ตอนที่ 1
ม.ร.ว.รณพีร์ จุฑาเทพ เป็นสุภาพบุรุษจุฑาเทพคนสุดท้ายที่ยังโสด เมื่อพี่ๆ พากันมีครอบครัวกันหมด ชายพีร์จึงรู้สึกเหงามาก ยิ่งเย็นวันศุกร์ที่เป็นวันพบปะสังสรรค์กันเป็นประจำมานับสิบปี ชายพีร์ก็ยิ่งเหงาเมื่อเข้ามาในห้องใต้โดมที่ว่างเปล่า...
เมื่อเหลือตนเพียงคนเดียวที่ยังไร้คู่ ชายพีร์ก็คิดถึงคำสนทนากับพี่ๆ ที่ทุกคนเคยแย่งเล่า รุมถามตน...
“ชายพีร์เป็นไงบ้างเรา เมื่อไหร่จะเลิกเป็นพ่อมาลัยลอยไปลอยมาสักที” ชายใหญ่ธราธรเริ่มก่อน
“น้องสะใภ้คนสุดท้องของจุฑาเทพอยู่ไหนนะครับ ฉันอยากเห็น” รัชชานนท์หรือชายเล็กกระเซ้า
“คุณชายพีร์เคยรู้จักความรักไหมครับ” ปวรรุจเอาบ้าง
“มันเป็นเรื่องยากสำหรับผมนะครับ ความรักมันเป็นยังไง” ชายพีร์ทีเล่นทีจริงตามสไตล์ของตัวเอง แล้วต่อมาพี่ๆ ก็ยังคุยกันถึงนิยามของความรักว่าคืออะไร?
ชายใหญ่นั่งแววตาเคลิ้มคิดถึงมะปราง...น้องๆ ทั้งสามยกเว้นชายพีร์ มองพี่ชายใหญ่แล้วทำเสียงทำท่าอย่างเข้าใจความรู้สึกของพี่ชาย ชายรุจในฐานะพี่คนรอง บรรยายอย่างซาบซึ้งว่า
“ความรักสำหรับพี่...พี่ว่า พี่เหมือนคนบ้า เวลาเขายิ้ม พี่ยิ้มกว่าเขาอีก แต่ถ้าเขาโกรธ พี่จะใจหายวูบเลย ในหัวคิดแต่ว่า ถ้าเขาโกรธเราไม่หาย เราต้องตายแน่ๆ”
“ส่วนความรักสำหรับพี่...” ชายเล็กที่เพิ่งผ่านความรักมาหมาดๆ พูดพลางทำท่าคิดทบทวน “เหมือนพี่...อืมมม...ไม่มีอะไรขาด ไม่มีอะไรเกิน สำหรับคนอื่นอาจมากไปน้อยไป แต่คนนี้ มันพอดีไปหมด พอดีสำหรับเรา”
“หา...” ชายพีร์อุทานอย่างเหลือเชื่อ
“ของพี่” ชายภัทรตบท้าย “พี่เคยเชื่อในหลักเหตุผล แต่ความรักเป็นเรื่องเดียวที่หาเหตุผลไม่ได้”
“โห...” ชายพีร์อุทานทึ่งยิ่งขึ้น มองหน้าพี่ๆ ทีละคนบ่นตัวเอง “รณพีร์ที่ควรจะรู้จักความรักมากที่สุด กลายเป็นคนไม่รู้อะไรหรือนี่ แย่แล้ว”
เวลานั้น ชายพีร์รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหักเหลี่ยมลูบคม ฮึดจะพิสูจน์นิยามความรักของตัวเองให้ได้!
แต่...จนวันนี้ เขายังเหงา สถานที่แก้เหงา มีแห่งเดียวที่เคยไปประจำคือ โลลิต้า...
