ตอนที่ 13
“ฉันเสียใจด้วยนะเรื่องที่เธอเกือบถูกทำร้าย ทำไมยังจับคนร้ายไม่ได้อีกล่ะ”
“ตำรวจบอกว่าเป็นคนของนายแสวง แต่มันสองคนหนีไปแล้ว นายแสวงก็ไม่รู้เรื่อง”
ภุมวารีวางหน้าเฉยแต่ใจแอบโล่งกับคำตอบ แต่แล้วขวัญเรือนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเป็นปริศนาและพูดเหมือนรู้ทัน
“คุณนวลก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกันนะคะ พวกมันอาจจะไม่ได้ไปไหนไกล”
ภุมวารีสะอึก ความหวาดระแวงแล่นขึ้นมาเพราะขวัญเรือนพูดเหมือนรู้ความจริง ถามว่าตนต้องระวังทำไมในเมื่อไม่รู้จักพวกมัน
“ถ้ามันคิดร้ายกับฉันได้ มันก็คงคิดร้ายกับผู้หญิงคนอื่นได้เช่นกัน” ขวัญเรือนพูดกลางๆ แต่สายตาบ่งบอกว่ารู้อะไรมากกว่านั้น ก่อนจะหันไปจัดเตียงต่อ...ภุมวารีหน้าซีดเริ่มกังวล กลัวพวกคนร้ายกลับมาคิดบัญชี
ooooooo
เช้าวันนี้นวลกับชายใหญ่ขี่ม้าไปยังบ้านร้างที่ถูกไฟไหม้ นวลบอกเขาว่าเธอรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้จึงอยากบูรณะขึ้นมาใหม่
“นี่มันบ้านของผู้หญิงที่ชื่อนวลไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ค่ะ ผู้หญิงที่เราสองคนยังไม่รู้จักตัวตนของเธอ วันนึงเธออาจจะกลับมาที่นี่อีก แล้วคุณชายก็อาจจะได้คำตอบว่าความเข้าใจผิดทั้งหมดที่แท้แล้วเกิดจากเธอคนนี้”
“ผมบอกแล้วไงคุณผึ้ง ว่าเราจะลืมความขัดข้องหมองใจเก่าๆให้หมด แล้วก็เริ่มปัจจุบันที่มีความสุขด้วยกัน ถ้าคุณอยากได้บ้านหลังนี้ ผมจะลองให้รุจน์ไปสอบถามดูว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินตรงนี้ บางทีอาจจะไม่ใช่ยายนวลอะไรนี่ก็ได้”
นวลตอบขอบคุณเขาหน้าจ๋อยๆ พอสองคนคล้อยหลัง กำนันโตกับลูกน้องออกจากที่ซ่อนด้วยความสงสัย ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่นวลแล้วกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกทำไม ลูกน้องเชื่อสนิทว่าเธอคือนวลลูกยายจัน จึงอยากชำระแค้นให้ลูกชายกำนันโต โดยรอจังหวะเหมาะสะกดรอยรถจากไร่ที่รุจน์ขับพาหญิงเล็กไปธนาคาร แล้วฉวยโอกาสตอนเธอนั่งอยู่ในรถคนเดียวเข้ามาจับตัวเพราะคิดว่าเป็นเมียชายใหญ่ แต่พอเห็นหน้าชัดๆก็ผงะถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
ข้างฝ่ายสวาทแม่เลี้ยงของภุมวารี นับวันเธอยิ่งอยู่บ้านไม่ติดเพราะแอบมีชู้กับชายหนุ่มรุ่นน้อง วันหนึ่งวิทย์ชวนเธอเข้าบ่อนที่พระนครแล้วบังเอิญเจอทินกร แต่ตอนนั้นทั้งสวาทและทินกรไม่รู้จักกัน แต่ทินกรรู้สึกสนใจสวาทเพราะท่าทางเธอร่ำรวยไม่ใช่เล่น
จนเมื่อเจอกันอีกครั้งในบ่อนเดิม ทินกรทำทีเข้ามาแนะนำเทคนิควิธีเล่นพนัน ปรากฏว่าสวาทดวงขึ้นเล่นได้เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ เธอดีใจมากขอเลี้ยงอาหารตอบแทนเขาหนึ่งมื้อโดยมีวิทย์มาด้วย แต่ในระหว่างนี้คุยกันไปมาทินกรอวดความเป็นหม่อมราชวงศ์ตระกูล
อภัยรัตน์ของตน ทำให้สวาทแค้นใจภาสกรลูกของเขาถึงกับเรียกยามร้านอาหารมาช่วยจับหัวหน้าแก๊งตบทรัพย์
“อีตาคนนี้เป็นหม่อมราชวงศ์ตกอับที่รวมหัวกับลูกชายมันพาลูกสาวฉันไปชิงทรัพย์จนเกือบตาย ตามหาตัวมาตั้งนานแล้วเพิ่งจะเจอวันนี้เอง จับมันไว้แล้วรีบแจ้งตำรวจเลยค่ะ”
ผู้จัดการกับยามไม่กล้าเพราะไม่มีหลักฐาน แต่วิทย์เข้ารวบตัวทินกรที่พยายามดิ้นรนขัดขืนและโต้เถียงกับสวาทหลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวได้เพราะเคยได้ยินภาสกรเรียกเมียว่าผึ้ง ทั้งที่บอกมาตลอดว่าชื่อนวล
“ไอ้ภาสกรหลอกพาคุณผึ้งให้หนีตามไป แต่กลับลวงไปทำร้ายร่างกายแล้วเอาทรัพย์สินเงินทองไปหมด แกอย่าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ขึ้นชื่อลูกเป็นโจร พ่อเป็นผีพนันแบบนี้ อมพระมาพูดฉันก็ไม่เชื่อ ยืนเซ่ออยู่ทำไมเล่า ไปเรียกตำรวจมาสิ”
ผู้จัดการเงอะงะรีบวิ่งออกไป ส่วนยามเข้ามาช่วยวิทย์หิ้วปีกทินกรอีกแรง
“เฮ้ย...ปล่อยฉัน ฉันไม่รู้เรื่อง” ทินกรดิ้นสุดแรง ในที่สุดก็พรวดพราดออกจากร้านไปจนได้ แล้วไปโวยวายใส่ภาสกรต่อหน้าเพื่อนร่วมงานและผู้จัดการบริษัท
“ไอ้ภาส นี่แกไปทำชั่วอะไรไว้ รู้ไหมชื่อเสียงฉันป่นปี้หมดแล้ว”
“คุณพ่อ...อะไรกันครับ”
“ก็แกไปหลอกผู้หญิงมาปล้น รู้ไหมว่าแม่ผู้หญิงคนนั้นมันเจอตัวฉัน แล้วมันก็จะเอาฉันติดร่างแหไปด้วย ฉันไม่เคยเสี้ยมสอนให้แกเป็นโจรนะโว้ย”
“คุณพ่อ เดี๋ยวค่อยกลับไปคุยที่บ้านเถอะครับ”
“บ้านเหรอ เฮอะ! แกจะให้ฉันกลับไปบ้านหลังไหนอีก ในเมื่อแกเพิ่งไล่ฉันออกจากบ้านเมื่อวานนี้...นี่แหละไอ้ลูกเนรคุณ มันไล่พ่อออกจากบ้าน เพราะกลัวพ่อจะสร้างความเดือดร้อนให้ แต่ที่แท้มันนั่นแหละนำความเดือดร้อนมาให้วงศ์ตระกูล...ไอ้มหาโจร”