ตอนที่ 9
แจ๋ววิ่งไปบอกชายเล็กเรื่องเจ้าสัวซ้งให้ไปพบด่วนแล้วจึงวิ่งไปที่ครัว บอกย่าอ่อนว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
หลังจากได้แหวนจากอากงแล้ว ชายเล็กรีบกลับมาที่เรือนคนใช้เพื่อจะบอกข่าวดีนี้แก่สร้อย ปรากฏว่ากุญแจถูกเลื่อยและสร้อยก็หายไปแล้ว ชายเล็กเรียกสมบุญมาถามว่า “นี่ฝีมือแกใช่ไหม”
สมบุญกลัวลนลานบอกว่าตนทำตามคำสั่งเท่านั้น ชายเล็กตะคอกถามว่า “คำสั่งใคร!”
“คำสั่งของย่าเอง! ย่าเป็นคนสั่งให้สมบุญเลื่อยกุญแจออกเอง ก็แม่สร้อยฟ้าทุบประตูโครมๆ ร่ำร้องอยากกลับบ้าน ท่าทางจะคิดถึงพ่อแม่มาก ย่าสมเพชเวทนาก็เลยปล่อยให้ไป”
“คุณย่า...” ชายเล็กแทบขาดใจ
“ย่าไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอย่างที่ชายเล็กคิดนะ ย่าจะให้เงินค่ารถ แต่แม่สร้อยฟ้าไม่ยอมรับเงิน บอกว่าหาทางกลับไปบ้านเองได้ พอคว้าข้าวของตัวเองได้ก็แล่นปรู๊ดปร๊าดไปทางหลังวังโน่น”
“ผมจะไปตามสร้อยฟ้า!” ชายเล็กวิ่งออกไปทันที ย่าอ่อนตะโกนห้ามไล่หลัง...
“ตามไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ แม่นั่นวิ่งเร็วอย่างกับกระต่ายป่า ป่านนี้คงถึงสถานีรถไฟแล้วล่ะ ชายเล็ก...
ชายเล็ก...อย่าตามไปเลย ดูซิ หลานฉัน ไม่ฟังกันบ้างเล้ย!”
แจ๋ว ถามย่าอ่อนว่าถ้าชายเล็กตามสร้อยไปไม่ทันแล้วจะเรียนหม่อมย่าว่ายังไง ย่าอ่อนพูดอย่างมั่นใจว่าก็ให้เรียนไปตามจริงน่ะซิ ว่าแม่สร้อยฟ้าหนีออกจากวังไปเองไม่มีใครบังคับให้ไป พูดอย่างเหยียดหยันว่า
“คนเคยอยู่แต่ในป่าในเขา ไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างคนที่เจริญแล้วได้หรอก ฉันนึกแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง!!” ย่าอ่อนยิ้มในหน้าโล่งใจจนบอกไม่ถูก
ooooooo
สร้อยวิ่งออกไปทางหลังวัง ลุยพงหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา เป้าหมายอยู่ที่ทางรถไฟ!
ชาย เล็กเดาใจสร้อยออก เขาวิ่งตัดพงหญ้า บอกตัวเองว่า “สถานีรถไฟ...สร้อยฟ้าต้องไปสถานีรถไฟแน่ๆ” เขาวิ่งลุยพงหญ้าไป พอเห็นจุดเล็กๆข้างหน้าเชื่อว่าเป็นสร้อย ชายเล็กมีกำลังใจลุยพงหญ้าไปสุดกำลัง ปากก็ร้องเรียก
“สร้อยฟ้า...สร้อยฟ้า! กลับมาเดี๋ยวนี้”
ในที่สุด ชายเล็กก็วิ่งไปรวบตัวสร้อยไว้ได้ บอกเธอทั้งที่เหนื่อยหอบว่า “ฉันไม่ให้เธอไป!”
