ตอนที่ 5
อธิปนำเอกสารการซื้อขายไปให้หม่อมต่วนด้วยตัวเองโดยบอกว่าอ่านเอกสารแล้วมีข้อสงสัยอะไร ให้แจ้งตนได้ไม่ต้องผ่านพวกชั้นผู้น้อย เขาปรายตามองสุรคมที่มาด้วยแบบข่มในที หม่อมต่วนบอกว่า ตัวเองอ่านหนังสือไม่คล่อง ยิ่งภาษากฎหมายยิ่งไม่เข้าใจ คงต้องให้ทนายช่วย
“ไม่เป็นไร เสด็จเสนาบดีท่านไม่ได้ทรงเร่งรัดอะไร หม่อมอ่านตามสบายเถอะ”
อรุณวาสีถือโอกาสเชิญท่านชายทั้งสองรับประทานอาหารเย็น อธิปขอตัวไปทานกับเมราที่เรือน แต่อดหยอดทีเล่นทีจริงไม่ได้ว่าอยากให้เธอไปด้วย หม่อมต่วนเหล่มองไม่พอใจ อรุณวาสีขอตัวเพราะเขาน่าจะคุยเรื่องเสกสมรสกับเมรามากกว่า สุรคมแอบขำที่พี่โดนย้อนนิ่มๆ
อธิปมาหาเมรากลับบ่นว่าโล่งใจ กว่าจะปลีกตัวจากหม่อมต่วนได้ เบื่อคุยด้วย หม่อมเรี่ยมยิ้มแย้มเชื้อเชิญให้รับประทานอาหาร อธิปทำรุ่มร่ามจับมือเมรา เธอหน้าเสียค่อยๆดึงมือออก
หม่อมเรี่ยมตัดสินใจเอ่ยปากถึงเรื่องสินสอด อธิปโอ้อวด “หม่อมไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมไว้หมดแล้ว รับรองว่าสมเกียรติของหญิงเมทุกประการ ไม่ให้ใครมาดูถูกดูแคลนได้หรอก”
เมราหันไปยิ้มกับหม่อมเรี่ยมด้วยความดีใจ เรื่องที่กังวลก็จบลงเสียที...ด้านสุรคมคุยอยู่กับอรุณวาสีที่ตำหนักใหญ่ เล่าถึงสินสอดที่อธิปให้ตนจัดการให้เมรา นอกจากเงินมากมายแล้วยังมีที่ดินแถวหัวหมากและคลองตันร่วมร้อยไร่ เครื่องเพชรประจำราชสกุลอีกชุดใหญ่ คงเป็นที่กล่าวขวัญกันทั้งปี อรุณวาสีทึ่งอยากให้ถึงวันงานเร็วๆ สุรคมพูดอย่างน้อยใจว่า ถ้าเป็นงานตนคงมีแค่แหวนวงเดียว ไม่รู้จะมีใครต้องการ อรุณวาสีเห็นใจ
“จะมากจะน้อยก็ไม่สำคัญเท่าความรักที่มีให้กันหรอกค่ะ ถ้าเป็นหญิงถึงไม่มีสมบัติพัสถานอะไรเลย แต่ถ้ามีความรักความซื่อสัตย์ให้หญิง หญิงก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะค่ะ”
“จริงหรือคะ ถ้าผู้หญิงทุกคนคิดเหมือนหญิงก็คงดีนะคะ”
อรุณวาสีเขินอายคิดว่าท่านชายมีใจให้ เขาเอ่ยถามเธอกลับมาอยู่บ้าน อุรวศีอยู่ในวังคงเหมือนอยู่คนเดียว อรุณวาสีไม่ได้เฉลียวใจคิดว่าทรงเป็นห่วงน้องสาว ทูลว่าอุรวศีมีจันอยู่เป็นเพื่อน แล้วพลั้งปากพูดเรื่องหม่อมสลวย แต่ก็คิดว่าไม่เป็นอะไรท่านชายอาจมีทางช่วยเหลือ
เย็นวันนั้น อนลได้รับจดหมายที่อุรวศีฝากจันมาเพื่อเอาไปให้หม่อมสลวย แล้วเขาก็ฝากจดหมายของตัวเองกลับไปให้ท่านหญิง จันไม่กล้ารับเกรงโดนเอ็ดอีก แต่พออนลยื่นเงินให้ถึงสามบาทก็อดคว้าไว้ไม่ได้...พอกลับมารายงานอุรวศี ก็ค่อยๆวางจดหมายของอนลไว้บนโต๊ะแล้วคลานเข่ากลับออกไปก่อนจะโดนเอ็ด