ooooooo
คืนนี้ คุณชายรณพีร์ตั้งใจมานั่งดูสาวๆ โดย เฉพาะ มีสาวๆ ทั้งที่ทำงานในโลลิต้าและนักเที่ยวพากันอ่อยด้วยวิธีต่างกัน แต่ไม่เข้าตาชายพีร์ มองไปที่ใครก็บอกแต่ว่า “มันยังไม่ใช่” “นี่ก็ไม่ใช่” “นี่ก็ยังไม่ใช่”
จนกัปตันมาเชิญไปสมทบกับเพื่อนๆ ของชายพีร์ที่มานั่งกันอยู่ด้านหน้า
“สวัสดีครับพี่พีร์นั่งด้วยกัน นั่งเลยคุณชาย มุมนี้น่าจะเหมาะ ทางหญิงผ่านคุณชาย” หมวดก้อชวน
ขณะนั่งฟังเพลง “มองอะไร” ที่นักร้องสาวชื่อชงโคร้องอย่างสนุกสนานนั้น มีนักเที่ยวมือไวสองสามคนไปแทะโลมและแต๊ะอั๋ง สุภาพบุรุษคุณชายรณพีร์ จุฑาเทพ ทนไม่ได้ลุกขึ้นปกป้องชงโค เล่นงานจนพวกนั้นหมอบ กระแตแล้วกัปตันก็ให้คนมาลากออกไป
ชงโคหลงใหลความเป็นสุภาพบุรุษของชายพีร์ หมายจับให้ได้ เพียงวันต่อมาขณะไปนั่งทานอาหารกัน ชงโคก็เสนออยากไปเที่ยววังจุฑาเทพ ชายพีร์เริ่มรู้ตัว เฉไฉชวนกินอาหารกลบเกลื่อนเสีย แต่เธอก็รุกต่ออย่างหมายมั่นปั้นมือจะจับชายพีร์ให้ได้ ถามว่าถ้าตนแต่งงานกับชายพีร์ก็จะได้เป็นหม่อมใช่ไหม ตนอยากเป็นหม่อมไม่อยากเป็นนักร้องอีกแล้ว
คราวนี้ ชายพีร์เห็นทีคบกันต่อไปต้องถูกรุกหนักแน่ จึงหาทางชิ่งนิ่มๆ ว่า
“หม่อมนี่ต้องเป็นชายา หรือภรรยาหม่อมเจ้านะครับ ถ้าน้องชงโคคนงามอยากเป็นหม่อมต้องไปเป็นเมียของหม่อมเจ้าครับไม่ใช่หม่อมราชวงศ์อย่างผม” พูดแล้วผละไปเลย ทิ้งชงโคให้มึนอยู่ตรงนั้น
ooooooo
แต่ชายพีร์ก็ไม่มีโอกาสเป็นพ่อมาลัยลอยไปลอยมาได้นานนัก หม่อมเอียดกับย่าอ่อนก็วางแผน “จัดการ” เพื่อให้เป็นไปตามพันธะสัญญาระหว่างสองตระกูลของหม่อมเจ้าวิชชากร
ย่าอ่อนถือโอกาสที่ตนฝันถึงนางฟ้าตีความเป็นจริงเป็นจังว่าหมายถึงจะได้หลานสะใภ้แน่ๆ หม่อมเอียดเห็นด้วยเป็นคุ้งเป็นแคว เรียกชายพีร์มา ย่าเอียดที่เอ็นดูชายพีร์เป็นพิเศษอยู่แล้วเล่าความฝันให้ฟังแล้วรวบรัดว่า
“ฝันลางดีแบบนี้แปลว่า ชายพีร์กำลังจะได้ออก เรือนเหมือนกับพี่คนอื่นๆ นะคะ” ชายพีร์ทีเล่นทีจริงว่าตนจะไปหานางฟ้าที่ไหน “ก็หนูวิไลรัมภาไงล่ะ” ย่าอ่อนสวนทันที ทำเอาชายพีร์หน้าเป็นไม่ออก สำลักขนมไอแค่กๆ
“ที่จริง ถ้าชายพีร์แต่งงานกับวิไลรัมภาเร็วๆ นี้ก็ดีเหมือนกันย่าจะได้ตายตาหลับสัญญาระหว่างเทวพรหมและจุฑาเทพจะได้จบสิ้น” หม่อมเอียดคาดหวังเต็มที่
ชายพีร์เห็นทีอยู่ต่อคงต้องถูกหว่านล้อมจนดิ้นไม่หลุดแน่ เลยแกล้งทำเป็นนึกได้ว่าต้องไปเข้าเวร และวันนี้มีประชุมกับผู้การด้วย ว่าแล้วรีบลาไป โผเข้าหอมแก้มย่าอ่อนประสาหลานรักฟอดหนึ่งก่อนไป
“กะล่อนนัก มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก ถ้าฉันเอาเธอไม่อยู่นะชายพีร์ เขาคงไม่เรียกฉันว่านางสิงห์แห่งจุฑาเทพหรอก” หม่อมเอียดพูดอย่างรู้ทันหลานชายตัวแสบ ย่าอ่อนถามว่าแปลว่าเห็นด้วยกับความฝันของตนใช่ไหม