“ปล่อย! ข้อยสิกลับไปหาพ่อใหญ่!”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เราเจอเจ้ารัชทายาทเมื่อไหร่ เราถึงจะกลับไปหาพ่อใหญ่ด้วยกัน”
สร้อย สะบัดตัวออกมา จ้องหน้าชายเล็ก “ข้อยบอกเจ้าแล้วว่า เฮาบ่มีวันเจอเพิ่น เฮื่องเจ้ารัชทายาทบ่ใช่เฮื่องจริง พ่อใหญ่หลอกข้อยให้มากับเจ้า เพื่อกันบ่ให้ข้อยไปร่วมกับกองกำลังกู้ชาติ พ่อใหญ่ย่านข้อยสิบุกไปฆ่าไอ้เซกอง แล้วข้อยสิต้องถูกฆ่าตายเสียเอง”
ชาย เล็กย้อนถามขำๆว่าที่ว่านอนคิดมาทั้งคืนคิดได้แค่นี้เองหรือ สร้อยยังเชื่อว่าถูกพ่อใหญ่หลอก เพราะเรื่องตามหาแหวนแล้วจะพบเจ้าชายเองนั้น มันเป็นนิทานหลอกเด็ก ถ้ามีเจ้าชายจริง ทำไมถึงไม่กลับไปเวียงพูคำช่วยเจ้าหลวง พูดใส่หน้าชายเล็กว่า
“ข้อยบ่น่าโง่หลงเชื่อพ่อใหญ่ บ่มีแหวน บ่มีเจ้ารัชทายาท บ่มีอะหยังทั้งนั้น!”
“ถ้าไม่มีแหวน รัชทายาท แล้วนี่อะไร” ชายเล็กเอาแหวนวงนั้นให้ดู
สร้อยตะลึงงัน รีบดึงแหวนที่คล้องอยู่กับสายสร้อยที่คอตัวเองออกมาเทียบดู อุทานอย่างตื่นเต้นสุดขีด
“แหวนเจ้ารัชทายาทอีหลี! เจ้าหาแหวนเจอแล้ว!!” สร้อยกระโดดกอดชายเล็กเต้นอย่างลืมตัว “ขอบใจหลายๆเด้อ ขอบใจหลายๆ”
สร้อยกอดชายเล็กเต้นอยู่อย่างนั้น พอรู้สึกตัวจึงผละออกเขินๆ แต่ชายเล็กรั้งตัวเข้าไปกอดไว้แน่น บอกสร้อยว่า
“ฉันไม่ต้องการคำขอบใจ ฉันต้องการคำสัญญา... ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะต้องอยู่ด้วยกัน ห้ามหนีไปจากฉันอย่างนี้อีก รับปากสิ”
สร้อยพูดน้ำ เสียงสลดลงว่า ชายเล็กเองก็รู้ว่าสักวันหนึ่งเราก็ต้องจากกันไป ชายเล็กไม่ยอม ยืนยันว่าเราจะไม่จากกันไปไหน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หม่อมย่าถึงจะยอมแพ้เรา ฉะนั้นเราต้องอยู่ด้วยกันอย่างนี้อีกนานแสนนาน และ “ห้ามหนีฉันไปไหนอีก รับปากฉันสิ สร้อยฟ้า...”
“ข้อยรับปากเจ้า...ข้อยสิบ่หนีเจ้าไปไสอีก...” สร้อยรับปากอย่างเต็มใจ ปล่อยให้ชายเล็กกอดแน่นอยู่อย่างนั้น...
ooooooo
เพราะชายเล็กสั่งจันทาให้คุมจ่อยไว้อย่าให้หนีไปไหน ทำให้จ่อยไม่ได้หนีไปกับสร้อย เลยเกิดโต้เถียงกับจันทา สุดท้ายจ่อยบอกจันทาว่าทนไม่ไหวแล้ว ถอยหลังไปตั้งหลักเพื่อจะวิ่งมากระโดดข้ามกำแพง
“ไอ้จ่อย!!” จันทาตะโกนเตือนสติ
“บ่ต้องมาห้าม! พ่อสั่งไว้ให้ข้อยดูแลอีสร้อยให้ดี ถ้าข้อยทำอีสร้อยหาย พ่อได้ฆ่าข้อยตายคักๆ”
วินาที นั้น! จันทาเห็นมือเกาะกำแพงจากข้างนอก จันทาร้องเรียก “ไอ้จ่อย!” จ่อยตะโกนสวนมาว่าไม่ต้องห้ามแล้วก็วิ่งพุ่งสุดตัวไปที่กำแพง พอดีกับสร้อยโหนตัวปีนข้ามกำแพงมา จ่อยเบรกหัวทิ่มแต่ยังตะเกียกตะกายไปหาสร้อยที่ทิ้งย่อลงมา จันทาวิ่งเข้าไปกอดสร้อยด้วยความดีใจสุดขีด
“ข้อยคึดแล้วว่า คุณชายสิต้องตามหาเจ้าเจอ! เจ้าบ่มีวันหนีคุณชายพ้นดอก เจ้าสร้อยเอ๊ย...” จันทาละล่ำละลัก
สร้อยบอกว่าชายเล็กไม่เพียงเจอตน แต่ยังเจอแหวนรัชทายาทแล้วด้วย ทุกคนหันมองชายเล็กเป็นตาเดียว!
