เด็กๆ เรามักถูกถามว่า “โตขึ้น..อยากเป็นอะไร..ทำอาชีพอะไร” 

แต่ในความเป็นจริงนั้น เชื่อว่า หลายคนอาจจะไม่ได้ทำงานที่ชอบ หรือ ไฝ่ฝัน

สำหรับบางอาชีพ อาจจะดูสบาย ได้เงินดี ก็เพราะอาชีพนั้นๆ เป็นที่ต้องการและขาดแคลนไม่ได้ และบางอาชีพนั้น สุดแสนจะอันตราย แต่ก็ต้องมีคนเสี่ยงชีวิตที่จะทำ

“สายสืบ” คือ อาชีพที่เข้าข่ายนั้น เพราะหากพลาดพลั้ง เผอเรอเมื่อไหร่ อาจจะไม่มีลมหายใจ ไร้โอกาสได้เจอหน้าครอบครัวอีกเลย

เมื่อเร็วๆ นี้ จ่าสิบตำรวจนายหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต ขณะเข้าล่อซื้อยาเสพติด โดยระหว่างเฝ้ารอผู้ต้องสงสัยค้ายาออกจากบ้าน และเมื่อเห็นเป้าหมาย สายสืบนายนี้จึงวิ่งเข้าชาร์จ แต่โชคร้าย หนุ่มแก๊งยานรกควักปืนยิงสวนกระสุนเข้าเจาะอกเสียชีวิตในที่สุด

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “สายสืบ” คนหนึ่ง ที่ทำงานด้านนี้มาอย่างยาวนาน ขึ้นเหนือ ลงใต้ จับกุมคดีสำคัญมามากมาย “สายสืบคนนี้” ได้ยอมเปิดเผยข้อมูลชีวิต และวิธีการเอาตัวรอดระหว่างทำงาน

...

คนเป็นสาย...เรียนมาก็เท่านั้น ชีวิตจริงแตกต่าง พลาดพลั้งถึงแก่ความตาย

สายสืบคนหนึ่งเปิดเผยเรื่องราวในชีวิตว่า เขาทำงานมาอย่างยาวนานแล้ว ไม่ว่าที่ไหนในประเทศเขาไปมาหมด ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และเพราะ “หน้าตาบ้านๆ” แบบนี้ล่ะมั้ง เขาจึงมักถูกส่งไปทำภารกิจอันตรายที่จำเป็นต้องเร้นกายเข้าถ้ำเสือมาโดยตลอด

“การลงพื้นที่สืบสวนในพื้นที่ ต้องรู้จักการใช้การประยุกต์...แต่ละครั้งแต่ละคดี วิธีการจะไม่เหมือนกัน สิ่งที่ต้องดูคือหน้างานของเราเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมที่จะไปเป็นอย่างไร คนที่จะเข้าสืบหาข้อมูล ทุกอย่างต้องดูกลมกลืน เริ่มต้นตั้งแต่หน้าตา การแต่งกาย และปัจจัยอื่นๆ

คนเป็นสายสืบ...หัวต้องคิดตลอดเวลา หากเราไม่คิด..ก็เหมือนกับ “ซุงลอยน้ำ” ไร้ทิศทางจะลอยไปไหนก็ได้ แต่หากเราคิดวิเคราะห์งานได้ วิเคราะห์คนได้ อ่านสถานการณ์ขาด ต้องรู้จักบุกจักถอย หากสถานการณ์ไม่พร้อม ประเมินแล้วเสี่ยงก็ต้องถอนตัวออกมา”

นักสืบฝีมือดี ผู้นี้ยังเผยอีกว่า การคาดคั้นเร่งหาข้อมูลมากจนเกินไปก็ไม่ดี เราต้องรอดู จังหวะ โอกาส นั้น สายสืบจะดูที่หน้างานและจะรู้เอง หากคนที่ประยุกต์ไม่เป็นก็มีโอกาสที่จะตายได้

ส่วนความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในงานด้านนี้มีอะไรบ้าง... สายสืบอาชีพผู้นี้ ระบุว่า เกิดจากหลายปัจจัย การถูกเร่งจากผู้บังคับบัญชาก็เป็นส่วนหนึ่ง ตัวสายสืบพยายามเร่งตัวเองก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง

แต่ที่ร้ายที่สุด คือ ตัวโจรผู้ร้ายบางคนก็ไม่ธรรมดา บางคน “ขุดบ่อล่อปลา” ลวงไปฆ่าทิ้งก็เคยมี

“อย่าคิดว่าตัวเองมีแผนได้คนเดียว คนร้ายเองก็ระวังตัว วิเคราะห์สถานการณ์ได้เช่นกัน เรียกว่า “เหนือฟ้ายังมีเซียน” ฉะนั้น คนเป็นสายสืบต้องระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว”

วิธีการเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน สังเกตสถานการณ์ ข้อมูล ที่ไม่สมเหตุสมผล

สายสืบผู้นี้ ได้เผยวิธีการเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน ว่า ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าสถานการณ์ตรงหน้าเราเป็นอย่างไร ต้องคอยสังเกตสิ่งผิดปกติ และนำหลักการ “ความขัดแย้ง” เข้ามาพิเคราะห์ รวมถึงข้อมูลที่ได้มามีความขัดแย้งด้วยเหตุผลหรือไม่

...