“ถึงเวลาที่เราต้องจัดการชายพีร์อย่างจริงจัง เราพลาดการเป็นทองแผ่นเดียวกันของสองตระกูลมาถึง
สี่ครั้ง สี่คู่ เราจะพลาดไม่ได้อีก ชายพีร์ต้องแต่งงานกับวิไลรัมภาเท่านั้น!” หม่อมเอียดหมายมาด
ooooooo
ที่ห้องพักผ่อนนักบิน ชายพีร์อยู่กับกำพลและขันตินักบินรุ่นน้องที่มาถามผลสอบข้อเขียนของพวกตน ปรากฏว่ากำพลสอบผ่าน ชายพีร์จึงให้เอารถหรูของตนไปขับเป็นรางวัลหนึ่งอาทิตย์ ส่วนตัวเองก็เอารถเก่าปุโรทั่งของกำพลไปใช้แทน
ตกเย็นเมื่อกลับถึงวังจุฑาเทพ ชายพีร์ก็ได้พบกับพิมพรรณคู่หมั้นของยอดยศและไฉไลเพื่อนรักของเธอ พิมพรรณมาร้องไห้ขอให้ชายพีร์ช่วยเตือนสติยอดยศที่กำลังไปหลงนางเอกหนังชื่อเพียงขวัญถึงขั้นไปเฝ้าที่กองถ่าย เธอเองกินไม่ได้นอนไม่หลับ ส่วนพ่อกับแม่ก็เอาแต่ถามเรื่องการแต่งงาน ตนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว
เมื่อสองสาวกลับไปแล้ว สุภาพบุรุษคุณชายรณพีร์ทนไม่ได้ขับรถไปที่กองถ่ายทันที เป็นเวลาที่ทางกองถ่ายกำลังถ่ายฉากเพียงขวัญในชุดกินรีลอยตัวลงมาราวกับมาจากสวรรค์
ทันทีที่เห็นเพียงขวัญในชุดกินรี ชายพีร์ตะลึง พึมพำเหมือนเพ้อ “นางฟ้า...”
อีกมุมหนึ่ง ทีมงานกำลังชักรอกกันวุ่นวายกับเครื่องหน้าตาประหลาดที่ชนะผู้กำกับเพิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใช้งาน ปรากฏว่าเครื่องขัดข้อง ร่างเพียงขวัญที่ห้อยอยู่ร่วงลงมานั่งที่ตักชายพีร์พอดี!
ชายพีร์รับเพียงขวัญที่นั่งตักไว้ในอ้อมแขน รู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน แต่พอเพียงขวัญรู้สึกตัวก็บอกให้ปล่อยตน แต่ชายพีร์ยังกอดเธอไว้ เลยถูกบงกชนางร้ายที่เขม่นเพียงขวัญตลอดเข้ามาดู และผู้ช่วยผู้กำกับก็มาไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไป รวมทั้ง
ชายพีร์ด้วย
บงกชถามชายพีร์ว่ามาทำอะไรแถวนี้ เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนยอดยศก็พาไปรออีกจุดหนึ่ง ระหว่างนั้นก็ถือโอกาสบ่นและตำหนิเพียงขวัญ หาว่าทำให้เสียเวลา ชายพีร์ยังติดใจเพียงขวัญ ถามบงกชว่า “นั่นนางเอกหรือครับ สวยดีนะครับ”
ชายพีร์ตกหลุมรักเพียงขวัญไม่รู้ตัว แต่จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เขาได้เห็นบรรดาผู้ชายรอบข้าง ไม่ว่าผู้กำกับอย่างชนะ นายทุนอย่างเสี่ยเพ้ง ต่างพากันมาแสดงความสนิทสนมห่วงใยกระทั่งเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเธอ นอกจากนี้ ยังมีคนนอกวงการอย่างยอดยศ เพื่อนสนิทที่ทิ้งคู่หมั้นมาติดพันเธออีก จนเกือบตะบันหน้ากับเพ้งเฒ่าหัวงูนายทุนหน้าเลือด