ชายเล็กยิ้มยืดอย่างภูมิใจมาก...
เมื่อพากันมาที่เรือนคนใช้ สร้อยเอาแหวนที่ห้อยคอมาวางเทียบกับแหวนที่ชายเล็กหามาได้ ทุกคนมองที่แหวนด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความภูมิใจ
“เราตามหาแหวนเจอแล้ว ต่อไปก็ต้องตามหาเจ้าของแหวนให้เจอ!” สร้อยตั้งเป้าหมายต่อไป
จันทาถามว่าคุณตาของชายเล็กบอกหรือเปล่าว่าใครเป็นคนเอาแหวนมาขายให้ ชายเล็กบอกว่าพวกนายหน้ารับซื้อเครื่องทองจากพวกเศรษฐีตกอับมาขายต่อ ข้าวของพวกนี้บางทีก็ตกกันมาหลายทอด ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง
จ่อย ร้องอ้าว แบบนี้เราก็ไม่รู้สิว่าใครเป็นเจ้าของแหวน แล้วเราจะสืบได้ยังไง จันทาบอกว่าเราค่อยๆ สืบไปเดี๋ยวก็เจอตัวจริงเองแหละ จ่อยมีปัญหาอีกถามว่า ถ้าเจอแล้วเกิดไม่ใช่เจ้ารังสิมันตุ์ล่ะ คราวนี้จบแน่!
“เจ้ากะคึดแต่ใน แง่ร้าย เฮาได้แหวนมาแล้ว มีเรอะที่เฮาสิตามหาเจ้ารังสิมันตุ์บ่ได้ แม่นบ่คุณชาย เป็นหยังคุณชายเฮ็ดหน้าแปลกๆ คุณชายไปฮู้อะหยังมาใช่บ่” สร้อยผิดสังเกต
ชายเล็กบอกว่าตนรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของแหวนวงนี้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเจ้าของแหวนวงนี้เกี่ยวอะไรกับรัชทายาท สร้อยถามจี้ว่า แล้วใครล่ะที่เป็นเจ้าของแหวนวงนี้ ชายเล็กนิ่งไปอย่างนึกทบทวนข้อมูลที่อากงเล่า...
ooooooo
เจ้าสัวซ้งจ้องหน้าศรีสมัย ให้บอกมาว่าใครให้เอาแหวนวงนี้มาขาย ศรีสมัยก็ยังปากแข็ง เจ้าสัวจึงส่งซองให้ พอศรีสมัยรับซองเปิดดูเห็นเงินปึกใหญ่ก็บอกทันทีว่า
“อิฉันได้แหวนมาจากวังกิตติวงศ์ค่ะ อิฉันบอกท่านเจ้าสัวได้เท่านี้จริงๆ ค่ะ” เจ้าสัวถามว่าเป็นของคุณหญิงดารณีนุชหรือ ศรีสมัยทำเป็นกระซิบกระซาบว่าเป็นของนายพลอนุพันธ์เพราะเป็นที่รู้กันว่าตระกูลนี้กำลังย่ำแย่ต้องเอาของเก่ามาขายกิน แล้วทำทีย้ำว่า “แต่ท่านเจ้าสัวอย่าไปถามท่านนายพลเชียวนะคะ เดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ”
รู้ที่มาของแหวนแล้ว ชายเล็กกับสร้อยไปหาชัชวีร์ที่วังกิตติวงศ์ สร้อยเอาแหวนเจ้ารัชทายาทให้ดู พร้อมกับแหวนเจ้าหลวงที่สร้อยห้อยคออยู่ ชัชวีร์ตื่นเต้นมากถามว่า แล้วเจ้ารัชทายาทล่ะ พระองค์ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
“ก็เพราะเราอยากรู้ว่า เจ้ารังสิมันตุ์ เจ้ารัชทายาทแห่งเวียงพูคำอยู่ที่ไหน เราถึงได้มากันที่นี่ เพื่อจะมาขอคำตอบจากลุงอนุพันธ์ คุณพ่อของนาย!”
