ตอนที่ 10
“แล้วคุณจะรู้เองเมื่อถึงเวลา อ้อ แล้วอย่าลืมว่าคุณติดค้างผมนะ ถ้าผมทำให้ทั้งโลกเชื่อว่าคุณเป็นผู้กองได้ ทำไมผมจะเปิดเผยตัวจริงของคุณให้โลกรู้ไม่ได้จริงไหม ลองคิดดูว่าหมอชลจะรู้สึกยังไงถ้าวันนั้นมาถึง”
เสียงเรียกของชลดาที่บอกว่าห้องเรียบร้อยแล้วปลุกให้ยอดรักตื่นจากภวังค์ เธอบอกให้เขาขึ้นมาดูห้อง เขาค่อยๆเดินตามขึ้นไปอย่างคนมีปมในใจ
ooooooo
เมื่อยอดรักมาถึงห้องนอนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ชลดาเดินไปหยิบกางเกงบอลกับเสื้อยืดของหมอเขมทัตที่ทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน เขาถอดเสื้อออกเหมือนคนซังกะตาย เธอบอกว่าเปลี่ยนเสร็จให้มานอนพัก
เขามัวแต่ใจลอยเลยไม่ได้ยิน เธอนึกว่าที่เขาเฉย เพราะไม่ชอบสถานที่ ถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ห้องเล็กไปหรือ ตอนนี้เธอหาได้ดีที่สุดแค่นี้ เขาดึงเธอมากอด สำหรับเขาอยู่ที่ไหนก็ได้ขอแค่มีเธออยู่ใกล้ๆก็มีความสุขแล้ว
“คุณเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” ชลดายิ้มเปี่ยมสุข ยอดรักแปลกใจเพราะใครๆก็ชอบนักรบคนเก่า
แต่เธอกลับบอกว่าดีใจที่เขาไม่เหมือนเดิม เธอไม่อยากได้ผู้กองนักรบคนเดิมหรือ เธอพยักหน้า ก่อนตัดสินใจเล่าให้ฟังว่าก่อนที่เขาจะบาดเจ็บ ในหัวของเขามีแต่งาน วันไหนไม่ทำงานก็จะกินนอนอยู่แต่ในหน่วยของเขา
“ใช่ ชลรู้ว่าคุณบอกว่ารักชล แต่มันก็แค่คำพูดอ่ะ คนเราถ้ารักกันมันต้องหาทางมาเจอกันสิ” พูดถึงตรงนี้ชลดาก็น้อยใจขึ้นมา “ชลยังเคยสงสัยด้วยซ้ำไปว่าคุณรักชลหรือลูกน้องคุณมากกว่ากัน” ชลดาก้มหน้างอนๆ ยอดรักมองเธอด้วยความหลงใหล พานคิดว่าอาหารหลักของนักรบน่าจะเป็นหญ้า ผู้ชายคนนั้นต้องเป็นร่างอวตารของควายที่ทิ้งผู้หญิงอย่างเธอแล้วไปอยู่กับพวกจ่าพวกหมวด ยังไม่ทันจะปลอบ เธอชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“แต่ช่างมันเถอะ มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ชลดีใจที่เรามีเวลาให้กันมากขึ้น”
“แล้วมันดีไหมล่ะ”
“ดีค่ะ ชลได้รู้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนบ้าระห่ำห้าวที่เกิดมาไม่เคยมีคำว่ากลัวในหัวใจ แต่คุณเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาที่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
ยอดรักมีความสุข ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสู้นักรบได้ แต่ครั้งนี้เขาชนะก็เลยหัวเราะออกมา ชลดาระดมทุบอกเขาเป็นชุดตัดพ้อเขาคงคิดว่าที่เธอพูดมาทั้งหมดเป็นความโง่ของผู้หญิงคนหนึ่งใช่ไหม เขารวบมือเธอไว้
“ตรงกันข้ามเลย ผมกำลังคิดว่าไม่ว่าผมหรือใครก็ตามที่ทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้นต่างหากที่ควรถูกตราหน้าว่าโง่ ผมไม่มีวันที่จะมีชีวิตต่อไปได้บนโลกนี้โดยไม่มีคุณ...ชล คุณคือชีวิตของผม”
“พูดอีก ชลอยากได้ยินอีก” ชลดาเคลิ้มสุดๆ ยอดรักไม่พูดดึงเธอมาจูบแทน ฟ้าฝนเป็นใจ ทุกอย่างเป็นใจรวมทั้งอารมณ์ที่พาไปทำให้ทั้งสองคนตกเป็นของกันและกัน...