“โธ่โว้ย ไอ้ยอดยศ ฝากไว้ก่อนนะมึง พวกแกทั้งหมดฟังฉันนะ อย่าให้ไอ้ยอดยศคนนี้เข้ามาที่กองถ่ายอั๊วอีก ได้ยินไหม!” เสี่ยเพ้งประกาศกร้าว
ชายพีร์ลากยอดยศออกไปคุยเตือนสติเขาว่า เสี่ยเพ้งกับเพียงขวัญเป็นลูกจ้างกับนายจ้างกัน แล้วตัวเขาเป็นอะไร อยู่ๆก็มาเดินเพ่นพ่านในกองถ่ายอย่างนี้ ยอดยศอึกอัก ชายพีร์เตือนเพื่อนว่า
“เกือบเดือนมานี่ ฉันไม่เห็นหน้านายเลย วันๆหนีงานมาขลุกอยู่ที่นี่ ถามจริงๆ นายยังจำได้อยู่ใช่ไหมว่านายน่ะมีคู่หมั้นแล้ว ต้องให้บอกไหมว่าคู่หมั้นนายชื่ออะไร” ยอดยศถามว่าพิมพรรณบอกเขาหรือ ชายพีร์แย้งว่า “จะบอกหรือไม่บอกไม่สำคัญ แต่เป็นลูกผู้ชาย คำว่าความรับผิดชอบน่ะมีไหม”
ยอดยศขอความเห็นใจว่า การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเกิดตนกับพิมพรรณไม่ได้รักกันจริง แต่งแล้วหย่าทีหลังจะเสียใจกันไปเปล่าๆ ชายพีร์ดักคออย่างสมเพชว่า
“นายนี่มัน...ตอนที่นายหลงคุณพิม นายก็มานั่งเพ้อว่าขาดคุณพิมไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ฉันได้ยินกับหู มันแค่ปีที่แล้วนี่เองโว้ย”
ยอดยศเถียงไม่ออก แต่พูดอย่างหลงใหลประทับใจว่า เพียงขวัญเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก วันที่เจอเธอครั้งแรกนั้น รถเพื่อนเธอเสีย เธอลงมือเปลี่ยนยางล้อเอง ถามชายพีร์ว่าเคยเห็นหรือ ผู้หญิงเปลี่ยนยางล้อเป็นน่ะ
“พอเจอวันนั้นแล้วเขาพูดอะไรกับนาย นายกับเขาคบกันถึงไหน เขารู้ใช่ไหมว่านายเป็นลูกนายพล”ชายพีร์เอาบทเรียนจากชงโคมาถาม ยอดยศตอบอ้อมแอ้มจับความได้ว่า เมื่อตนมาหาเพียงขวัญที่กองถ่าย เธอก็พูดด้วยดี แต่เรื่องหัวใจต้องใช้เวลา “แสดงว่ายังไม่ลึกซึ้ง ถ้านายรู้เช่นเห็นชาติว่าเขาเป็นผู้หญิงไม่ดี นายจะยอมเลิกกับเขาไหม”
“หมายความว่ายังไง” ยอดยศถาม ชายพีร์จึงเล่าเสียงลือเกี่ยวกับเพียงขวัญให้ฟัง เน้นย้ำว่า
“ฉันอยากรู้ว่า เขาเป็นผู้หญิงที่มีค่าพอที่จะสู้คุณพิมได้จริงหรือเปล่า ฉันจะพิสูจน์ให้แกเห็น”
พูดแล้วชายพีร์เดินผละไป ยอดยศมองตามงงๆว่าเพื่อนจะทำอะไร?
ooooooo
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ชนะสั่งเลิกกอง เพียงขวัญจึงกลับไปพักที่บ้านพักอุทยาน ชายพีร์ทำเป็นขี้เล่น เอากระป๋องมาร้อยเชือกหลอกให้เพียงขวัญยกกระป๋องแนบหูฟัง ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ...
“ช่วยด้วย...ผมโดนระเบิด คร่อก!”
เพียงขวัญตกใจสาวเชือกไปจนเจอกระป๋องอีกใบที่ปลายเชือกมีกุหลาบแดงเสียบที่กระป๋อง แล้วชายพีร์ก็โผล่มายิ้มเผล่ทำเสียงโรแมนติกบอก “ดอกไม้สวย สำหรับคนสวย!”
