ตอนที่ 8
ตองนวลไปที่หอคำแต่เช้าแต่เข้าไม่ได้ เพราะต้องรอขบวนเสด็จของเสกขรก่อน สร้างความไม่พอใจให้นางและพยายามดึงดัน โดยให้เฟืองรออยู่ข้างนอกเฝ้าเสลี่ยงของตน ดูแลร่มทองให้ดี อย่าให้พวกมีจิตริษยาทำลายร่มประดับเกียรติของตน
เฟืองรับคำสั่งอย่างเคร่งครัด ตองนวลกำลังจะเดินไปแต่ต้องชะงักชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นเก็ตถวากับแก้วอากาศแต่งตัวสวยไม่แพ้กันเดินคู่กันมา
“ตองนวล...ดีจังที่ได้เจอเจ้า ข้าสองคนจะเข้าไปข้างในหอคำกับเจ้าด้วย”
“เจ้าสองคนกราบแทบบาทเจ้าสำเภางามไปกี่ทีเล่า จึงได้บำเหน็จได้เป็นเจ้านาง แต่ข้าได้ข่าวว่าเจ้ามีร่มสีทองประดับเกียรติแค่สามคัน ฮึ! อย่าหมายมาเทียมข้า”
ตองนวลจ้องทั้งคู่ด้วยสายตาดูแคลนแล้วขยับเดินเชิดหน้าไปเจอเครือออนกับคะนองยืนอยู่หน้าหอคำ
“เจ้านางทั้งสามจะเข้าไปข้างในไม่ได้ ยังคงต้องรออยู่ด้านนอกก่อนเจ้าข้า”
คะนองพูดเสียงดังฟังชัดได้ยินกันทุกคน ตองนวลหน้าบึ้ง วางอำนาจทันที
“เหตุใดข้ายังเข้าไปไม่ได้ ในเมื่อข้าก็เป็นพระสนมของเจ้าหลวง หรือว่าเจ้าคะนองกีดกันข้า”
“ข้ามิได้กีดกัน แต่สนมเยี่ยงเจ้านางหรือจะเทียบพระนางหน่อเจ้าหลวง ผู้กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมหาเทวีเจ้า”
เก็ตถวากับแก้วอากาศรู้อยู่เต็มอก ต่างเน้นย้ำกับตองนวลตามที่คะนองพูด ตองนวลหน้าม้านแต่ยังไม่ยอมแพ้ซะทีเดียว
“เว้นแต่พระนางเจ้าเสกขรเทวีเท่านั้นนะ ผู้อื่นข้าหายอมไม่”
เครือออนกระตุ้นเตือนตองนวลที่ลอยหน้าถือดีว่ายังมีเจ้าทิพย์อีกคน เจ้าหลวงตั้งให้เจ้าทิพย์มีศักดิ์เป็นพระสนมเอก รองพระมหาเทวีเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ตองนวลเถียงไม่ออก สบถขึ้นอย่างแสนแค้น
“ชาตินี้มันกับกูไยต้องแข่งวาสนากันมิเลิกมิรา เจ็บใจนัก”
ooooooo
อนัญทิพย์ถือดีว่าเมืองคุ้มรักใคร่นักหนาจึงแสดงอำนาจต่อหน้าทหารหน้าหอคำ แต่เมื่อเข้าไปข้างในได้แล้วก็ฟ้องเมืองคุ้มว่าตนเองถูกรังแก
พิธีแต่งตั้งเสกขรเป็นมหาเทวีเจ้าผ่านไปด้วยดี แม้ว่าอนัญทิพย์จะพูดจาเสียดสีเสกขรอย่างรุนแรงและอ้อนเมืองคุ้มให้รักตนแต่ผู้เดียว
ตกดึกมีงานลอยโคมถวายผีหลวง เสกขรนั่งเสลี่ยงผ่านหน้าคุ้มอนัญทิพย์ เห็นแสงไฟจากตะเกียงยังส่องสว่างจึงแวะเข้าไปเชิญอนัญทิพย์ไปลอยโคมพร้อมกันที่สวนดอก แต่นางกลับพูดจาไม่เป็นไมตรีอย่างเช่นเคย