ผ่านไปพักใหญ่ชลดาลุกขึ้นแต่งตัว จัดผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่ หันไปมองยอดรักที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง เดินไปห่มผ้าให้ด้วยความรักเต็มหัวใจ ระหว่างที่เธอกำลังยิ้มมีความสุข มีเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้านพัก เธอเดินไปดูที่หน้าต่าง ตกใจแทบช็อกเมื่อเห็นแม่ลงจากรถกำลังจะเดินเข้าตัวบ้าน รีบลงไปรับหน้า...
ภคินีลากกระเป๋าเดินทางของยอดรักเข้ามาเห็นชลดาที่วิ่งลงบันไดมารับหน้าก็ดีใจบอกว่าเอากระเป๋าผู้กองที่ติดอยู่กับเราตอนเข้ากรุงเทพฯมาให้ เธอแปลกใจแม่รู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่นี่ ท่านโทร.ถามเพื่อนๆหมอของเธอ ทันใดนั้นมีเสียงยอดรักดังขึ้น เรียกหาชลอยู่ไหน ภคินีเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนแล้วมองลูกสาวตัวเอง เห็นหน้าแดงๆของลูกก็พอจะเดาอะไรออก มีเสียงยอดรักดังขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมปล่อยให้ผมนอนอยู่คนเดียวล่ะ ไหนว่าจะไม่ทิ้งกันไง” ไม่พูดเปล่ายอดรักเดินลงมาชุดกางเกงบอลตัวเดียว “ใครมาเหรอชล” ยอดรักลงมาเห็นภคินีจ้องอยู่ก็ตกใจร้องดังลั่นบ้านว่า “แม่”เดินถอยหลังจะหนีขึ้นข้างบนแต่ก้าวพลาดร่วงลงมาก้นกระแทกร้องโอ๊ยลั่น ชลดาอายแม่มากแทบแทรกแผ่นดินหนี
“แม่ดีใจนะที่ไม่ได้ลากพ่อเขามาที่นี่ด้วยไม่งั้น โอ๊ยตายๆๆๆ เรื่องนี้พ่อเขาไม่จำเป็นต้องรู้ คงเข้าใจนะ ขืนพ่อเขารู้เข้าเขาคง...โอ๊ย ตายๆๆ”
ชลดาพยักหน้ารับคำ ภคินีย่างสามขุมเข้าหายอดรักซึ่งไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ยกมือไหว้สวัสดี ท่านไม่พูดอะไรด้วยปล่อยหมัดชุดใส่จนเขาร้องเสียงหลงแล้วตามเข้าไปขึ้นเข่าซ้ำอีกครึ่งโหล ชลดาเห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปห้าม ท่านให้เขาถือว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของสินสอด แล้วหันไปบอกลูกว่าขอตัวกลับก่อนที่จะกลายเป็นฆาตกร จากนั้นเอามือถือ กระเป๋าเงินและของใช้ส่วนตัวของยอดรักที่ถูกยึดไปตอนโดนควบคุมตัวให้ลูก
“บอกผู้กองด้วยนะว่าโทรศัพท์สายแทบไหม้เพราะใครต่อใครก็อยากเอาเขาไปออกรายการทีวี” ภคินีว่าแล้วหันหลังจะไป ชลดาจับแขนแม่ไว้จะไปแล้วหรือ ท่านพยักหน้ารับคำ บอกกับเธอว่าเย็นนี้ให้พาผู้กองมากินข้าวที่บ้านเราถ้าเขายังเห็นหัวพ่อกับแม่ของลูกอยู่ เขาก็ควรจะมาคุยกับเราแล้วทำให้มันถูกต้อง ยอดรักรอจนท่านไปพ้นแล้วจึงขอโทษชลดาที่ไม่ควรลงมา
“ช่างมันเถอะ ชลไม่เสียใจเลยในสิ่งที่ทำลงไป แต่คุณช่วยทำตามที่แม่บอกเถอะนะ”