เพียงขวัญยิ้มให้รับดอกไม้ไป พูดอย่างสำนึกบุญคุณว่าตนยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย แต่พอเจอชายพีร์ทำกะล่อนว่าหัวใจตนโดนระเบิดจากเธอ และกำลังจะระเบิดแล้ว เพียงขวัญมองอย่างรู้ทันตัดบทว่า ทีแรกนึกว่าเขาเจ็บตรงไหน แต่เห็นแข็งแรงดีแล้ว ก็จะไปหาที่เงียบๆท่องบท
ชายพีร์ไม่ยอมให้ไป อ้างว่าเธอรับดอกไม้ไปแล้วก็ต้องไปทานข้าวกับตน ทำกะลิ้มกะเหลี่ยบอกว่า เรียกตนว่าพีร์ก็ได้ เพียงขวัญจิกตามองเขาแต่หัวจดเท้า แล้วโยนกุหลาบแดงลงถังขยะข้างๆ พูดอย่างไม่แยแสว่า
“ฉันรับมันเพราะนึกว่าคุณเป็นแฟนหนังทั่วไป แต่ถ้าทำให้คุณเข้าใจผิดเป็นอื่น ก็ขอโทษฉันไม่รับนัดคนแปลกหน้าค่ะ ลาก่อนนะคะ”
เมื่อกุหลาบแดงแลกใจไม่ได้ ชายพีร์ล่อใจด้วยรถจาร์กั้วชี้ให้ดูว่าจอดอยู่ตรงโน้น...เพียงขวัญยิ้มเยาะแล้วจะเดินต่อ ชายพีร์หมดมุกเลยอ้างว่าตนเป็นเพื่อนของยอดยศคู่รักของเธอ เพียงขวัญเลยเคลียร์อย่างใสสะอาดว่า
ตนกับยอดยศเป็นแค่เพื่อนกัน ชายพีร์ถามว่าแล้วผู้กำกับชนะล่ะ เธอตอบอย่างผ่าเผยว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ตนเคารพ ชายพีร์เลยโมเมว่า
“โอ...ผมเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ที่แท้คุณก็เป็นคนรักของเสี่ยเพ้งนี่เอง”
เพียงขวัญโกรธจนกำมือแน่น หันจะเดินหนี ชายพีร์ ไปดักอีก ถูกเธอพูดใส่หน้าว่า
“อย่าเรียกร้องความสนใจจากผู้หญิงด้วยการดูถูกเขา มันเป็นวิธีที่โง่และสิ้นคิด อย่าให้ฉันเจอคุณอีกนะคะ ฉันเรียกยามจัดการคุณจริงๆ ด้วย!” พูดแล้วเดินสะบัดไป ชายพีร์ถูกด่ายืนหน้าชา ไปต่อไม่เป็นเอาเลย
ooooooo
เพียงขวัญหนีไปหาที่สงบเพื่อท่องบท จันทร์กะพ้อ เพื่อนรักตั้งแต่วัยเด็กของเพียงขวัญที่ทำงานในกองถ่าย ไปหาข้าวในครัวจะเอามาให้เพียงขวัญกิน ถูกแม่ครัวกับบงกชที่ไม่ชอบหน้าเพียงขวัญกระแนะกระแหนว่านางเอกเนื้อหอมมีผู้ชายมาติดเยอะแยะให้ไปหว่านเสน่ห์ขอเอาจากพวกนั้นสิ
จันทร์กะพ้อกลับมาเจอเพียงขวัญเลยบ่นให้ฟัง แม้เพียงขวัญจะสะเทือนใจแต่สะกดเก็บไว้ บอกจันทร์-กะพ้อว่าอย่าไปสนใจเรื่องไม่จริงทั้งนั้น
ชายพีร์ตามหาจนเจอเพียงขวัญ เข้าไปบอกเธอว่าอยากคุยเรื่องยอดยศ แล้วเล่าให้ฟังว่า ยอดยศมีคู่หมั้นแล้ว กับลูกสาวท่านนายพล พวกเขากำลังจะแต่งงานกัน แต่เธอมาหว่านเสน่ห์ทำให้ยอดยศหัวปั่น พูดแล้วจ้องหน้าถาม
“คุณรู้ไหม คู่หมั้นของเขาเวลานี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเสียใจปางตายเพราะคุณ!”
“คุณกำลังจะว่าฉันกับคุณยอดยศ...แล้วยังมีเสี่ยเพ้ง มีแม้กระทั่งคุณชนะ” เพียงขวัญถามอย่างทดท้อเหนื่อยใจ
“ใช่...ผมไม่ใช่แฟนหนังคุณ ไม่ได้มาเพราะหลงเสน่ห์คุณ ผมต้องการมาบอกให้คุณปล่อยยอดยศไปเสีย เพื่อเห็นแก่ผู้หญิงตาดำๆ คนหนึ่ง”
เพียงขวัญไม่พูดอะไร บอกให้ชายพีร์ตามตนไปที่โถงบ้านพักอุทยาน เจอยอดยศรออยู่ เขาปรี่เข้าหาเธออย่างคลั่งไคล้ใหลหลง ซื้อขนมจากห้างหยกฟ้ามาฝาก ชายพีร์รีบหลบแอบดูแอบฟัง
เพียงขวัญพูดด้วยสีหน้านิ่งเป็นการเป็นงานเด็ดขาดกล้าแข็งว่า “คุณยอดยศ ตั้งแต่พรุ่งนี้ ดิฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” ยอดยศเว้าวอนถามว่าเกิดอะไรขึ้น “ได้โปรดเชื่อฉัน อย่ามาที่กองถ่ายนี้อีก ความเป็นเพื่อนของเราจบกันแค่นี้”
ตัดขาดกับยอดยศอย่างไม่เหลือเยื่อใยแล้ว เพียงขวัญบอกชายพีร์ว่า ตนพยายามเต็มที่แล้วที่เหลือเขาต้องช่วยกันเองตอกย้ำกับเขาว่า “และฉันหวังว่าจะไม่เห็นทั้งคุณ ทั้งเพื่อนของคุณในชีวิตฉันอีก!”