การที่จะเป็นสายสืบได้หรือไม่...ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะการเรียนกับการปฏิบัติงานจริง แตกต่างกันดั่ง “ฟ้ากับเหว” การลงพื้นที่สืบจะรอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความกดดันของเป้าหมาย สภาพแวดล้อม เราต้องดูองค์รวมทุกอย่าง เหมือนกับนักยุทธศาสตร์ต้องดูปัญหารอบด้าน...

“การสั่งสมประสบการณ์ ในที่นี้คือ ชั่วโมงบิน คือเราทำงานแฝงตัวในพื้นที่นานแค่ไหน..ไม่ใช่ว่าการเป็นเจ้าหน้าที่มากี่ปี เพราะเจ้าหน้าที่บางคน อาจจะอยู่ในราชการมายาวนาน แต่ก็ไม่สามารถลงพื้นที่เป็นสายสืบได้ เพราะโลกความเป็นจริง มีทักษะมากมายที่ตัวสายสืบคนนั้นต้องเรียนรู้ สิ่งสำคัญของการสืบสวน คือ “การหาพยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมาย” เพราะเราต้องใช้หลักฐานเหล่านั้นในชั้นศาล

ร้อยเล่ห์ ลวงฆ่า ห้ามคิดตัวเองเหนือชั้น เพราะเหนือฟ้ายังมีเซียน เคยเกือบถูกอุ้มฆ่า

จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา สายสืบผู้นี้เกือบถูกฆ่ามาแล้วหลายหน บางคดีมีการขุดบ่อล่อปลา บางคดีถอนตัวได้อย่างเฉียดฉิว โดยเขาได้ยกตัวอย่างครั้งหนึ่ง เคยไปสืบคดีหนึ่งที่ค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างมาก เนื่องจาก “เป้าหมาย” ที่เขาต้องการหาหลักฐานจับกุมนั้นก็หาใช่คนทั่วไป เป็นคนที่มีความรู้ด้านกฎหมายเป็นอย่างดี

...

โดยระหว่างการที่สืบสวนนั้น ได้มีการแฝงตัวเข้าไป กระทั่ง...คนร้ายเริ่มผิดสังเกต กับตัวเขา จึงมีการชักชวนไปเที่ยวหรือเสนอความสะดวกสบายบางอย่างให้ เราต้องวิเคราะห์คำพูด พยายามซึมซับความรู้สึกจากฝั่งตรงข้ามว่าเขาคิดยังไงกับเรา สถานที่นัดหมายเป็นอย่างไร..

“เขาเริ่มระแวง ส่งให้คนมาจดชื่อ จากนั้น กลุ่มเป้าหมายกลับมาชวนไปเที่ยว ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บอกจะดูแลรับรองอย่างดี.. ทุกอย่างที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องผิดสังเกต กระทั่งในช่วงค่ำของวันหนึ่ง ได้เห็นกลุ่มเป้าหมายได้เตรียมถุงกระสอบข้าวเปลือก และมีคนหัวเกรียน เริ่มเดินเข้าๆ ออกๆ มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติมาก ของที่ไม่น่าอยู่ตรงนี้ก็มาอยู่ คนที่ไม่น่าจะมาก็มา เมื่อเห็นดังนั้น จึงรีบถอนตัวออกมาทันที”

สายสืบผู้นี้ทราบภายหลังว่า เขาเตรียมส่งคนจะมาอุ้มเพื่อไปยิงทิ้งที่ชายแดน...

เมือถามว่าเคยโดนไล่ยิงหรือหนักสุดเรื่องอะไร สายสืบคนเดิม บอกว่าไม่เคย เพราะเราจะถอนตัวก่อนที่จะมีเหตุการณ์ มากที่สุด คือถูกควักปืนไล่ตาม แต่ยังไม่ถึงขั้นถูกไล่ยิง

...

รายได้ ครอบครัว สิ่งที่ต้องเสียสละ

สิ่งที่ต้องเสียสละ...สายสืบมากประสบการณ์ ยอมรับว่า ชีวิตครอบครัวนั้นเสียแน่นอน เพราะอาชีพนี้ต้องการความเสียสละ บางทีถูกสั่งงานลงมาโดยมีกรอบเวลามายึดโยง นักสืบจึงต้องลงพื้นที่เพื่อเอาข้อมูลให้ได้ หากได้ข้อมูลเร็วก็จะปิดงานไว แต่หากเวลาปล่อยเวลาล่วงเลยประเทศชาติจะเป็นคนเสียหาย ตรงนี้เองถือเป็นสถานการณ์ที่กดดันตัวสายสืบ

“การเสี่ยงตายแบบนี้ เงินเท่าไรก็ไม่คุ้มหรอก แต่เราเดินมาสายนี้แล้ว เราต้องทำ”