เป็นเวลาเดียวกับที่อนุพันธ์ไปบอกกล่าวเจ้าส่องดาวที่หน้าหลุมศพเธอว่าตนตัดสินใจแล้วว่าควรทำอย่างไร
กลับมาที่วังกิตติวงศ์เพื่อจะบอกความจริงแก่ชัชวีร์ พอเห็นสร้อยเท่านั้น อนุพันธ์ถึงกับตะลึงงันเหมือนได้เห็นเจ้าส่องดาวอยู่ตรงหน้า สร้อยเอาแหวนรัชทายาทให้ดูถามว่า “ท่านเคยเห็นแหวนวงนี้ไหมคะ”
“ไปได้มาจากไหน” อนุพันธ์ตะลึงไปอีกครั้ง ชัชวีร์ถามว่าเป็นแหวนของคุณพ่อใช่ไหม ชายเล็กบอกว่านี่เป็นแหวนของเจ้ารัชทายาทของเวียงพูคำ อนุพันธ์สวนทันทีว่า “ไม่ใช่...แหวนวงนี้เคยอยู่ที่พ่อ แต่มันไม่ใช่แหวนของพ่อ นี่คือแหวนที่เจ้านางส่องดาวฝากพ่อไว้”
ทุกคนนิ่งงันกับเรื่องราวซับซ้อนที่เริ่มคลี่คลายทีละเปลาะ มองหน้าอนุพันธ์ฟังเขาเล่ากันตาไม่กะพริบ
“ก่อนที่พระองค์จะเป็นเจ้านางส่องดาว เธอคือเจ้าส่องดาวเพื่อนรักและเพื่อนแท้คนเดียวของพ่อ เมื่อถึงช่วงที่วิกฤตต้องหนีตายจากเวียงพูคำ เธอจึงเลือกที่จะมาหาพ่อ มามอบภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้พ่อ... หน้าที่รับเลี้ยงดูรัชทายาทแห่งเวียงพูคำ!”
ชัชวีร์ฟังแล้วสับสนมากจนต้องตั้งสติปฏิเสธอย่างไม่เชื่อว่าตนเป็นรัชทายาทแห่งเวียงพูคำ อนุพันธ์ชี้แจงว่า
“เพราะอย่างนี้ พ่อถึงบอกลูกไม่ได้ว่า แม่ของลูกเป็นใคร เพื่อความปลอดภัยของลูกเอง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นายพลเซกองไม่เคยหยุดตามไล่ล่าเจ้ารัชทายาทเลย ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้”
เมื่อเปิดเผยความจริงแล้ว อนุพันธ์ถวายคำนับ ชายเล็กทำตามส่วนสร้อยงุนงงเงอะงะแล้วรีบทรุดตัวก้มกราบที่พื้น ชัชวีร์ดึงตัวสร้อยลุกยืน พูดกับทุกคนอย่างตั้งตัวไม่ทันว่า
“เดี๋ยวก่อน! ทุกคนหยุดก่อน! ไม่ใช่ตอนนี้...ผมขอเวลา...”
“ฝ่าพระบาท ไม่มีเวลาแล้ว ฝ่าพระบาทจะต้องเสด็จกลับไปเวียงพูคำ เพื่อกอบกู้บ้านเมืองกลับคืนมาหลังจากนั้นจะได้อัญเชิญพระศพเจ้านางส่องดาวกลับไปยังแผ่นดินที่พระองค์รัก” อนุพันธ์เอ่ย
อนุพันธ์พาชัชวีร์ไปยังสุสานเจ้าส่องดาว หยุดยืนหน้าหลุมศพบอกว่า
“นี่คือหลุมพระศพของเจ้านางส่องดาว...” อนุพันธ์เล่าถึงอดีตขณะเจ้าส่องดาวนำรัชทายาทมาฝากให้ดูแลก่อนลมหายใจสุดท้ายว่า “เจ้านางทรงทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชีวิตของฝ่าพระบาทไว้ แม้เมื่อถึงลมหายใจสุดท้าย พระราชดำรัสของพระองค์คือ พระนามของฝ่าบาท ‘เจ้ารังสิมันตุ์’....”
ชัชวีร์ขอร้องอนุพันธ์ให้พูดกับตนเหมือนเดิม ตนไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นเจ้ารังสิมันตุ์ในเวลาชั่วข้ามวันได้
“เรารอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เจ้านางส่องดาวเสียสละพระชนม์ชีพเพื่อเจ้ารัชทายาท เพราะทรงรู้ว่า ความหวังของชาวเวียงพูคำอยู่ที่ฝ่าพระบาทเพียงองค์เดียว ที่จะนำแผ่นดินเวียงพูคำกลับมาสงบสุขเช่นเดิม นี่คือภาระและหน้าที่ของรัชทายาทที่ไม่สามารถจะหลบเลี่ยงได้แต่ถ้าฝ่าพระบาทจะไม่ทรงรับตำแหน่งผู้นำในครั้งนี้ ก็ไม่มีใครที่จะบังคับพระทัยฝ่าพระบาทได้...”