ชายพีร์ผิดคาด ยืนอึ้ง ไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้จะแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวได้ถึงเพียงนี้
ooooooo
เพียงขวัญหลบไปนั่งอ่านบทที่มุมสวยสงบของอุทยาน จันทร์กะพ้อกลับมาเห็นเพียงขวัญท่องบทมโนราห์อยู่...
“กินรีน้อยไร้เดียงสา บินสู้ลมหนาว ปีกหางอ่อนแรง จนแทบทนไม่ไหว...น้ำตานกน้อยหลั่งริน สู้ลมสู้ฝนยังพอไหว ให้สู้จิตใจต่ำช้าของมนุษย์ จะเอาแรงที่ไหนไปสู้”
จันทร์กะพ้อดูดอกไม้ข้างทาง ฟังเพียงขวัญอ่านบทก็เอ่ย...
“บทดูเศร้าๆนะ ในเรื่องพระสุธนมโนราห์ นางกินรีถูกใส่ร้ายจนต้องรำมโนราห์บูชาไฟเพื่อพิสูจน์ตนเองใช่ไหม นึกว่าในหนังจะไม่พูดถึงเสียอีก ขวัญ...จันทร์เดินไปขอ ไข่จากเจ้าหน้าที่อุทยานต้มไว้ให้แล้ว กินข้าวกับไข่ต้มไปก่อนนะ”
เพียงขวัญเศร้าทั้งในบทและชีวิตจริงจนน้ำตาไหลหยดลงที่บท กระดาษเปียกเป็นดวง จันทร์กะพ้อเห็นเพื่อนร้องไห้จึงเข้ากอดถามว่าเป็นอะไร เพียงขวัญร้องไห้จนพูดไม่ออก
“ขวัญไปที่บ้านพักเถอะ เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้า อย่าให้ใครเห็นน้ำตาของเรา...ไปเถอะ” จันทร์กะพ้อพาเพียงขวัญกลับไป ลืมบทที่มีคราบน้ำตาไว้ตรงนั้น
ชายพีร์รู้สึกผิดที่ตนพูดทำให้เพียงขวัญสะเทือนใจ เขาเก็บบทละครนั้นกลับไปพับเป็นนกเหมือนเป็นตัวแทนเพียงขวัญ ติดเป็นโมบายเหนือเตียงราวกับโคมไฟนก ยิ่งมองนกกระดาษก็ยิ่งจิตใจว้าวุ่น ทั้งสงสารเพียงขวัญและรู้สึกตัวเองผิดมาก
จากนั้น ชายพีร์ก็ติดตามผลงานของเพียงขวัญอย่างใกล้ชิด รู้ข่าวเธอไปถ่ายละคร ถ่ายโฆษณา กระทั่งรำโชว์ที่ไหนก็ติดตามไปดู เห็นเธอรำได้อย่างอ่อนช้อยสวยงามก็เผลอยิ้มออกมา ดูอย่างมีความสุขและหลงรักไม่รู้ตัว...
ดูรำโชว์เสร็จ ชายพีร์ขับรถแอบตามเพียงขวัญไปถึงบ้าน เห็นเด็กๆวิ่งมารับเพียงขวัญ เขาพึมพำ
“บ้านอยู่นี่เอง ทำไมคนเยอะจัง” ซุ่มดูจนเพียงขวัญไปตลาด ไปจ่ายค่าข้าวสารที่ติดร้านขายของชำ บอกเฮียเจ้าของร้านว่า
“ฉันจะรบกวนเฮีย พักนี้บางทีต้องไปถ่ายหนังต่างจังหวัด ถ้าคนที่บ้านมาขอซื้ออะไร เฮียให้เขาเชื่อไปก่อนแล้วฉันจะมาจ่ายให้”
ชายพีร์จึงรู้ว่าเพียงขวัญต้องหาเลี้ยงคนทั้งบ้าน...
ooooooo
ที่วังเทวพรหม เทวพันธ์ยังไม่ละความพยายามที่จะให้วิไลรัมภาแต่งงานกับคุณชายรณพีร์ เพราะนี่เป็นความหวังสุดท้าย หลังจากพลาดคุณชายไปแล้วถึงสี่คน!