“พร้อมกัน...พร้อมกับผู้ใด พร้อมกับเจ้ารึ เสกขร”
“เจ้าก็เป็นพระสนมเอกของเจ้าหลวง หาต่างจากพี่ไม่ เราก็ลอยโคมพร้อมกันได้นี่”
“การอื่นที่นอกจากลอยโคมต้องทำพร้อมกันด้วยหรือไม่...พระมหาเทวีเจ้า”
เสกขรหน้าเสียกับความหยาบคายของอนัญทิพย์ ขณะที่ริมบึงก็จ้องนางด้วยความไม่พอใจ
“การอื่นพี่ไม่รู้ แต่การนี้พี่ยื่นไมตรีให้เจ้าแล้ว เจ้าก็ควรรับไมตรีของพี่เพื่อความผาสุกของเมืองทิพย์... บัวไหลแต่งตัวให้เจ้าทิพย์ด้วย ข้าจะรอเจ้าทิพย์อยู่ข้างนอก”
เสกขรเดินออกไป ตามด้วยริมบึงกับเพ็ง พอทุกคนคล้อยหลังบัวไหลก็ถามเจ้านายตนว่าเอาอย่างใด อนัญทิพย์ถอนใจทำอะไรไม่ถูก แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มเจ้าเล่ห์
ที่บริเวณพลับพลาภายในสวนดอก กลุ่มของเมืองคุ้มกำลังดูสาวงามฟ้อนรำอย่างเพลิดเพลิน แต่สำเภางามกลับว้าวุ่นใจเพราะใกล้ถึงฤกษ์แล้วแต่เสกขรกับอนัญทิพย์ยังไม่มา แก้วอากาศหลุดปาก...หรือว่ามีเหตุร้ายเกิดกับทั้งสองคน เลยโดนสำเภางามตวัดสายตาดุปรามอย่างไม่พอใจ
เมืองคุ้มเริ่มกระวนกระวายบ้างแล้ว กลัวเสียฤกษ์ จึงประกาศให้ได้ยินกันทั่วว่า “หากพนักงานหอนาฬิกาตีบอกเพลาแล้ว ก็ต้องทำไปตามฤกษ์ หาไม่จะทำให้แผ่นดินเมืองทิพย์มีภัย”
ทุกคนในพลับพลาหน้าเจื่อน ยกเว้นตองนวลลอบยิ้มสะใจหันไปสบตากับเจ้าฟ้าเมืองมีดผู้พ่อ ขณะที่ขุนเวียงกับท้าววงษาคนของอนัญทิพย์แอบมองตากัน เหมือนคาดเดาว่าอีกไม่กี่อึดใจต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
ooooooo
อนัญทิพย์แต่งตัวสวยงามออกจากคุ้มพร้อม บัวไหล เสกขรซึ่งนั่งรอเห็นแล้วชื่นชมก่อนจะชวนให้รีบไป แต่อนัญทิพย์กลับพูดโพล่งให้ไปกันเถิด ตนไม่ไป
“อ้าว...เหตุใดเล่าเจ้าทิพย์”
“ข้าไม่มีเสลี่ยงนั่ง จะให้ข้าเดินไปอย่างนั้นรึ”
“คุ้มของเจ้าอยู่ใกล้สวนดอกแค่นี้เอง เดินไปก็ยังไม่เหนื่อย ข้าว่าเดินไปด้วยกันเถิด ให้เสลี่ยงกลับไป”
“ไม่ต้อง...ถ้าคิดว่าอยากมีไมตรีกับข้านัก ก็ต้องให้ข้านั่งเสลี่ยง ส่วนพระมหาเทวีเจ้าเดินนำเสลี่ยงของข้าไป”
เสกขรหน้าซีด ริมบึงโกรธจัดมองหน้าเสกขรแล้วมองอนัญทิพย์ที่ยืนยิ้มสีหน้าทรงอำนาจ อยากจะเข้าไปตบสักฉาดสองฉาด...
เพลานั้นเมืองคุ้มกระวนกระวายหนัก สั่งพวกนางฟ้อนรำให้หยุด คนอื่นๆสีหน้าไม่สู้ดี เจ้าฟ้าเมืองท่าคอย น้อยอินทา และมณีหยาดรู้สึกกังวลเป็นห่วงเจ้าหลวง
“แสงตา ไปตามเจ้าคะนองกับขุนทหารทั้งสองมาพบข้าบัดเดี๋ยวนี้”
แสงตาทำตามคำสั่งเมืองคุ้มโดยเร็ว ตองนวลยิ้มพลางคิดวาดฝันว่าตนเองจะได้ลอยโคมคู่กับเจ้าหลวงแต่เพียงผู้เดียว...
เสกขรเดินข้างริมบึงนำหน้าขบวนเสลี่ยงที่อนัญทิพย์นั่งลอยหน้าอย่างสง่างาม บัวไหลเดินคลอเคียงเสลี่ยง เหลือบมองนายของตนอย่างลำพอง
“เร็วสิวะ ไอ้อีคุ้มพระมหาเทวีเจ้านี่อ่อนแออย่างนี้หมดเลยหรืออย่างใด หากข้าไปไม่ทันฤกษ์นะ พวกเจ้าหัวขาดกันทุกคน”
อนัญทิพย์แสดงอำนาจ เสกขรแทบไม่เชื่อหู ริมบึงหมั่นไส้แทบทนไม่ไหวบอกนายของตนว่าอย่ายอม ไล่มัน สั่งประหารมัน แต่เสกขรกลับใจเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งทั้งที่เสียใจและแค้นใจ บังคับน้ำเสียงให้ราบเรียบดังเดิม
“ข้าจะเดิน...เดินไปจนถึงพลับพลาของเจ้าหลวง”
ooooooo
จวนเจียนฤกษ์เต็มที...คะนอง ห่มฟ้า และแสงเมืองอยู่หน้าพลับพลาเฝ้ารอมหาเทวีเจ้ากับสนมเอกของเจ้าหลวงอย่างจดจ่อ สักครู่ได้ยินเสียงห่มฟ้าร้องบอกว่า
“เสด็จมาแล้วเจ้าข้า”
สามคนมองไปเห็นเต็มตาว่าเสกขรเดินนำหน้าขบวนมากับริมบึง ส่วนอนัญทิพย์นั่งลอยหน้าบนเสลี่ยงสบายใจเฉิบ
“เจ้าทิพย์...ก่อเรื่องอีกแล้ว แสงเมืองเจ้าไปกราบทูลเจ้าหลวงให้รีบเสด็จมาที่นี่”
แสงเมืองผละไป ส่วนคะนองพูดแล้วก็เดินอาดๆเข้ามาหาขบวนเสลี่ยง
“พระมหาเทวีเจ้า เหตุใดถึง...” คะนองยั้งปาก หันขวับไปที่อนัญทิพย์พร้อมตวาดเสียงเข้ม “ลงมาบัดเดี๋ยวนี้ ถึงเจ้าจะเป็นพระสนมเอก แต่ข้าเป็นอุปราชหอหน้าผู้มีศักดิ์และสิทธิ์ในบัลลังก์ตั่งทองต่อจากเจ้าหลวง ข้าสั่งประหารเจ้าได้นะเจ้านางอนัญทิพย์”
“คะนอง ข้าไม่ได้เป็นอันใด ข้าสบายดี เจ้าอย่าโกรธเจ้าทิพย์เลย...ข้าให้นางนั่งบนเสลี่ยงเอง” เสกขรออกรับแทน อนัญทิพย์ได้ทียิ้มเยาะคะนอง
“แต่นั่นร่มขาวประดับเกียรติ เป็นพระอิสริยยศของพระนางเจ้า คนเยี่ยงมันหามีสิทธิ์ใช้ไม่...ลงมา...ข้าบอกให้ลงมา”
คะนองส่งเสียงเอ็ดอึง เมืองคุ้มออกมาพอดี ตามด้วยสำเภางาม แสงเมือง ขุนเวียง ท้าววงษา ตองนวล เก็ตถวา และแก้วอากาศ...ทุกคนเห็นอนัญทิพย์บนเสลี่ยงก็ตะลึงพรึงเพริด
“เจ้าทิพย์ ข้าอยากรู้จริงว่าเจ้ามาจากนรกขุมไหน” ด่าแล้วสำเภางามตรงไปที่เสกขร ก้มลงจับขาจับมือ ร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจ “เสียรู้คนชั่วอย่างอีทิพย์เข้าจนได้ ข้าเตือนพระนางเจ้าแล้วคนอย่างมันหารู้คุณยางข้าวของพระนางเจ้าดอกเจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิดเจ้าป้า ข้าหาเป็นอันใดไม่”
อนัญทิพย์หาได้สลด เชิดหน้าระบายยิ้มสาแก่ใจ เมืองคุ้มหนักใจสั่งพลเสลี่ยงให้วางเจ้าทิพย์ลงเดี๋ยวนี้
ทันทีที่อนัญทิพย์เสลี่ยงแตะพื้น สำเภางามลุกขึ้นสั่งเมืองคุ้มให้กลับไปที่พลับพลา ไปดูแลพระมหาเทวีเจ้า ทางนี้แม่จะจัดการอีทิพย์คนชั่วเอง แต่เมืองคุ้มยังไม่ขยับเพราะเป็นห่วงอนัญทิพย์
“เจ้าแม่...นี่มันวันงานพิธี วันศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน”
“แล้วจะยอมให้อีคนชั่วมันกระทำย่ำยีเยี่ยงนี้รึ พาพระมหาเทวีเจ้าไปบัดเดี๋ยวนี้”
เมืองคุ้มจนใจ ประคองเสกขรออกไป ริมบึงตามติด ส่วนอนัญทิพย์ก้าวออกจากเสลี่ยง สำเภางามไม่รอช้าปรี่ไปตบหน้านางอย่างแรง บัวไหลปราดเข้าประคองนายของตนที่เซถลาล้มลงร้องขึ้นด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย...”
“มันยังน้อยไป โทษของมึงถึงขั้นหัวขาด”
อนัญทิพย์กุมแก้ม โต้เถียงทั้งน้ำตา “คิดว่าข้ามีปีกบินไปนั่งบนเสลี่ยงหลวงได้รึ ถ้ามิใช่พระมหาเทวีเจ้าทรงอนุญาต ข้าผิดอันใดเล่า บอกข้าสิ บอกกับทุกคน ถ้าคิดว่าเป็นเจ้าแม่ของเจ้าหลวงแล้วจะทำการอันใดก็ได้ แผ่นดินนี้ก็คงไร้ความยุติธรรม”
สำเภางามโกรธจัดขยับตัวจะเข้าทำร้ายอนัญทิพย์อีก พลันเสียงกลองดังขึ้นบอกเวลา ตามด้วยเสียงแตรสังข์จากโหราและคณะพราหมณ์ที่มุมหนึ่ง
“ข้าจะไปลอยโคมกับเจ้าพี่”
อนัญทิพย์ประกาศแล้วก้าวผ่านหน้าสำเภางามไปอย่างเร็ว
“อีทิพย์!!”
สำเภางามแผดเสียงอย่างคับแค้น คะนองปราดเข้ามาหา
“เจ้าแม่เข้าไปจัดการในพลับพลาเถิดเจ้าข้า ข้าจะดูแลทางนี้เอง”
“ไปกับแม่...แม่ไม่ยอมให้มันทำอุบาทว์ในแผ่นดินนี้อีกต่อไป” จบคำสำเภางามก็เดินลิ่วไปอย่างร้อนรน
ooooooo
อนัญทิพย์ดึงดันวิ่งเข้ามาในพลับพลา ร่ำไห้สะอึกสะอื้นฟ้องเมืองคุ้มว่าตนถูกรังแกและถูกใส่ร้าย
“เจ้าก็รู้นี่ว่าเสลี่ยงหลวงนั่นหาใช่ของเจ้าไม่”
“ก็หญิงผู้นี้มิใช่รึที่ให้ข้านั่งบนเสลี่ยงมา ทำตัวเป็นแม่พระเดินนำหน้าเสลี่ยงเกียรติยศ”
เสกขรหน้าซีดกับคำกล่าวหานั้น ริมบึงตกใจถลึงตาใส่อนัญทิพย์แล้วปกป้องนายของตนด้วยการบอกเมืองคุ้มว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พระสนมเอกกราบทูล
“หุบปากอีริมบึง อยู่ใกล้พระนางเจ้า ก็เลยคิดว่าตนเองเป็นเจ้าไปด้วยรึ ตักน้ำใส่กะโหลกดูเงาหัวตัวเองบ้าง...เสกขรหน้าไหว้หลังหลอก วางกลลึกล้ำหมายให้คนทั้งแผ่นดินสรรเสริญว่าเป็นคนดีศรีเมืองทิพย์ แล้วให้คนทั้งแผ่นดินเหยียบย่ำข้า...ข้าอยากตาย”
สำเภางามเหลืออดผุดลุกขึ้นตวาด “หยุดสำรอกความชั่วช้าได้แล้วเจ้าทิพย์ เสียงกลองฤกษ์กลองชัยดังไปถึงผีหลวงแล้ว รีบประกอบพิธีกรรมก่อนเถิด พระมหาเทวีเจ้าเจ้าคะ เชิญเสด็จเจ้าค่ะ”
เสกขรถูกสำเภางามจูงมือไป เมืองคุ้มมองอนัญทิพย์สายตาละห้อย ได้ยินนางร้องลั่นว่าอยากลอยโคมกับเจ้าพี่
“เจ้าได้ลอยโคมแน่ แต่ไม่ใช่กับเจ้าหลวง” สำเภางามแผดเสียงพลางส่งสายตาใส่เมืองคุ้มจนเขาจำใจเดินตาม อนัญทิพย์เห็นดังนั้นยิ่งร้องไห้โฮ ผวาจะลุกตามแต่โดนริมบึงดึงรั้งเอาไว้ ก่อนจะกลายเป็นตบตีกันจนพวกตองนวลกรีดร้องตกอกตกใจ
เมืองคุ้มกับเสกขรลอยโคม สายตาหลายคู่ต่างพากันชื่นชมยินดี ยกเว้นตองนวลที่เข้ามาพร้อมเจ้าฟ้าเมือง มีดผู้พ่อ สีหน้าบอกบุญไม่รับทั้งคู่
“ข้าไม่มีวาสนาได้ลอยโคมกับเจ้าพี่...แต่ก็อธิษฐานว่ามีเจ้าพี่อยู่ข้างๆ เจ้าพี่คงไม่ว่ากระไรนะเจ้าคะ...
“หาเป็นอันใดไม่”
“แค่ในความคิด หมายว่าพระมหาเทวีเจ้าคงไม่หึงข้านะ”
“ข้าไม่มีสิทธิ์ดอก ตองนวล...คนที่จะรักหรือชังเจ้า หาใช่ข้า แต่คือเจ้าหลวง”
เสียงอนัญทิพย์กรีดร้อง ทุกคนหันขวับไปเห็นนางดิ้นรนจนหลุดจากริมบึงแล้ววิ่งถลามาที่ลานหน้าพลับพลา ริมบึงจะวิ่งตามแต่โดนขุนเวียงกับท้าววงษาขัดขวางข่มขู่
พอเข้าไปถึงตัวเมืองคุ้มได้อนัญทิพย์ก็กอดรัดร่ำไห้คร่ำครวญ “เจ้าพี่...เจ้าพี่ผิดสัญญากับข้า...เจ้าพี่ไม่รักข้า...เจ้าพี่ไม่รักษาสัญญา”
สำเภางามขัดใจเป็นที่สุด ไล่อนัญทิพย์ให้หลีกทางแต่ไม่เป็นผล
“ไม่! หากข้าไม่ได้ลอยโคมกับเจ้าหลวง ข้าจะฆ่าตัวตายในคืนนี้ คืนที่ผีหลวงมาร่วมสมโภชพระนครเยี่ยงที่พ่อข้าผูกคอตายในตรุ จนไอ้เจ้าหลวงบุรพคามมันพินาศนี่แหละ”
สำเภางามโกรธจัดเงื้อมือจะตบ แต่เสกขรร้องห้าม “อย่าเจ้าป้า เมื่อเจ้าทิพย์ต้องการเช่นนี้ก็จัดการให้เจ้าทิพย์เถิด ข้ามิขัด”
“ก็ได้เจ้าค่ะ แต่พระนางเจ้าจะต้องลอยโคมด้วย”
เสกขรจะปฏิเสธ แต่สำเภางามดักคอเสียก่อนว่า การนี้คือการของบ้านเมือง เสกขรจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้... ตองนวล เก็ตถวา แก้วอากาศพากันเบ้ปากมองอนัญทิพย์อย่างไม่พอใจ ส่วนริมบึงยืนน้ำตาไหลพรากอย่างคับแค้นที่ช่วยเหลือนายของตนไม่ได้เพราะท้าววงษากับขุนเวียงดึงแขนนางไว้
ooooooo
เสร็จพิธี สำเภางามกับริมบึงมาส่งเสกขรที่คุ้ม ริมบึงยังร่ำไห้ไม่หายคับแค้น ขณะที่สำเภางามบ่นอุบว่าพระมหาเทวีเจ้าไม่น่าเสียรู้คนชั่ว
“ช่างมันเถิดเจ้าป้า เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“ช่างมันเถิดมิได้ดอก ต่อไปมันจะได้ใจ คิดว่าจะทำการอันใดตามใจชอบอย่างใดก็ได้...สนตะพายมันไว้ดีกว่าก่อนจะสายเกินแก้”
“เจ้าทิพย์ไม่ใช่ควายที่เราจักสนตะพายได้ง่ายๆ”
“มันไม่ใช่ควายดอก มันเป็นอสรพิษที่พร้อมจะแว้งกัดผู้ใดก็ได้ มันฉลาดเหลือล้ำ ทำการชั่วช้าเป็นนิสัย ต่อไปมันก็จะทำชั่วหนักขึ้น...ดังคำว่าเมื่อเล็กขโมยไก่ เมื่อใหญ่ขโมยช้าง...พระนางเจ้าต้องระวังอย่าเสียรู้มันอีกนะเจ้าคะ ริมบึง ดูแลพระนางเจ้าด้วย”
ริมบึงรับคำด้วยความเต็มใจ เสกขรสงสัยว่าสำเภางามจะไปที่ใด ถามแล้วแต่นางไม่ตอบ...
สำเภางามไปที่คุ้มของเจ้าหลวง เจออนัญทิพย์รบรากับทหารเพื่อจะเข้าไปภายในเพราะเจ้าหลวงมีแขกบ้านแขกเมือง
เมื่อเห็นสำเภางาม อนัญทิพย์ยกมือไหว้พอเป็นพิธี สำเภางามไม่ได้รับไหว้แถมว่าให้อย่างชิงชัง
“ผู้หญิงดีๆเขาไม่มาหาผู้ชายกลางดึกดอก”
“จะแปลกอย่างใดเล่าเจ้าคะ ในเมื่อข้ากับเจ้าหลวงรักกัน เราเป็นผัวเมียกัน ผู้หญิงดีเยี่ยงเสกขรเทวี แต่ยอมให้เจ้าสำเภางามจับใส่พานให้ผู้ชายของคนอื่น จะนับว่าเป็นคนดีได้รึ ไยจึงไม่คิดสักนิดว่ากำลังแย่งผัวผู้อื่นอยู่”
อนัญทิพย์เชิดหน้าเดินไป สำเภางามโกรธมากกับ ความรั้นแถมหยิ่งยโสของอนัญทิพย์ แต่ไม่อยากเสียเวลาต่อปากจึงตรงดิ่งไปหาเมืองคุ้ม
มณีหยาด เจ้าฟ้าเมืองท่าคอย และน้อยอินทาอยู่กับเมืองคุ้ม พอเห็นสำเภางามเข้ามาก็กราบทำความเคารพในฐานะมารดาของเจ้าหลวง จึงได้รับคำอวยพรกลับไป
“จำเริญเถิดทุกคน ขอความเป็นมงคลจงมีแก่ท่าน”
“เจ้าแม่มาหาข้าถึงที่นี่กลางดึก มีการสำคัญอันใดหรือเจ้าข้า”
เจ้าฟ้าเกรงใจทำท่าจะกราบทูลลาแต่สำเภางามเอ่ยปากว่า
“ไม่ต้องดอกท่านเจ้าฟ้า เราก็เป็นเสมือนญาติกัน หามีอันใดต้องปิดบังกันไม่...แม่เจอเจ้าทิพย์ที่หน้าคุ้มหลวง ดีว่าแสงตามันไม่ให้เข้ามาข้างใน หาไม่ไฟคงไหม้คุ้มนี้แน่”
“เจ้าทิพย์มีการอันใดสำคัญ”
“อันใดก็อย่าใส่ใจเลย แม่มาที่นี่คืนนี้ก็เพื่อให้โหรหลวงหาฤกษ์ยามอันเป็นมงคลย้ายพระมหาเทวีเจ้าให้มาอยู่ที่คุ้มนี้ จักได้สมพระเกียรติ...แสงตา จัดเวรยามให้ดีนะ อย่าให้เจ้าทิพย์หรือสนมองค์ใดย่างกรายมาที่นี่ได้ หาไม่เจ้าจักต้องอาญา”
“พระเจ้าข้า”
หลังจากพวกเจ้าฟ้าเมืองท่าคอยกลับออกมาแล้ว ปล่อยให้สองแม่ลูกคุยกันตามลำพัง เมืองคุ้มมีใจรักอนัญทิพย์ไม่เปลี่ยนแปลงจึงพยายามขอความเห็นใจจากแม่
“เจ้าแม่ก็รู้ว่าข้ารักเจ้าทิพย์”
“รักแม่ก็ไม่ว่า เพราะแม่รู้ว่าห้ามเจ้าไม่ได้ แต่อย่าให้มันมายุ่งเกี่ยวกับการของแผ่นดิน เจ้าทำได้หรือไม่ เมืองคุ้ม”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าทิพย์ไม่ทำให้แผ่นดินเมืองทิพย์เดือดร้อนเป็นภัยดอกเจ้าข้า”
“ลูกแม่เป็นเจ้าหลวงแล้ว นอกจากจะต้องฉลาดเรื่องการศึกและการปกครอง ลูกแม่ยังต้องฉลาดเรื่องการมองคนด้วย มารยาหญิงอย่างอีทิพย์น่ะร้อยเล่มเกวียนยังน้อยไป”
เมืองคุ้มหงุดหงิด แต่ไม่กล้าแสดงออก เบือนหน้าหนีด้วยความน้อยใจ
“เจ้าแม่มีอคติต่อเจ้าทิพย์”
“ใช่...ระวังอย่าให้เรื่องที่แม่ห้ามเป็นจริงก็แล้วกัน”
สำเภางามทิ้งท้ายแล้วกลับออกมา...ด้านเจ้าฟ้าเมืองท่าคอย มณีหยาด และน้อยอินทายังพูดคุยกันอยู่มุมหนึ่งภายในคุ้มเจ้าหลวงด้วยเรื่องที่เห็นกับตาถึงความร้ายกาจของอนัญทิพย์ และความทรงอำนาจของสำเภางาม ที่เจ้าฟ้าแน่ใจว่าเพลานี้เจ้าสำเภางามน่าจะมีอำนาจมากที่สุดในเมืองทิพย์
“แต่ต่อไปไม่แน่เจ้าข้า พวกเราก็เห็นฤทธิ์ของเจ้านางอนัญทิพย์กันมาแล้ว สักวันหนึ่งถ้าเจ้านางอนัญทิพย์ขึ้นมามีอำนาจบ้าง เจ้าสำเภางามคงลำบาก”
“เจ้าสำเภางามจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ยอมให้เจ้านางอนัญทิพย์มีอำนาจ”
“น่าหวั่นใจแทน...เจ้าสองคนจำไว้นะ อำนาจมันจะมีคุณก็ต่อเมื่อเรามีบารมี หากหมดบารมี อำนาจก็ต้องหมดไป สร้างอะไรก็สร้างได้ แต่อย่าลืมสร้างบารมี”
“บารมีสร้างได้อย่างใดเล่าเจ้าคะ”
“สร้างด้วยความรัก...มิใช่สร้างด้วยความชัง”
น้อยอินทาพนมมือไหว้เจ้าฟ้า พูดจากใจว่า “ถึงข้าพระบาทจะมิได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่ก็ขอจำใส่เกล้าพระเจ้าข้า”
มณีหยาดระบายยิ้มพอใจในความอ่อนน้อมและจิตใจที่ดีงามของน้อยอินทา แต่พอเจ้าตัวหันมาเห็นนางก็เสมองไปทางอื่นด้วยความสะเทิ้นอาย
ooooooo