ตอนที่ 3
อิสร์คว้าน้ำเหลวเรื่องสืบหาเจ้าของเลื่อยยนต์เพราะมันเป็นของเถื่อนตามหาต้นตอไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้พนัสเคยเตือนแล้วแต่อิสร์ดันทุรังเอง
อิสร์และชาติเผชิญหน้ากับทัศน์ลูกน้องคนสนิทของไกรสร ทัศน์แขวะสองหนุ่มเจ้าหน้าที่ป่าไม้อย่างคะนองปาก โดยมีสมุนกลุ่มใหญ่ผสมโรงหัวเราะเยาะกันครื้นเครงก่อนจะเดินจากไปพร้อมเลื่อยยนต์ใหม่เอี่ยมที่ซื้อมาแทนอันเก่า
เมื่อกลับมาถึงที่ทำการอุทยานฯ อิสร์กับชาติเล่าให้พนัสและทีมงานฟังด้วยความเจ็บใจ พนัสไม่ได้ตั้งใจซ้ำเติมอิสร์แต่พูดตรงๆว่า “ผมบอกคุณแล้ว”
“ครับ หัวหน้าบอกแล้ว ผมมันซื่อเอง”
“คุณก็ทำตามขั้นตอน มันก็ถูกต้องแล้ว”
“เราอาจจะไปสืบหาตามร้านที่ขายเลื่อยพวกนี้ว่าใครขายให้ใครไป”
“เอาสิ ทั้งละแวกนี้และจังหวัดใกล้เคียงเลยนะ ขออวยพรให้หาเจอ”
ชาติตีความคำพูดของพนัสได้ว่า “มันน่าจะซื้อมาจากจังหวัดไกลๆจนสืบไม่ได้เลยใช่ไหมครับ”
“มันซื้อมาจากประเทศอื่นต่างหากล่ะ เราจะเริ่มจากประเทศไหนก่อนดี”
ชาติถอนใจก่อนบอกว่า เข้าใจแล้วว่าทำไมการจับพวกตัดไม้ทำลายป่าถึงยากนัก พวกเราเสียเปรียบมันทุกทาง เจิมเสริมว่าทั้งในแง่กฎหมาย กฎระเบียบ อาวุธที่ใช้ งบประมาณ จำนวนคนทำงาน ส่วนบุ้งแนะนำว่าเราต้องใช้สมองนั่งสมาธิ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกล
พัฒน์คล้อยตามเพราะเชื่อความลี้ลับอยู่เป็นทุน บอกว่าต้นไม้ทุกต้นมีวิญญาณ เจ้าป่าเจ้าเขา นางไม้ผีไพร ผีโป่งผีป่ามีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องช่วยเรา
“โอม...ขอให้วิญญาณใดๆที่เคยสิงสู่ในบรรดาต้นไม้ที่เลื่อยอันนี้มันเคยไปตัด จงมาสิงสู่ในเลื่อยตัวนี้ แล้วเหาะไปตัดไอ้คนที่เป็นเจ้าของเลื่อยตัวนี้ทีเถอะ” พัฒน์พนมมือสวดงึมงำ ออดเอาด้วยช่วยให้ขลัง
“ตกดึก...ถ้าเราจับตาดูให้ดี เลื่อยอันนี้จะค่อยๆลอยสูงขึ้นๆ แล้วก็หันหน้าไปที่อำเภอ มุ่งหน้าไปสู่โลเกชันนั้น...คือบ้านหลังใหญ่อลังการของนายไกรสร”
พนัสเหลือทนกับสองหนุ่มลูกน้อง ตวาดลั่น “เฮ้ย! หยุดไร้สาระกันได้แล้ว แค่ยึดเลื่อยยนต์ได้อันเดียว ทำอะไรมันไม่ได้หรอก”
“แล้วปล่อยให้มันลอยนวล ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าใคร” อิสร์น้ำเสียงไม่พอใจ
“ถ้ายังทำอะไรไม่ได้ เราต้องอยู่เฉยๆ รอจังหวะไปก่อน เหมือนนักมวยบนเวทีมวยนั่นแหละ ถ้าบุกในเวลาที่ผิด เราเองจะแพ้น็อก ยกนี้เราเสียเปรียบ เดี๋ยวยกหน้าเราอาจจะได้เปรียบก็ได้ เอาเวลาวันหยุดกลับบ้าน
ไปหาเมียให้หายเครียดดีกว่าอิสร์ ทางนี้ผมดูแลเอง”
พนัสหัวเราะเบาๆ ตบบ่าอิสร์ แต่ชายหนุ่มเบี่ยงตัวเดินหนีไปทางศาลา ชาติเข้าใจความรู้สึกอิสร์ ตามมาพูดด้วยเหตุผลว่าหัวหน้าพนัสผ่านประสบการณ์มามาก ตนเชื่อว่าเขาพูดถูก
“กว่าจะถึงวันนั้นป่าคงหมดเมืองไทยพอดีแหละด็อกเตอร์ เวลานี้ก็แทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว”
“แต่คนพวกนั้นมันก็เหิมเกริมจริงๆ มันเห็นพวกเราเป็นตัวตลก”
“พวกเรามันไม่ใช่เสือกระดาษ แต่เป็นหมูกระดาษต่างหาก แล้วหัวหน้าก็เหมือนจะอยากให้เรากลายเป็นหมูจริงๆไปซะด้วยซ้ำ” อิสร์ยังขุ่นข้อง ชาติมองอย่างไม่สบายใจ