ความเร่งร้อนของเทวพันธ์ ตรงกับความมุ่งมั่นทำตามสัญญาของทางวังจุฑาเทพพอดี เมื่อเทวพันธ์พาวิไล-รัมภาไปที่วังจุฑาเทพ ย่าอ่อนจึงให้สมศรีกับสมบุญไปตามชายพีร์มาพบ
ชายพีร์รู้แกวหลบสมศรี สมบุญ กับแจ๋วที่วิ่งตามหาจนทั่ววัง ชายพีร์หมายตากุญแจรถจะหยิบหนีออกไป แต่สมบุญมาเจอกุญแจรถเสียก่อน เลยคว้าหมับพูดอย่างเป็นต่อว่า
“นี่แน่ะ ผมยึดกุญแจรถทุกคันไว้หมดแล้ว คุณชายไปไหนไม่สำเร็จหรอก ไปหาหม่อมท่านดีๆเถอะ เชิญครับ”
ชายพีร์เลยต้องไปพบหม่อมเอียด ย่าอ่อน เทวพันธ์และวิไลรัมภาที่นั่งรออยู่ห้องโถงเซ็งๆ
วิไลรัมภาตีหน้าสดชื่นถามชายพีร์ว่าวันนี้อยู่บ้านหรือ แล้วทำทีพูดเขินๆว่า
“วันเสาร์นี้ที่โรงละครแห่งชาติมีโขนตอนสุพรรณ-มัจฉา รัมภาอยากดูก็เลยไปเข้าแถวซื้อ กว่าจะหาบัตรมาได้ ว่าจะมาเรียนเชิญทุกๆคนให้ไปดูด้วยกันค่ะ”
หม่อมเอียดชื่นชมที่วิไลรัมภาชอบดูโขน บอกว่าตนก็ชอบมากแต่ไม่มีใครพาไป จัดแจงบอกชายพีร์ให้ไปด้วยกัน และให้แวะรับวิไลรัมภาที่บ้านตอนเช้าดีไหม ชายพีร์ทำทีนึกได้ว่าเสาร์นี้...ถูกหม่อมเอียดสั่งตัดบททันทีว่า
“วันเสาร์หยุดงานอยู่แล้ว ถ้ามีนัดอื่นยกเลิกให้หมด ถ้าไม่เชื่อฟังกัน ได้เห็นดีแน่!”
“ครับ...” ชายพีร์ตอบเสียงอ่อย ทุกคนยิ้มพอใจ
ย่าอ่อนพูดอย่างพอใจขณะเดินไปนั่งเล่นในสวนกับหม่อมเอียดว่า “วันนี้คุณพี่เด็ดขาดสมใจน้องมากค่ะ”
“ศักดิ์ศรีของคนคือรักษาสัจจะ ชีวิตของฉันก็เหลือเรื่องนี้เรื่องเดียวที่จะทำให้ท่านชายวิช ถ้าเราบิดพลิ้วเขา ตายไปฉันจะไปพบหน้าท่านชายได้ยังไง”
“เทวพรหมเป็นราชสกุลแท้เหมือนกับเราได้เกี่ยวดองกันก็ถือเป็นเรื่องสมควร เราสองคนอายุมากขึ้นทุกทีจะอยู่อีกนานแค่ไหนไม่รู้ได้ รีบๆจัดการเสียจะได้นอนตายตาหลับนะคะคุณพี่”
“ชายพีร์ไม่เหมือนพี่น้องคนอื่น เจ้าชู้ประตูดินไม่เข้าท่า เกิดไปคว้าผู้หญิงหยำฉ่ามาเป็นเมีย จะทำยังไงกัน ไม่ต้องห่วงแม่อ่อน คราวนี้ฉันเอาจริง!” หม่อมเอียดขึงขังมากเป็นพิเศษ
ooooooo
ส่วนชายพีร์ พอถูกจับมัดมือชกให้ไปดูโขนกับวิไลรัมภาแล้ว เมื่อเลี่ยงออกมาได้ก็ขับรถปุโรทั่งของกำพลที่ยังแลกกันใช้อยู่ ไปแถวบ้านเพียงขวัญ จอดรถเอนพิงพนักถอนใจเซ็งๆ กับการถูกจับคลุมถุงชน
พลันก็สะดุ้งกับเสียงเอะอะ “นี่หยุดนะหยุด อย่ามายุ่งกับเด็กของฉันนะ ปล่อย...ปล่อย!”
