิตาลีที่ยังคงคุมเข้มมาตรการต่างๆ และบางมาตรการก็อาจมีการเปลี่ยนให้เป็นมาตรการ "ถาวร" ในอนาคต

รวมถึงเหล่าพนักงานและนายจ้างที่เริ่มจะคุ้นเคยและใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นจากการทำงานที่บ้าน (Work from Home) จนกลายเป็นความปกติในอนาคตเช่นกัน

Lockdown เปลี่ยนชีวิตกลับด้าน แม้ "โควิด-19" พ้นไป แต่มาตรการอาจถาวร

ไม่เว้นแม้แต่จีน ประเทศแรกที่เริ่มใช้มาตรการล็อกดาวน์สกัดโควิด-19 ที่พบว่า การบริโภคไฟฟ้าระดับครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ ภายในบ้าน ทั้งการดูทีวี การทำอาหาร หรือการทำความร้อน ซึ่งจากข้อมูลของ IHS Markit บริษัทที่ปรึกษา เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ความต้องการใช้ไฟฟ้าของบ้านพักอาศัยเพิ่มขึ้นถึง 2.4% และในส่วนของการบริโภคเทคโนโลยีก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย มีการให้บริการด้านเว็บไซต์เพิ่มขึ้นถึง 27% ทีเดียว

หรือหากย้อนมาดูที่ประเทศไทย แม้ไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่การบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการเน้นย้ำมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) รวมถึงขอความร่วมมือให้อยู่บ้าน (Stay at Home) ก็ทำให้เห็นการใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นในรูปแบบ "ปกติใหม่" (New Normal) ที่เริ่มปกติ

Lockdown เปลี่ยนชีวิตกลับด้าน แม้ "โควิด-19" พ้นไป แต่มาตรการอาจถาวร

อย่างร้านตัดผมหรือร้านอาหาร ที่รัฐบาลอนุญาตให้กลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติ ที่เดิมจะเห็นคนแน่นร้าน ก็เปลี่ยนแปลงไป มีการใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารกันมากขึ้น ลดการไปนั่งรับประทานที่ร้าน แม้จะอนุญาตให้นั่งได้ แต่ต้องเว้นระยะห่าง ซึ่งคาดการณ์ว่ายอดการใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารของปี 2563 จะสูงถึง 20 ล้านออเดอร์ ส่วนร้านตัดผมจะเข้าไปนั่งรอในร้านเหมือนเดิมก็ไม่ได้แล้ว ต้องมีการจองคิว และทำได้เฉพาะตัด สระ ไดร์ฟเท่านั้น

และอนาคตอันใกล้ การกลับมาให้บริการของห้างสรรพสินค้าตามปกติอีกครั้ง ก็จะเป็นในรูปแบบ "ปกติใหม่" ที่อาจมีการจำกัดคนเข้า หรือจำกัดเวลา จะมาเดินเที่ยวช้อปปิงนานๆ หลายชั่วโมงแบบแต่ก่อนคงไม่ได้

ทั้งหมดทั้งมวลนั้น เห็นได้ว่า มาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) กำลังค่อยๆ ปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันของมนุษย์โลกให้กลับด้านไปอย่างช้าๆ จนเกิดเป็นความ "ปกติใหม่" (New Normal) ที่ในอนาคตจะกลายเป็น "ปกติ" (Normal).

ข่าวอื่นๆ :