ชัชวีร์อึ้งไปกับภาระที่หนักอึ้ง มองหลุมศพของเจ้านางส่องดาว มองแหวนในมือของอนุพันธ์อย่างคิดหนัก ตัดสินใจรับแหวนนั้นไปสวมที่นิ้ว อันเป็นการยอมรับเป็นเจ้ารัชทายาทแล้ว...
ooooooo
สร้อยบอกชายเล็กเมื่อกลับมาที่เรือนคนใช้วังจุฑาเทพว่าถ้าชัชวีร์ยังไม่ยอมรับเป็นเจ้ารัชทายาทตนก็จะรีบกลับไปหาพ่อใหญ่ก่อน ชายเล็กให้เธอกับจ่อยอยู่ที่นี่ตนจะหาทางติดต่อกับพ่อใหญ่ให้เอง
แม้ว่าชัชวีร์จะยอมสวมแหวนรัชทายาทแล้ว แต่ก็ยังบอกชายเล็กและทุกคนว่า ตราบใดที่ตนยังไม่ได้กอบกู้แผ่นดินเวียงพูคำกลับคืนมาตนก็ยังเป็นนายชัชคนเดิมอยู่ ขอให้ทุกคนทำตัวเหมือนเดิมและขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ คนยิ่งรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี
ชัชวีร์ไปบอกจันทาว่าตนรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว เราไม่ต้องไปตามหาเจ้ารัชทายาทที่ไหนอีก ตนจะเป็นคนพาสร้อยฟ้ากับจ่อยกลับไปสมทบกับกลุ่มกองกำลังของพ่อใหญ่เอง จันทางงงวยมาก ถามว่าทำไมเขาต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอย่างนั้นทั้งที่ไม่ใช่คนเวียงพูคำ ชัชวีร์ตัดบทด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ตอนนี้จันทารู้เรื่องแค่นี้ก็พอ แล้วเมื่อไหร่ที่ทุกอย่างคลี่คลายลง ฉันจะบอกกับจันทาเองว่าทำไมฉันถึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้นำในครั้งนี้ จันทา...ขอให้มั่นใจในตัวฉัน ไม่ว่าต่อไปในวันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็จะไม่มีวันทำให้ฉันเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นได้ นอกจากเป็นคุณชัชของจันทา...”
แม้ว่าชัชวีร์จะพูดด้วยความหนักแน่น จริงใจ จริงจัง แต่จันทาฟังแล้วกลับรู้สึกหวาดหวั่นกับเรื่องราวที่ตนยังไม่รู้...
ooooooo
ดารณีนุชวางแผนฉีกหน้าสร้อยเพื่อเฉดให้พ้นทางของศินีนุชที่จะแทรกเข้าไปเป็นสะใภ้จุฑาเทพ ด้วยการขอจัดงานเลี้ยงต้อนรับทูตจากเวียงพูคำที่วังจุฑาเทพ
งานนี้ทำให้บรรดาคุณชายต้องประชุมแก้เกมกัน ชายใหญ่อ่านเกมออกทะลุ บอกน้องๆว่า
“งานนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสร้อยฟ้าแน่ๆ ฉันว่าคงเป็นแผนตื้นๆ ที่ต้องการจะฉีกหน้าสร้อยฟ้าละมั้ง” ตำหนิอย่างคนมีสายตากว้างไกลว่า “คุณป้าหญิงนี่คิดแผนอะไรไม่เข้าท่าเลย ใช้วังจุฑาเทพจัดงานครั้งนี้เท่ากับประกาศว่า ทางฝ่ายเราสนับสนุนรัฐบาลของนายพลเซกอง”
“เรื่องนี้ผมจะช่วยจัดการให้เองครับพี่ชายใหญ่” เสียงคุณชายปวรรุจแทรกเข้ามา ทุกคนหันมองเห็นชายรุจยืนยิ้มเท่อยู่ น้องๆทั้งสามลุกมาหาด้วยความดีใจ ชายรุจยกมือห้าม “นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ฉันจะต้องคุยกับพี่ชายใหญ่เรื่องเวียงพูคำก่อน ส่วนนาย...ชายเล็ก ตอนนี้นายมีหน้าที่เดียวคือคุมเมียของนายไว้ให้ดี”
เมื่อหม่อมเอียดและย่าอ่อนเห็นชายรุจกลับมาต่างก็ดีใจ ชายรุจบอกว่า
“ผมตัดสินใจลางานกลับมากะทันหันน่ะครับ โชคดีที่ผมมาได้ทัน”
ทีแรกสองย่าก็ยังไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่ดีใจที่หลานชายกลับ แต่พอฉุกคิดภายหลังหม่อมเอียดถามว่า
“ชายรุจ ที่บอกว่าโชคดีที่มาทันเวลาพอดีหมายความว่ายังไง”
ชายรุจบอกว่า เกรงว่างานจะไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เสนอให้จัดเป็นงานเล็กๆก็พอ ดารณีนุชกับศินีนุชฟัง
ข้อเสนอของชายรุจด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
ooooooo
เมื่อชายรุจมาคุยกับชายเล็กและสร้อย เขาชี้แจงรายละเอียด มองสถานการณ์อย่างสายตานักการเมืองว่า
“ถึงแม้ว่าทางเวียงพูคำจะส่งทูตมาประจำประเทศเราแล้ว แต่ทางเราก็ยังต้องดูท่าทีของรัฐบาลเวียงพูคำอยู่ เราจึงควรจัดงานเงียบๆ ไม่เอิกเกริก พี่ให้เหตุผลว่าเรามีปัญหาทางการเมืองอยู่ ไม่อธิบายมากไปกว่านั้น คุณป้าหญิงก็ยอมฟัง ที่จริงการได้เจอทูตเวียงพูคำในครั้งนี้ ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้รับข่าวสารข้อมูลมากขึ้น”
สร้อยฮึดฮัดว่าเจอพวกนั้นเมื่อไรตนจะไปเค้นคอถามเอง ชายรุจมองเธอยิ้มขำ บอกแต่ว่าเรื่องนั้นขอให้เป็นหน้าที่ของตนดีกว่า สร้อยบอกว่าถ้าชายรุจจะมาช่วยพวกตนด้วยอีกคนจริงๆ ตนจะรีบไปบอกชัชวีร์ ชายรุจงงๆว่าชัชวีร์มาเกี่ยวอะไรด้วย สร้อยได้แต่อึกอักเพราะยังต้องถือเป็นความลับอยู่
ชายเล็กหนักใจว่าตนอาจคุมสร้อยไม่อยู่ ฉุกคิดได้ก็บอกสร้อยกับจันทาให้ไปกับตน หมายเอาไปฝากไว้กับย่าอ่อนในครัว เชื่อว่าย่าอ่อนเอาอยู่แน่ แต่ระหว่างทางเจอดารณีนุชกับศินีนุชเดินนำสาวใช้ถือชุดราตรีหรูตามมา ดารณีนุชตามไปที่ครัว ขออนุญาตย่าอ่อนเอาสร้อยไปช่วยต้อนรับแขก
ที แรกย่าอ่อนไม่ยอมให้ไป เกรงสร้อยทำขายหน้า แต่พอฟังศินีนุชพูดว่า ถ้าสร้อยทำตัวเองขายหน้ากลางงาน ก็จะหมดโอกาสพิสูจน์ตัวเองต่อไป ย่าอ่อนก็ลังเล...
เมื่อขอตัวสร้อยไปได้แล้ว สองแม่ลูกก็ให้สร้อยแต่งชุดสาวเวียงพูคำที่เก่ามอซอ แล้วทำทีว่าไม่มีเครื่องประดับให้กรองแก้วที่มีหน้าที่ช่วยดูแลสร้อยอยู่ แล้ว เข้ามาอาสาดูแลสร้อยเอง สองแม่ลูกเลยพูดไม่ออก
กรองแก้วพาสร้อย ไปแปลงโฉมจากสาวบ้านป่ากลายเป็นนางฟ้า แล้วพาเดินออกมาท่ามกลางสายตาที่มองอย่างตื่นตะลึงของบรรดาคุณชาย โดยเฉพาะชายเล็กมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง กรองแก้วขออนุญาตพวกคุณชายพาจันทาเข้าไปในงานด้วย เพื่อสร้อยจะได้มีเพื่อน ชายพีร์ฉวยโอกาสขอเป็นคู่ควงจันทาเอง เพื่อกันไม่ให้วิไลรัมภามาวุ่นวายกับตน
เมื่อสร้อยเข้าไปในงาน ย่าอ่อนที่ตั้งแง่เล่นงานสร้อยตลอดเวลาถึงกับพึมพำอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่า จากอีกากลายเป็นหงส์ไปได้ยังไง แต่ก็ตะแบงเข้าข้างศินีนุชจนได้ว่า ยังไงศินีนุชก็งามสมเป็นกุลสตรีมากกว่า
“เธออย่าดูคนแค่ที่เปลือกนอก จะดูคนก็ต้องดูให้ถึงแก่นข้างใน เด็กคนนี้ ไม่ได้มีดีที่ความสวยอย่างเดียว ฉลาด ซื่อสัตย์ และเป็นเด็กที่กล้าหาญ” หม่อมเอียดยก ตัวอย่างความกล้าหาญของสร้อยที่ช่วยชีวิตชายเล็กไว้จนย่าอ่อนพูดไม่ออก
ชายพีร์ควงจันทาได้ไม่นาน ก็ถูกวิไลรัมภามาแยกไป ชัชวีร์เองก็ควงจันทาไปอย่างถือเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ศิ นีนุชหาทางฉีกหน้าสร้อย ด้วยการพาสร้อยไปพูดคุยกับชาวต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษ คิดว่าสร้อยต้องโง่เง่าเต่าตุ่นหูไม่กระดิกแน่ ทีแรกสร้อยก็พูดแต่ภาษาไทย แต่เมื่อได้เจอกับมิสเตอร์ฮูเบิร์ตที่เป็นนักสะสมของโบราณ รู้จักและรักเวียงพูคำยิ่งกว่าบ้านเกิดของตัวเอง สร้อยก็คุยด้วยอย่างสนิทใจ พูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อสร้อยถูกชายรุจแกล้งลองภูมิคุยด้วยเป็นภาษาเยอรมัน สร้อยก็ตอบได้ฉะฉาน ชายเล็กเลยถามว่า พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นไหม สร้อยตอบอย่างถ่อมตัวเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า ได้แค่นิดหน่อย
งานนี้ สร้อยพิสูจน์ให้เห็นความรู้ความสามารถของตนที่เหนือกว่าศินีนุชอย่างทาบกัน ไม่ติด ชายเล็กได้โอกาสเลยถามหม่อมเอียดกับย่าอ่อนว่า คงไม่ติดใจสงสัยเรื่องการศึกษาของสร้อยแล้วใช่ไหม
ชายเล็กงง ทึ่ง ที่ได้เห็นความสามารถของสร้อย เมื่ออยู่ลำพังพวกกันเองจึงถาม เธอบอกว่า แฮรี่เป็นคนสอนให้ ชายเล็กถามว่า แฮรี่ยังสอนอะไรเธออีก
“แฮรี่สอนให้ข้อยอย่าดูถูกคน คนเฮาบ่มีไผสูงบ่มีไผต่ำกว่าไผ บ่ว่าเกิดในป่าหรือว่าเกิดในวังกะเป็นคนคือกัน!”
ชายเล็กมองหน้าชายรุจด้วยสายตาทำนองว่า... เห็นรึยังว่าสร้อยแสบแค่ไหน
ooooooo
จันทาอยู่กับชัชวีร์ ต่างเผยความรู้สึกลึกๆที่มีต่อกัน จันทาเขินเดินแยกออกมา จ่อยตามมาถามจันทา ว่าเป็นอะไร
ระหว่างนั้นเองทั้งคู่ได้ยินเสียงผิดปกติที่พุ่มไม้ จ่อยพรวดเข้าไปดู พบทับทิมหมอบอยู่ในสภาพหมดแรง ทั้งคู่รีบประคองขึ้นมาอย่างตกใจ
สร้อย คุยอยู่กับชายเล็กและชายรุจ ขณะนั้นเองชายภัทรมาบอกว่าทูตเวียงพูคำมาแล้ว ชายรุจบอกชายเล็กให้พาสร้อยกลับที่พักเสีย สร้อยฮึดฮัดไม่ยอมไป ก็พอดีจ่อยกับจันทาพาทับทิมเข้ามา สร้อยตกใจมากโผเข้าหาทับทิมถาม...
“บักทับทิม! เกิดอะหยังขึ้น พ่อใหญ่! พ่อใหญ่ล่ะ!”
ทับทิมหน้าสลดได้แต่ส่ายหน้าไม่พูดอะไร...สร้อยหันขวับมองชายเล็กอย่างดื้อแพ่งทันที!
ที่ ห้องรับแขกวังจุฑาเทพ คุณชายธราธรหรือชายใหญ่กำลังเผชิญหน้ากับทองสิน ทูตของเวียงพูคำที่มีเจ้าหน้าที่ติดตามสองคน ชายใหญ่เสนอขอเข้าไปดูโบราณสถานที่เวียงพูคำ ทองสินขอให้ทางกรมของไทยส่งเรื่องเข้ามาตามขั้นตอน แล้วหาทางเลี่ยงขอตัวไปกราบสวัสดีคุณหญิงดารณีนุช
ชายเล็กกับสร้อย เดินเข้ามาเจอทองสินพอดี ชายเล็กบอกว่าอยากรู้เรื่องของเวียงพูคำด้านอื่นอีก เช่นปัญหาชายแดนที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข ปัญหาชาวเวียงพูคำลี้ภัยหนีข้ามมาฝั่งไทยเป็นร้อยเป็นพันกระทั่งบัดนี้อาจ เป็นหมื่นแล้ว ชายรุจย้ำว่า เราไม่อยากก้าวก่ายเรื่องในประเทศของเวียงพูคำ ถ้าเราไม่ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองท่าน
ทอง สินทำยืดตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ตอนนี้เวียงพูคำสงบสุขดีครับ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยและปรารถนาดี วันนี้ผมคงจะไม่สะดวกร่วมงานเสียแล้วล่ะครับ ผมขอลากลับเลยจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย” ว่าแล้วก็เลี่ยงไปเลย สามคุณชายได้แต่มองหน้ากันแบบไม่ได้เรื่องอะไรเลย
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป!” สร้อยเดินตามไปอย่างเอาเรื่องพูดขึงขังอย่างคับแค้นใจว่า “เวียงพูคำบ่มีวันสงบสุขได้ดอก!”
ทอง สินได้ยินสร้อยพูดภาษาเวียงพูคำ หันถามว่าเป็นชาวเวียงพูคำหรือ ทำไมจึงมาอยู่ที่วังจุฑาเทพได้ สร้อยสวนไปทันทีว่า ตนเป็นชาวเวียงพูคำและรู้เรื่องของเวียงพูคำดีกว่า “ขี้ทูต” อย่างเขา ก่อนที่บ้านเมืองจะวิบัติอย่างทุกวันนี้ แผ่นดินเราได้ชื่อว่า “ราชอาณาจักรเวียงพูคำ”
รัชชานนท์ที่ตามมาพูดแทรกขึ้น อธิบายถึงคำว่าราชอาณาจักร Kingdom ที่มีความหมายมากกว่าคำว่าราชอาณาจักร แต่ยังหมายถึงแผ่นดินที่ปกครองโดยพระราชาที่มีเมตตาธรรม ไม่ใช่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สร้อยพูดอย่างคนเวียงพูคำว่า
“ถ้าแผ่นดินของเฮาบ่มีเจ้าหลวงสุริย วงศ์ ชาวเวียงพูคำกะบ่มีวันได้มีชีวิตที่สงบสุขดอก มีแต่ข่าวก่อจลาจลทุกวัน ผู้คนอดอยากล้มตายไปเท่าได๋ คนดีๆบ่มีที่ยืน แต่คนเลวทรามกลับได้ดี เป็นจังซี่บ้านเฮือนเฮาถึงได้ล่มจม!”
“บ่แม่น! ตอนนี้แผ่นดินเวียงพูคำสงบสุขแล้ว นายพลเซกองบ่ใช่เผด็จการ ท่านแค่ช่วยดูแลบ้านเมืองแทนเจ้าหลวงชั่วคราวเท่านั้น พวกเจ้าคงบ่ฮู้ล่ะซิว่า เจ้าหลวงสุริยวงศ์เสด็จนิวัตเวียงพูคำแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง ถ้าข่าวนี้เป็นความจริงพวกเราก็ต้องรู้แล้ว” ชายเล็กโต้ ชายพีร์ที่ตามมาสมทบพูดแทรกว่า
“พวกเผด็จการก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ก็ปล่อยข่าวหลอกประชาชนไปวันๆ”
ทองสินยังตะแบงว่าถ้าไม่เชื่อตนก็บังคับไม่ได้ ให้รอถึงวันที่เจ้าหลวงส่งมอบบัลลังก์ให้เจ้ารัชทายาทก็แล้วกัน พูดแล้วเดินหนีไปเลย
“เจ้า รัชทายาทอะหยัง กะเจ้ารัชทายาทของเฮายืนอยู่ตรงนี้!” สร้อยโมโหจนลืมตัว ชายพีร์มองขวับถามว่าหมายถึงใคร “ข้อย...ข้อยกะหมายถึงคุณชัชวีร์น่ะซิ คุณชัชบ่ใช่ลูกของคุณชายอนุพันธ์ แต่เป็นพระโอรสของเจ้าหลวงสุริยวงศ์ เพิ่นเป็นเจ้ารัชทายาทของเฮา”
ชายพีร์งง...ชายเล็กมองชัชวีร์อย่างเข้าใจ ในขณะที่สร้อยยืนเคียงข้างชัชวีร์อย่างภูมิใจ
ooooooo