บางครั้งเราต้องใช้เวลาในการเฝ้าเป้าหมายทั้งวันทั้งคืน หรือหลายวัน ตรงนี้เป็นเรื่องไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้มา หรือ บางคดีได้ข้อมูลเป้าหมายไม่ชัด เราก็ต้องตามเช็กข้อมูลทุกอย่าง จนกว่าจะชัดเจน เชื่อมโยงได้

ยกตัวอย่างเช่น เราอยากรู้ว่าโกดังแห่งนี้เก็บของผิดกฎหมายมากน้อยขนาดไหน...สิ่งที่ต้องทำก็คือ “การเฝ้าดู” และ “การสังเกต” เพื่อมาคำนวณ เช่น มีการขายของละเมิดลิขสิทธิ์ เราก็ดูไปว่ากลุ่มผู้ค้าดังกล่าวเข้าออกโกดังบ่อยแค่ไหน ถ้าบ่อยครั้งแสดงว่าของในโกดังมีเยอะ และต้องเฝ้ารอดูว่าจะเอาของมาลงสต๊อกอีกเมื่อไหร่ เป็นต้น

ทั้งนี้ การเฝ้าดูนั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้คนเฝ้า แต่เราใช้อุปกรณ์ในการเฝ้า แต่ถ้าที่สุดแล้ว คนที่ทำคดีก็ต้องมาวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดจากที่ได้

ข้อเสนอแนะภาครัฐต้องดูแลดีกว่านี้ เบี้ยเลี้ยงต้องถึงคนทำงาน ห่วงคนข้างหลัง

“แน่นอนว่าเราต้องทุ่มเททำงาน เสียสละเวลาเพื่อครอบครัว ดังนั้น สิ่งที่อยากได้คือ..”

1.สายสืบควรจะได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่านี้... หากเทียบสัดส่วนกับความอันตรายที่ได้พบนั้น เรียกว่า “ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน” เหตุเพราะเมื่อสายสืบลงพื้นที่ “พกปืนไม่ได้” เพราะคนทั่วไปเขาไม่พกปืน ดังนั้น “ชีวิตจึงถูกแขวนวันบนเส้นด้าย”

ถามว่าพอไหม... “ตอบเลยว่า ไม่พอ สิ่งที่ได้มีแค่เบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก แต่บางครั้งไม่พอที่จะกินอะไรให้ได้อิ่มท้องหรือเต็มที่ หรือบางทีไปแฝงตัวในสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีค่าครองชีพสูง เบี้ยเลี้ยงที่ได้ก็ไม่เพียงพอ จะกินอะไรก็ไม่ได้ ค่าพิเศษอื่นๆ ก็ไม่มี เรียกว่าอยู่อย่างอัตคัด”

“ผมไม่ใช่คนละโมบโลภมากอะไร...รู้ว่า ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่หากเราเป็นอะไรไปขึ้นมา ครอบครัวเราต้องอยู่อย่างยากลำบาก ลูกอาจไม่ได้เรียนหนังสือ ครอบครัวกระจัดกระจาย หากรายได้ยังเป็นแบบนี้”

2.อยากจะให้ทางราชการเสนอเงินพิเศษบวกไปกับเบี้ยเลี้ยงเฉพาะคนที่ลงสืบฯ กับเรื่องนั้นๆ เลย ส่วนนอกเวลางานที่ลงพื้นที่สืบสวน ก็ไม่ต้องให้เขา โดยเฉพาะการให้เงินแบบรายเดือนกับทุกคน แบบนี้ยิ่งไม่ควรเพราะเป็นการส่งเสริมให้คนไม่ทำงานกัน

เมื่อถามว่า มีความในใจอยากจะบอกเกี่บวกับงานสายสืบในการทำงานราชการ “เจ้าหน้าที่” ผู้ที่ทำงานสายสืบมาอย่างยาวนาน กล่าวว่า อยากให้หัวหน้างานสายสืบวัดความสำเร็จของงาน หากทำสำเร็จหลายงานแล้ว สมควรที่จะให้เขาเลื่อนยศในระดับที่สูงขึ้น ได้เงินเดือนมากขึ้น กับบางคนที่ไม่มีเนื้องาน ไม่ทำรายงาน ไม่ลงสืบ ก็ไม่ควรเลื่อนขั้น ไม่ควรได้เงินพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือน

“เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องแฟร์ๆ คนที่ทำงานสำเร็จก็ควรได้รางวัลตอบแทน ส่วนลึกๆ แล้วก็อยากที่จะออกจากสายนี้บ้าง เพราะอยากเห็นคนรุ่นใหม่ขึ้นมาได้ทำงานจริงๆ หากระบบดีด้วยแล้ว ทุกคนก็จะแย่งกันทำงาน ผลงานก็จะออกมาดี ชาติก็จะดี...ถ้าต้นไม้ 1 ต้น ปลูกแล้วไม่หมั่นรดน้ำ พรวนดิน ไม่ช้าไม่นานมันก็ตาย ถือเป็นสัจธรรม”

นี่คือเสียงจากสายสืบคนหนึ่ง ที่ทุ่มเททำงาน ขจัดปัญหาให้กับสังคม ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระ ภาครัฐควรจะดูแลเขาให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ หรือ อย่างน้อยควรทำให้เขาไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง.. 

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน