ตอนที่ 26
ในวันที่เสกขรเดินทางกลับเมืองทิพย์ ซึ่งนายฮาสจัดหาเรือไว้ให้ พวกอนัญทิพย์ออกมาส่งนางที่หน้าตึก นายฮาสบอกกล่าวเสกขรว่า
“เรือสำเภาจะส่งพระนางเจ้าที่ชายฝั่งทางใต้ จากนั้นพระนางเจ้าจะต้องอดทนรอจนกว่าข้าหลวงใหญ่ที่เมืองทิพย์จะมารับ”
“ครองภพเป็นเจ้าหลวงที่เมืองทิพย์ คงไม่ทอดทิ้งข้าดอก”
“เพลานี้เจ้าหลวงสละตั่งทองแล้ว ไปเป็นสามัญชน แต่อยู่ที่ใดหารู้ไม่...”
เสกขรตกใจถามเสียงสั่น “ท่านว่าอย่างใดนะ”
“เมืองทิพย์ไม่มีเจ้าหลวงปกครองแล้ว ตั่งทองว่างเว้นเจ้าหลวง พระนางเจ้ากลับไปก็ต้องไปเป็นสามัญชน อยู่อย่างลำบาก รู้เยี่ยงนี้แล้วจะเปลี่ยนใจหรือไม่”
“ไม่ได้นะ เจ้าจะเปลี่ยนใจไม่ได้ เจ้าต้องเอาเจ้าพี่กลับเมืองทิพย์...สัญญากับข้าแล้วนะเสกขร” อนัญทิพย์พูดปากคอสั่น
“ต่อให้ข้าไปถึงเมืองทิพย์แล้วต้องเป็นยาจกขอทาน ข้าก็จะกลับไป”
หลังจากเสกขรไปแล้ว อนัญทิพย์กลับเข้าตึกมาดูอาการบัวไหลที่ป่วยหนักไอเป็นเลือด
“มึงอย่าทิ้งกูนะอีบัวไหล ชีวิตกูเพลานี้เหลือมึงเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เรณุมาศตามเข้ามาเห็นสภาพบัวไหล ถามแม่ว่าเรือนแก้วยังไม่ส่งหมอฝรั่งมารักษาอีกหรือ อนัญทิพย์ส่ายหน้าน้ำตาไหลพราก จับมือบัวไหลด้วยความสงสาร
ในเวลาต่อมา อนัญทิพย์แอบเห็นเรือนแก้วพูดคุยกับม่านแก้วและม่านทิพย์ นางไม่ชอบใจแต่ไม่ได้เข้าไปซักถาม กระทั่งเผชิญหน้าเรือนแก้วก็นึกแต่เรื่องอาการป่วยของบัวไหล ถามเสียงขุ่นว่า
“หมอฝรั่งเล่า อีบัวไหลมันจะตายอยู่แล้ว”
“แก่ปานนั้น หากตายก็ทำใจเถิดเจ้าค่ะ” ตอบแล้วเรือนแก้วจะเดินไป อนัญทิพย์ไม่พอใจ พูดเรื่องที่เห็นก่อนหน้านี้
“ข้าไม่ชอบให้เจ้าพูดคุยกับหลานสาวของข้า ม่านแก้วกับม่านทิพย์ไม่ควรเกิดมาใกล้คนเยี่ยงเจ้า”
“คนเยี่ยงข้าเป็นอย่างใดรึเจ้านางอนัญทิพย์”
“ส่องกระจกก็คงเห็นความชั่วตัวเองทะลุมาทุกขุมขน ข้าคงไม่ต้องย้ำกับเจ้าดอก”
เรือนแก้วยิ้มมุมปาก ไม่ใส่ใจคำด่าของอนัญทิพย์ เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
“จะไปที่ใด...นี่มันเรือนของข้า”
“ไปดูอีบัวไหล จะได้จัดหมอฝรั่งมาได้ถูกกับโรคของมัน”
เรือนแก้วขึ้นไปเห็นบัวไหลนอนหลับ สบโอกาสแก้แค้น “กูไม่เคยลืมสิ่งที่มึงทำไว้กับกู วาจาหยาบช้าเพียงคำเดียวที่มึงเคยด่าว่ากู กูก็ไม่เคยลืม”
ขาดคำเรือนแก้วคว้าหมอนใบหนึ่งปิดหน้าบัวไหลแล้วกดลง ไม่นานร่างกระตุกก่อนแน่นิ่ง เรือนแก้วโยนหมอนไว้ที่เดิม เอานิ้วอังจมูกแล้วร้องกรี๊ด เสแสร้งตกใจตัวเนื้อสั่น
“ว้าย...ช่วยด้วยๆ บัวไหลตายแล้ว...บัวไหลตายแล้ว”
อนัญทิพย์ถลาเข้ามาเป็นคนแรก เห็นสภาพบัวไหล ตกใจคุมสติไม่อยู่ พูดทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ
“โธ่...มึงเป็นเพื่อนตายของกูมากี่สิบปี มึงไม่อยู่แล้วกูจะอยู่อย่างใด...อีเรือนแก้วมึงทำอันใดอีบัวไหล”
“ข้าเข้ามาดูอาการมัน แต่พอเข้ามา...มันก็ตายแล้ว”
อนัญทิพย์กอดศพบัวไหล เรณุมาศกับม่านฟ้า เข้ามาเห็น ต่างสลดใจกับการจากไปของบัวไหล เรือนแก้วถอยออกจากห้อง กำลังจะก้าวลงบันไดเจอปิ่นมณี
“ไม่ออกไปสมาคมหาผัวให้ลูกสาวรึ”
ปิ่นมณีโกรธมากตบหน้าเรือนแก้วดังฉาด เรือนแก้วไม่ทันระวังตัวกลิ้งตกบันได ปิ่นมณีตามมาซ้ำ ตบไม่นับ พลางพูดด้วยความแค้นเคือง
“มึงจำไว้นะอีเรือนแก้ว อีคางคก พวกกูต้องอยู่ลำบากก็เพราะมึง เมืองทิพย์ล่มจมก็เพราะคนเยี่ยงพ่อมึงปั่นหัวทุกคนให้วุ่นวาย”
“มึงทำชีวิตมึงต่างหากปิ่นมณี เมืองทิพย์ถึงได้เป็นเยี่ยงนี้ อย่ามาโทษกู วันนี้กูเจ็บ กูจะทำพวกมึงเจ็บอีกหลายเท่า”
เรือนแก้วอาฆาตแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไป ปิ่นมณีกำมือแน่น แค้นเคืองถึงที่สุด...แล้วคืนนั้นเรือนแก้วก็ออดอ้อนและยั่วยุนายฮาสให้ตัดเบี้ยเลี้ยงพวกอนัญทิพย์ให้อดตาย ตนเชื่อว่าข้าหลวงใหญ่คงไม่พอใจเชลยจากเมืองทิพย์ ท่านข้าหลวงคนใหม่ต้องพอใจในความกล้าหาญของนายฮาส บางทีผัวตนอาจได้เป็นข้าหลวงปกครองที่นี่
นายฮาสยิ้มพอใจ กอดหอมนางหลายครั้ง เรือนแก้วแกล้งทำเอียงอาย ซ่อนสายตาเจ้าเล่ห์ที่ปั่นหัวเขาได้
ooooooo
ที่เมืองทิพย์ เสกขรได้พบพวกริมบึงและได้เข้าไปในเมืองพร้อมครองภพกับทองพญาเพื่อขอสร้างกู่ในสุสานหลวงเก็บกระดูกเมืองคุ้ม ปรากฏว่าข้าหลวงดั้งขอไม่ยินยอมเพราะจะใช้สุสานเป็นที่สวนสนามของไพร่พล แต่ให้สร้างกู่นอกเมืองและสถาปนาเสกขรเป็นเจ้านางหลวง คืนอำนาจให้เจ้านายเมืองทิพย์ เพื่อยุติปัญหาพวกก่อขบถตามหัวเมือง
ในระหว่างที่พวกเสกขรช่วยกันสร้างกู่ ไม่คาดคิดว่าจะได้พบตองนวลในสภาพฟั่นเฟือนจำใครไม่ได้สักคน เสกขรเศร้าสลดใจ รำพึงไล่หลังตองนวลที่เดินสะเปะสะปะตามประสาคนเสียสติ
“โธ่เอ๊ย...ข้าไม่คิดเลยว่าชะตากรรมคนเมืองทิพย์จะเลวร้ายเยี่ยงนี้ เพียงไม่นานก็ไม่มีผู้ใดรู้จักข้าแล้ว”
“คนเก่าแก่ก็ตายหมด หรือไม่หนีตายไปนอกเมือง คนที่อยู่ดั้งขอเกณฑ์มาจากที่อื่น ให้มาทำนาแล้วใส่สำเภาไปขายอีกทอดหนึ่ง”
“ถึงเจ้าแม่จะนั่งเมืองก็ไม่มีคนหมอบกราบรับใช้ ไม่มีพระราชอำนาจใดๆอีกแล้ว”
“พวกมันคงหมายให้เจ้าแม่เป็นหุ่นเชิดของพวกมัน”
เมื่อมั่นใจเช่นนั้นแล้ว เสกขรอยู่เป็นเจ้านางหลวงได้ไม่นานก็ขอลาออกจากตำแหน่งและกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายกับริมบึง...
หลายปีผ่านไป อนัญทิพย์ไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะกลับเมืองทิพย์ ชีวิตของนางอยู่เพื่อรอคอยวันนั้นอย่างทุกข์ตรม ส่วนปิ่นมณีกับเรือนแก้วมีปากเสียงกันบ่อยขึ้น เรือนแก้วเจ็บแค้นวางแผนให้ลูกสาวของปิ่นมณีหนีตามผู้ชายไป ปิ่นมณีเสียใจมาก ขณะที่ม่านฟ้าซึ่งยังเลิกเหล้าไม่ได้ เมามายจนตกบันไดและกระอักเลือดตาย
ไม่นานเรือนแก้วก็ได้รับผลกรรม นายฮาสจับได้ ว่านางคบชู้ จึงเนรเทศลงเรือไปกับพวกทหารให้ไป บำเรอกามในเรือ จากนั้นเขาอนุญาตให้พวกอนัญทิพย์กลับเมืองทิพย์ได้ แต่บอกว่าเมืองทิพย์ไม่มีเจ้าหลวงไม่มีตั่งทอง หอคำกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชการไปแล้ว
เมื่ออนัญทิพย์ ปิ่นมณี และเรณุมาศมาถึงปากอ่าวก็เจอกับริมบึงที่ยังเฝ้ารอการกลับมา ริมบึงพาทุกคนไปหาเสกขร ครองภพ และทองพญา ซึ่งเสกขรให้ฝังกระดูกม่านฟ้าไว้ที่นี่และให้ทุกคนอยู่ด้วยกันที่เรือนของครองภพ แต่อนัญทิพย์ปฏิเสธและร่ำร้องจะไปที่หอคำ
“เชื่อข้าเถิดเจ้าทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว อนิจจังไม่เที่ยงแท้เป็นสัจธรรม”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงตายตาไม่หลับ”
“ไม่มีผู้ใดรู้จักเรา...ไม่ว่าในเมืองทิพย์หรือที่นี่”
“แต่พวกเราเคยเป็นนายเหนือหัวของพวกเขา ไยจึงไม่รู้จักเล่า”
“ข้าบวชชีอยู่ยังถูกพวกมันสั่งให้สึก ข้าก็เลยได้มารับใช้พระนางเจ้า ครองภพกับทองพญาก็ค้าขายขึ้นล่องระหว่างเมือง”
“ข้าไปมาทั่วแล้ว...หามีคนจำได้ไม่” ทองพญายืนยัน
“คนเก่าคนแก่ในเมืองทิพย์ ข้าไทในฝ่ายใน ขุนทหารต่างๆไม่ได้พบหน้าเลยรึ”
“ตายกันหมด หรือไม่คงอพยพไปที่อื่นหมดแล้ว แลไปทางใดก็เห็นแต่ไอ้พวกดั้งขอกับคนเชื้อเครืออื่น เมืองทิพย์เหลือแต่เพียงชื่อเท่านั้น”
“เป็นตายอย่างใด ข้าก็ต้องไปเห็นกับตาให้ได้”
อนัญทิพย์ดึงดันและแอบหนีไปในที่สุด ปิ่นมณีรู้ตอนเช้าอีกวันก็รีบติดตาม อนัญทิพย์ไปเห็นสภาพหอคำสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม มีเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดเจ้าหลวงเจ้านางและสิ่งของสวยงาม รวมทั้งตั่งทองที่นางสุดปรารถนา
ทหารยามไม่ยอมให้อนัญทิพย์เข้าใกล้สิ่งของเหล่านั้น แม้นางจะบอกว่าตนคือเจ้านางอนัญทิพย์ ก็ไม่มีใครรู้จัก ทหารยามจับนางโยนออกมาอย่างไม่ปรานี
อนัญทิพย์ไม่ถอดใจ ป้วนเปี้ยนอยู่แถวหอคำจนกระทั่งได้เจอตองนวล แต่ตองนวลจำอนัญทิพย์ไม่ได้ พูดเพ้อเจ้อแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกก่อนวิ่งหายไป ส่วนอนัญทิพย์ถูกทหารยามผลักไสออกมาอีก นักท่องเที่ยวสงสารโยนเศษสตางค์ให้เอาไปซื้อข้าวกิน อนัญทิพย์ตวาดใส่อย่างแค้นเคือง
“ข้าไม่ใช่ขอทาน จำใส่หัวพวกเจ้าไว้ ข้าคือเจ้านาง อนัญทิพย์ นายเหนือหัวของพวกเจ้า”
นักท่องเที่ยวพากันส่ายหน้า บางคนหัวเราะแล้วเดินซุบซิบกันไป อนัญทิพย์สะกดใจ รอเวลามืดค่ำลอบเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ เดินมองเสื้อผ้าที่จัดแสดงไว้ใน ตู้กระจก สะเทือนใจจนน้ำตาไหลพราก เนื้อตัวสั่นสะท้านแทบหมดแรงยืน
อนัญทิพย์กำหมัดทุบกระจกสุดแรงแล้วดึงชุดสวยงามของตนออกมาด้วยมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด เสียงกระจกแตกทำให้ทหารยามแตกตื่น เป็นเวลาที่ปิ่นมณีมาถึงพอดี ทหารเข้ามาสกัด ไล่นางกลับไปก่อนจะถูกยิงตาย เพราะที่นี่เป็นเขตหวงห้าม ยามค่ำคืนเข้าได้เฉพาะผู้ที่ได้รับ คำสั่งจากท่านข้าหลวง
ปิ่นมณีละล้าละลังด้วยความเป็นห่วงแม่...อนัญทิพย์ใส่ชุดสวยงามของตนเดินอ่อนแรง เลือดแดงฉานที่มือยังไหลไม่หยุด หยดเป็นทางจนถึงตั่งทอง ขึ้นนั่งเอนกาย รำพึงเสียงแผ่ว
“ตั่งทองของกู ตั่งทองของกู”
เสียงหวอแจ้งเตือนภัยดังสนั่น ทำให้ทหารละจากปิ่นมณี ต่างถืออาวุธวิ่งไปในพิพิธภัณฑ์ ประทับปืนบนบ่าเล็งไปที่อนัญทิพย์
ปิ่นมณีฝ่ากลุ่มทหารเข้ามาอย่างหมดความกลัว เห็นอนัญทิพย์นั่งนิ่งบนตั่งทอง กรีดร้องเรียกเจ้าแม่พร้อมกับวิ่งถลาไปเขย่าร่างครู่หนึ่งก่อนจะถอยมาก้มกราบแทบเท้าแม่ซึ่งขาดใจตายบนตั่งทองที่ปรารถนามาโดยตลอด
ooooooo
–อวสาน–