เป็นเสียงของนภาแม่ของเพียงขวัญกำลังยื้อยุดแดง เด็กที่เอามาเลี้ยงและเรียนรำกับไอ้ดำพี่ชายของแดงซึ่งติดยาและจะมาเอาน้องคืน ชายพีร์เห็นดังนั้นวิ่งออกจากรถไปตะโกน “เฮ้ย ทำอะไรวะ!” ไอ้ดำชักมีดออกมาแต่ถูกชายพีร์ที่โตแข็งแรงและมีวิชากว่าจัดการจับมัดไว้กับเสาทิ้งไว้ แล้วหันมาช่วยนภาเก็บของที่หล่นกระจายพากันไป
นภาเห็นเสื้อผ้าเนื้อตัวชายพีร์เปรอะเปื้อนจึงชวนเข้าบ้านไปล้างเสียก่อน เห็นรถจอดอยู่หน้าบ้าน ชายพีร์บอกว่ารถของตน หม้อน้ำรั่วเลยจอดไว้ นภาเห็นหลวงพ่อเงินวางอยู่หน้ารถ ถามว่าเป็นคนพิจิตรหรือ ชื่ออะไร เป็นครอบครัวชาวนาหรือ ชายพีร์เออออแบบเลยตามเลยไม่ได้คิดจะโกหก นภาจึงเข้าใจว่าเขาเป็นชาวนายากจนมาจากพิจิตร
พาชายพีร์เข้าบ้าน แนะนำให้รู้จักแม่ บุหลันน้องสาว แล้วพาไปที่ตุ่มน้ำใต้หน้าต่าง ระหว่างนั้น นภาพูดอย่างเกรงใจว่าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรเอาเป็นว่าเติมน้ำใน หม้อน้ำรถแล้วอยู่กินข้าวด้วยกันเสียก่อน แล้วนภาก็เข้าครัวไป
ระหว่างนั้น เพียงขวัญเดินเข้าบ้านพร้อมชนะ เธอถามว่ารถใครรู้สึกคุ้นๆ ชายพีร์เห็นทั้งสองเข้าบ้านก็ใจร้อนวูบวาบพยายามแอบดูแต่ไม่เห็นได้ยินแต่เสียงเพียงขวัญบอกว่า “หนูกลัวค่ะ” เสียงชนะปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว ดูหน่อยน่า ดูให้เต็มตา” ทำให้ชายพีร์ยิ่งระแวง
ที่แท้ชนะเป็นลุงของเพียงขวัญ แต่ทั้งสองไม่ต้องการให้ใครรู้เพราะเกรงคนจะมองว่าเพียงขวัญเข้าวงการโดยใช้เส้นสาย ชนะเป็นคนชอบทดลองสร้างสิ่งใหม่ๆ วันนี้ชวนกันมาทดลองระเบิดเอฟเฟกต์กันในบ้าน
ก่อนทดลอง ชนะเดินไปเปิดหน้าต่างตรงที่ชายพีร์อยู่ ชายพีร์รีบเดินหลบไม่ได้สังเกตสายไฟที่ลากยาวไปตามพื้น พอชนะกดระเบิด โคลนก็กระเด็นเต็มหน้า ได้ยินชนะพูดอย่างผิดหวังว่าสูตรผิดทำไมไม่มีควันแล้วจะทดลองอีกสักสองที
“เฮ้ยอย่า!” ชายพีร์ร้องอย่างสุดทน แต่ชนะกดระเบิดแล้ว หน้าชายพีร์ที่ดำอยู่แล้วดำยิ่งขึ้นไปอีกเพราะมีควันดำออกมาเกาะหน้าเกาะตัวเขาเต็มไปหมด ชนะร้องอย่างดีใจว่าควันออกแล้วแต่ทำไมเป็นสีดำจะทดลองอีกที
“เฮ้ย!! พอแล้ว!!!” ชายพีร์ตะโกนสุดเสียง
ชนะกับเพียงขวัญโผล่มาดู เพียงขวัญเพ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ร้องออกมา
“คุณนั่นเอง!!”
“แกอีกแล้ว มาทำอะไรแถวนี้!”
นภาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายวิ่งออกจากครัวมาดู เห็นสภาพชายพีร์ก็ตกใจถามว่า
“ตายแล้วพ่อพีร์...เป็นอะไรรึเปล่า”
“โฮ้ย...ไม่ตายหรอก เอฟเฟกต์ เอาไว้ถ่ายหนังน่ะ ขอโทษนะพ่อหนุ่ม” พูดแล้วหันไปคิดทำต่อบ่นงึมงำ “ทำไมควันมันดำ มันต้องขาวซิ เราผสมอะไรผิดนะ เดี๋ยว ไปลองใหม่ก่อน ดินประสิว 1 ช้อนหรือ 2 ช้อนสายไฟต้องเพิ่ม ใช่ ลองเพิ่มดู” ชนะหันไปง่วนกับการค้นคว้าต่อไม่ได้สนใจใครเลย
ooooooo