อุรวศีบ่นพึมพำว่าจันล้นขึ้นทุกวัน ก่อนจะหันมามองจดหมายของอนล ตัดสินใจอยู่นานกว่าจะหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน เป็นคำกลอนหวานล้ำระรื่นรส...อ่านแล้วให้ตงิดใจนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเพลงยาว “ไม่ต้องสงสัยแล้ว เธอบังอาจเกี้ยวฉันรึ ท้าวแสนเปื้อน”
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน อนลรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป พร่ำพูดกับต้นไม้ในสวน กลัวว่าท่านหญิงจะกริ้วที่ตนบังอาจ ตนจะทำอย่างไรดีต่อไป คล้องกับถึกแอบมองด้วยความหวั่นวิตกว่า เจ้านายของพวกเขาถูกผีเข้า คิดหาวิธีช่วยถึงขั้นจะไปหาน้ำมนต์ทุกวัดมาปราบ
ooooooo
หลายวันผ่านไป อธิปกับเมราเข้ามากราบเสด็จในวังทูลเชิญเป็นเกียรติในงานเสกสมรสที่กำลังจะมาถึง เสด็จไม่รับปากเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ให้ศีลให้พรและมอบของรับไหว้เป็นแหวนคู่ชายหญิง มรกตน้ำงามเม็ดใหญ่ อทริกาซึ่งอยู่เวรปรนนิบัติตาวาวด้วยความอิจฉา
หลังจากนั้นอทริกามาเล่าให้ติโลตตมาฟัง เธอแค้นใจมากเพราะเคยทูลขอแหวนนี้จากเสด็จแต่ท่านไม่ให้ กลับเอามาให้ลูกเมียน้อย ระหว่างนั้นอุรวศีเดินผ่านมาเห็นสีหน้าพี่ๆคุยกันเครียด ไม่อยากมีเรื่องด้วยจึงเดินอ้อมไปอีกทาง ไม่วายติโลตตมาแกล้งพูดลอยๆให้ได้ยินว่าพวกลูกเมียน้อยรู้จักแต่กอบโกย ไม่ได้ต่างจากริ้นไรน่ารังเกียจ อุรวศีชะงัก จันซึ่งเดินตามมาหันไปจ้องจึงถูกอทริกาตวาดใส่ที่กล้าดีมามองหน้า ท่านหญิงองค์พี่พูดกระทบเหน็บแนม
“แต่เป็นลูกเมียน้อยก็ยังดีนะหญิงนิด กลัวแต่ว่าจะไม่ใช่ลูกเท่านั้น ก็แม่มันมั่วไม่เลือกหน้า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นลูกจริงๆ”
โดนด่าแม่เข้าอีกคราวนี้อุรวศีไม่ทน ทำทีพูดกับจันว่าพ่อลูกกันก็ควรมีนิสัยคล้ายกันใช่ไหม จันรับมุกใช่เพคะ “แล้วถ้านิสัยใจคอผิดพ่อผิดแม่เหมือนดำกับขาว เราจะเชื่อว่าไม่ใช่ลูกจริงๆได้ไหมจัน”
“ได้สิเพคะ มิแน่ว่าอาจจะเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงก็เป็นได้นะเพคะ”
ติโลตตมาโกรธตวาดถามหมายถึงใคร อุรวศีกล่าวยิ้มๆ “ก็คงหมายถึงคนเดียวกับที่พี่หญิงกลางพูดถึง เมื่อครู่กระมังคะ”
สองท่านหญิงผู้พี่เต้นผาง จันทูลเชิญอุรวศีรีบไปส่ง เมรีก่อนจะกลับไปเสีย อทริกาเข่นเขี้ยวน่าเอามะพร้าวห้าว ยัดปาก ติโลตตมาแค้นใจต้องมีวันนั้นสักวันแน่
เมราต้องไปที่วังอื่นอีกจึงไม่มีเวลาคุยกับอุรวศี อธิปยิ้มกรุ้มกริ่มแสดงท่าทีเจ้าชู้ชวนเธอย้ายไปอยู่ที่วังเดียวกัน จะได้คุยกับเมราได้ตลอด อุรวศีย้อนนิ่งๆว่า “ขอบพระทัยเพคะ แต่หญิงคิดว่าตำหนักของเสด็จป้าน่าจะปลอดภัยกว่า”
อธิปหน้าตึงเดินไปรอที่รถ หม่อมเรี่ยมหน้าเสียเกรงอธิปโกรธรีบเดินตามไป เมราเอ็ดน้องเบาๆ ไม่เจอตั้งนานปากคอไม่เปลี่ยน อุรวศีขอโทษไม่ชอบคนเจ้าชู้จริงๆ แต่เมรากลับคิดว่าจริงอย่างที่อธิปพูด เธอน่าไปอยู่ด้วยกันเพราะรู้เรื่องหม่อมสลวยแล้ว อุรวศีถอนใจขอพึ่งตัวเองให้ถึงที่สุดก่อน ถ้าไม่ไหวจะไปรบกวน เมรายิ้มยินดีและมีความคิดว่า
“แต่ถ้าจะให้ดี พี่ว่าเธอควรหาที่พึ่งพิงจะดีกว่า เอาไว้พี่เจอใครที่เหมาะสมกับเธอ แล้วพี่จะรีบมาบอกทันทีเลยนะ”
อุรวศีอ่อนใจไม่อยากคิดเรื่องนี้...ไม่เพียงเมราที่คิด เสด็จเองก็คิดจะหาคู่ที่เหมาะสมให้อุรวศี เพื่อจะได้ไม่ถูกใครรังแก สร้อยรู้ใจ เสด็จจะใช้งานเสกสมรสของเมรามองหาเจ้านายที่คู่ควรให้กับอุรวศี เสด็จยิ้มพอใจที่อยู่ด้วยกันมานาน พูดนิดเดียวก็เข้าใจ
ooooooo
พอเสร็จงานราชการที่พิษณุโลก พระยารัชปาลี พาอนลแวะบ้านพระยาไกรที่นครสวรรค์ คุณหญิงไม่ค่อยสบายแต่ก็ออกมาต้อนรับตามมารยาท ดวงแขตื่นเต้นดีใจจัดที่พักรับรองให้
อนลเห็นคุณหญิงไม่ค่อยสบายจึงช่วยประคองกลับห้องเพื่อนอนพัก คุณหญิงยิ่งปลื้มความอ่อนโยนมีน้ำใจของเขา ระหว่างประคองมือของอนลสัมผัสถูกมือของดวงแข หญิงสาวเขินอายโดยที่เขาไม่รู้สึกอะไร คุณหญิงรีบเปิดโอกาสบอกลูกสาวให้พาอนลเที่ยวชม ละแวกนี้ แต่อนลกลับขอตัวสะสางงาน ดวงแขหน้าหม่นปนน้อยใจ...คุณหญิงปลอบให้ใจเย็นยังมีเวลา
หลังมื้อเย็น พระยาไกรเอาเครื่องดนตรีจะเข้มาให้อนลเล่นแก้เหงา เขานึกได้ว่าต้องทำธุระส่งจดหมายของอุรวศีให้หม่อมสลวย ที่หน้าซองจ่าหน้าถึงบุญทัน ค้าขายซุง
รุ่งเช้า อนลเลียบเคียงถามดวงแข เธอเห็นว่าแค่พ่อค้าจะต้องไปด้วยตัวเองทำไม จะให้บ่าวไปตามตัวมาพบ เขาอ้างไม่อยากเอิกเกริกอีกอย่างเจ้านายทรงไหว้วานต้องทำด้วยตัวเอง ดวงแขได้ยินว่าเจ้านายก็เข้าใจว่าต้องเป็นราชการสำคัญอยากได้หน้าบ้าง จึงตามทนายหน้าหอให้มารับใช้อนล ชื่อนายผึ่งเป็นชาวปากน้ำโพ กว้างขวางรู้จักคนทั้งเมือง อนลยิ้มขอบใจ หญิงสาวปลื้มเป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มแบบนี้จากเขา
นายผึ่งพาอนลพายเรือมาตามลำคลอง พูดอธิบาย “ละแวกโน้นเป็นย่านค้าขาย ผู้คนพลุกพล่าน เรือนแพของเถ้าแก่บุญทันใหญ่โตนัก ไม่มีใครไม่รู้จักดอกขอรับ เว้นแต่จะคนละบุญทันกันเท่านั้นเอง แต่ถ้าชื่อบุญทันเป็นพ่อค้าซุง น่าจะมีอยู่คนเดียวนี่ล่ะขอรับ”
อนลเริ่มมีความหวัง ยิ่งรู้ว่าบุญทันร่ำรวยมาก ก็รู้สึกสบายใจที่อุรวศีจะได้หมดห่วงหม่อมแม่ แต่ก็แย็บถามว่าบุญทันมีลูกเมียหรือยัง นายผึ่งเล่าว่า เมื่อก่อนไม่มี อยู่คนเดียว แต่เมื่อไม่นานได้ยินว่าเพิ่งแต่งเมียเข้ามา น้อยคนนักที่จะเห็นหน้าเมียของเขา
ระหว่างนั้น สลวยกำลังทำอาหารอยู่ในครัว บุญทันเข้ามาช่วยหยอกเย้าราวข้าวใหม่ปลามัน แต่พอมีเสียงคนมาเรียกหน้าเรือน สลวยรีบหลบด้วยยังไม่วางใจ...นายผึ่งบอกบุญทันว่าพาผู้ใหญ่จากพระนครมาหา พอบุญทันเห็นอนลในชุดข้าราชการก็รีบยกมือไหว้เชื้อเชิญขึ้นบ้าน นายผึ่งรอที่เรือ บุญทันนั่งพินอบพิเทาที่พื้น อนลต้องขอให้ขึ้นมานั่งข้างบน พระพุทธเจ้าหลวงท่านทรงยกเลิกการหมอบกราบแล้ว สลวยแอบมองด้วยความหวั่นใจ
อนลไม่รอช้าบอกว่าตนถือหนังสือมาจากหม่อม เจ้าหญิงอุรวศี บุญทันหน้าซีดทันที
“ไม่ต้องกลัวฉันไม่ได้บอกใครในเมืองนี้ ขอฉันพบหม่อมสลวยสักครั้งได้ไหม จะได้นำความกลับไปทูลท่านหญิง ท่านทรงคิดถึงหม่อมแม่มาก”
ทันใดนั้นเองสลวยตัดสินใจออกมาจากที่ซ่อน ถามทุกข์สุขลูกสาวทันที อนลดีใจที่ได้เจอมอบจดหมายแก่เธอ แต่เธอกลับให้เขาช่วยอ่านให้ฟัง
“ได้ขอรับ...ถึงแม่ หญิงฝากหนังสือมากับคนรู้จัก เรื่องของแม่รู้ไปถึงหม่อมใหญ่ หญิงจึงถูกเรียกตัวไปว่ากล่าว หม่อมใหญ่กล่าวโทษให้หญิงออกจากตำหนักเสด็จป้า อาศัยว่าเสด็จป้าทรงพระเมตตา หญิงจึงยังอยู่ต่อ แม่ไม่ต้องห่วง หญิงคิดถึงแม่มาก อยากจะไปหาแม่แต่จนใจมิรู้จะไปอย่างไร ขอให้แม่อยู่ดีมีสุข หญิงจะรออยู่ทางนี้จนกว่าพี่ชายจะกลับมา อุรวศี”
สลวยฟังแล้วน้ำตาไหลพรากคิดว่าลูกอยู่ในวังแล้วจะไม่ถูกรังแก สลวยให้อนลเลิกเรียกตนว่าหม่อม เพราะตนไม่ได้เป็นหม่อมแล้ว ส่วนเรื่องที่เขาถามว่าตนจะทำอย่างไรต่อไป ตนจนใจจริงๆ จะพาลูกมาอยู่ด้วยก็เป็นการหมิ่นเกียรติ
อนลเข้าใจขอให้ตอบจดหมายกลับไปให้ท่านหญิง สลวยบอกว่าตนพออ่านได้แต่เขียนไม่ได้ วานเขาช่วยเขียนแทน อนลยินดีและรู้สึกสงสารทั้งสลวยและอุรวศี
ผ่านไปสักครู่ บุญทันเดินมาส่งอนลที่ท่าน้ำ ขอร้องอย่าบอกใครเรื่องสลวยอยู่ที่นี่เพราะตนไม่อยากถูกพรากเธอไปอีก แล้วเล่าอดีตความรักของตนกับสลวยให้ฟัง อนลถามเขาไม่มีเมียมีลูกเลยหรือ บุญทันยอมรับว่าเคยถูกพ่อแม่จับเข้าหอ แต่ด้วยความไม่รักจึงไม่ใยดีจนเธอหนีไปมีผัวใหม่ อนลฟังแล้วทึ่งรับปากจะไม่แพร่งพรายให้ใครฟังและจะกำชับนายผึ่งไม่ให้พูดเช่นกัน
ooooooo
อุรวศีนั่งอ่านหนังสือเรื่องท้าวแสนปมซึ่งเป็นหนังสือที่โปรดปราน เห็นจดหมายที่อนลเขียนคั่นหน้าอยู่ ให้นึกถึงแม้จะเคืองที่เป็นเพลงยาวเกี้ยวพาราสี แต่ก็เห็นแก่ความดีที่ช่วยเรื่องแม่จึงอภัยให้ ขณะนั้นเองจันเคาะประตูเข้ามา จึงรีบเก็บจดหมายไว้ในหนังสือซุกเข้าใต้หมอน
จันเข้ามาทูลว่าเสด็จเรียกพบ อุรวศีจึงเดินนำออกจากห้องแล้วหันมาใส่กุญแจประตู จันแปลกใจอยู่ในวังไม่น่ากลัวขโมย ท่านหญิงให้เหตุผลว่าทำให้เป็นระเบียบติดเป็นนิสัย แต่พออุรวศีกับจันเดินไป ติโลตตมาก้าวออกมายิ้มอย่างมีเลศนัย ในมือมีกุญแจสำรองไขเข้าไปในห้อง
เสด็จเรียกอุรวศีมาทำหน้าที่แทนอทริกา ซึ่งลาป่วย
ท่านให้เธออ่านหนังสือให้ฟังเพลินๆ ระหว่างนั้นอทริกาไม่ได้ป่วยจริงแต่ออกไปดูละครปรีดาลัยกับสำอาง กลับมายิ้มแย้มพูดคุยถึงพระเอกละครว่าหล่อเหลือร้าย ติโลตตมาเดินมาได้ยินเอ็ดน้องร่วมมารดาที่ติดละครถึงขนาดโกหกเสด็จป้า แล้วหันไปต่อว่าสำอางเป็นคนเสี้ยม สำอางยกมือไหว้กลัวลานคลานหลบไป
ติโลตตมาโกรธที่น้องไม่อยู่ช่วยเหลือกัน อทริกางง มีเรื่องอะไร ท่านหญิงผู้พี่ชวนไปคุยในห้องลับตาคน ส่งจดหมายที่ค้นเจอในห้องอุรวศีให้ อทริกาอ่านแล้วสะใจจะเอาไปฟ้องเสด็จแต่ติโลตตมาว่าไม่ใช่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นตนจะกลายเป็นขโมย ต้องทำให้อุรวศีรับโทษคนเดียว
คืนนั้นอุรวศีให้จันเข้ามานอนด้วย เพราะเห็นว่านอนรวมกับข้าหลวงคนอื่นก็ไม่มีใครคุยด้วย ขณะนั้นเองท่านหญิงเหลือบเห็นหนังสือที่ซุกไว้ใต้หมอนออกมาวางอยู่ข้างหมอน ก็รีบเปิดหาจดหมายของอนลแต่ไม่เจอ จึงแน่ใจว่ามีคนเข้ามาค้นห้อง คิดหนักหาวิธีแก้ปัญหาที่จะตามมา
อุรวศีมาเคาะห้องติโลตตมาขอกระดาษที่หยิบจากในห้องตนคืน ติโลตตมาเสียงดังข่มที่หาว่าตนเป็นขโมย อทริกาช่วยเสริมว่าขโมยต้องเป็นคนชั้นต่ำ อุรวศียิ้มอย่างมีเลศนัย
“หญิงเรียนคุณสร้อยให้ทราบแล้ว เธอเรียกข้าหลวงทุกคนมาถาม ทุกคนมีพยานยืนยัน เว้นแต่พี่หญิงนิดกับสำอางที่ออกไปข้างนอก ส่วนพี่หญิงกลางไม่ได้ลงไปข้างล่างเลยจนเย็นถูกไหมคะ”
ติโลตตมาโวยตนมีอะไรทำบนห้อง อุรวศีถือว่าถ้าอยู่บนห้องต้องเห็นว่ามีใครเดินผ่านไปยังห้องตนเพราะห้องอยู่ก่อน หญิงกลางปัดว่าไม่เห็น อุรวศีต้อน แสดงว่าไม่มีใครนอกจากเธอ
“เอ๊ะ! แม่คนนี้กล้าดียังไงมาซักไซ้ไล่เรียงฉัน ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ข้าวของเธอไม่รู้จักดูแลให้ดีเอง จดหมายหายไปจะมาโทษใคร”
อุรวศีนิ่วหน้าไม่ได้พูดสักคำว่าเป็นจดหมาย แค่พูดว่ากระดาษ อทริกาช่วยเถียงแทนว่ากระดาษก็คือกระดาษจดหมาย อุรวศียิ้มอย่างมั่นใจว่าสิ่งที่คิดไม่ผิด ติโลตตมาโวยกลบเกลื่อนไล่ให้ไปพ้นหน้าอย่าให้เสนียดจัญไรมาติดห้องตน อุรวศีโต้นิ่งๆ
“ไม่จริงค่ะ เสนียดจัญไรอยู่ที่คนขโมยไม่ได้อยู่ที่เจ้าของทรัพย์”
ติโลตตมาโกรธมากแผดเสียงไล่ เจ็บใจที่เสียหน้าแล้วยังโดนย้อนให้เจ็บอีก...จันรู้สึกผิดที่เป็นคนเอาจดหมายของอนลมาให้ ทำให้ท่านหญิงต้องเดือดร้อน อุรวศีไม่โทษจันเพราะตนก็ผิดที่เก็บจดหมายไว้ แต่ถึงอย่างไรตนก็ไม่เคยตอบกลับหรือแสดงสิ่งใดให้เสื่อมเสีย นึกถึงคำพูดของอนลที่ว่าถ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดจะกลัวอะไร ถึงใครจะประณามก็ไม่ได้ทำให้ถูกกลายเป็นเรื่องผิดอยู่ดี ตนจะทูลเสด็จป้าตามจริง คำสัตย์เป็นดั่งเกราะกำบังตน
ooooooo
เช้าวันใหม่ เสด็จแปลกใจที่สาวๆมาพร้อมหน้าหันไปเหน็บกับสร้อยว่าท่าทางฝนจะตกใหญ่เสียกระมัง อุรวศีเข้าช่วยประคองถามเสด็จป้าหายประชวรแล้วหรือ ท่านพยักหน้ารับแล้วว่าวันนี้มากันพร้อมหน้าก็ดี ให้อุรวศีขับเพลงให้ฟังกัน ติโลตตมาโพล่งขึ้นว่าไม่อยากฟัง
อุรวศีชะงักเตรียมใจตั้งรับ ติโลตตมากลับบอกว่าอยากฟังอุรวศีอ่านหนังสือนิทานมากกว่า แล้วเลือกพระราชนิพนธ์เรื่องท้าวแสนปม อทริการีบเสริมว่าหนังสือนี้อยู่ที่ห้องอุรวศี ตนกับพี่หญิงจะไปเอาเป็นเพื่อน สร้อยมองอย่างสงสัยว่าสองท่านหญิงจะมาไม้ไหน
ติโลตตมากับอทริกาเร่งให้อุรวศีรีบเดินไปหยิบหนังสือ เธอรู้ว่ากำลังจะเป็นเหยื่อให้พี่ๆตะครุบ พยายามใช้ความสงบตั้งรับ...พอเดินกลับเข้ามาในห้องเสด็จป้า ติโลตตมาก็แอบโยนจดหมายลงพื้นทั้งสองฉบับข้างหลัง อุรวศี อทริกาแกล้งทักเสียงดังให้เสด็จได้ยิน
“หญิงหลง เธอทำจดหมายตกจากหนังสือ”
อุรวศีรู้ว่าเริ่มแล้ว ติโลตตมาก้มเก็บแล้วยิ้มหยัน “เขียนไว้ยาวเหยียดทีเดียว เหมือนเพลงยาว เธอเล่นเพลงยาวกับใครหรือ”
“เราเดินมาด้วยกัน พี่หญิงเอาเวลาที่ไหนมาอ่านคะ ถึงได้รู้ว่าเขียนไว้ยาวเหยียด ไหนว่าเจอกระดาษตกจากหนังสือไม่ใช่หรือ”
อทริกาเถียงแทนหาว่าพวกตนโกหก เห็นชัดๆว่าทำกระดาษตกไว้ อุรวศีโต้ทันทีว่าตนไม่ได้ทำตกแต่พี่หญิงกลางเป็นคนเข้าไปค้นห้องนอนตนแล้วขโมยจดหมายมา ติโลตตมาโกรธที่ถูกชิงฟ้องก่อนจะโวย เสด็จปรามจะเถียงกันทำไม และให้เอากระดาษมาให้ดู อุรวศีสบตากับสร้อยเชิงรับมือได้ ติโลตตมารีบเข้าไปยื่นจดหมายทั้งสองฉบับให้เสด็จป้าแล้วทูลฟ้อง
“กระดาษนี่ตกจากหนังสือของหญิงหลงเพคะ เขียนเหมือนเพลงยาว มิรู้ว่าหญิงหลงเล่นเพลงยาวอยู่กับใคร”
เสด็จเปิดจดหมายอ่านจนจบทั้งสองฉบับครู่หนึ่ง แล้วพับวางไว้ข้างตัว เอ่ยกับอุรวศีว่า อ่านพระราชนิพนธ์ให้ป้าฟังดังๆ ติโลตตมาตกใจที่เสด็จเรียกแทนตัวว่าป้า แสดงว่าเข้าข้างอุรวศี
“เสด็จป้าทรงลำเอียง หลักฐานชัดขนาดนี้กลับไม่ยอมไต่ถามซักคำ”
สร้อยถอนใจรู้ดีว่าปกติเสด็จโกรธง่ายหายเร็ว แต่ถ้าโกรธจริงจะนิ่ง ท่านหญิงทั้งสองอยู่มานานไม่รู้พระนิสัยบ้างเลย เสด็จพูดกับสร้อย “ไปบอกนางสาวๆ พวกนั้นว่าไม่ต้องฟังคำสั่งของหญิงกลาง มีเรื่องใดอยากพูดจากับหญิงหลงก็พูดได้เหมือนเดิม”
อทริกาอุทานเสด็จป้าทรงทราบ ติโลตตมาถลึงตาใส่ทำนองพูดทำไม เสด็จหันมากล่าว “ส่วนเธอ หญิงติโลตตมา คราวหลังอย่าได้เข้าไปรื้อค้นห้องโดยเจ้าของเขาไม่รู้อีก ทำอย่างนี้มันเป็นการเสื่อมเกียรติของตัวเธอเองแล้วยังทำให้ญาติพี่น้องถูกครหาไปด้วยว่าไม่รู้จักอบรมเธอ”
ติโลตตมาโมโหมากยังยืนยันว่าไม่ได้ขโมย จดหมายหล่นมาจากหนังสืออุรวศี เสด็จเหลือทน “มีอย่างรึจดหมายหล่นบนพื้น หยิบขึ้นมาแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเพลงยาว มันเกินไป ฉันยังต้องตั้งใจอ่านอยู่ครู่หนึ่งเลย ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“เสด็จป้าทรงเลือกที่จะเชื่อหญิงหลงไม่ทรงเชื่อหญิง หญิงก็จนใจทั้งที่แม่นังนี่เป็นคนใฝ่ต่ำหนีตามชู้ ลูกสาวก็เชื้อไม่ทิ้งแถว เสด็จป้าก็ยังทรงไม่เห็นความจริง หญิงไม่รู้จะทูลว่ากระไร”
อุรวศีกำมือแน่นอดทนเต็มที่ เสด็จส่ายหน้ากล่าวคำหนักหน่วง “คนไม่มีหัวคิด เสียดายไม่ได้เลือดพ่อมาสักนิด ถ้าได้เลือดพ่อจะไม่โง่ขนาดนี้”
สองท่านหญิงตกใจไม่คิดว่าจะถูกด่ารุนแรง ก้มกราบทูลลาคลานออกมาอย่างหัวเสีย เสด็จหันไปบอกอุรวศีให้ออกไปรอข้างนอกก่อน ตนมีเรื่องจะคุยกับสร้อย ท่านหญิงคลานออกมาด้วยสีหน้าหวั่นใจ หมดเรื่องพี่ๆแต่ยังต้องโดนซักเรื่องจดหมายอีกเป็นแน่
ด้านติโลตตมาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง สั่งอทริกาไปบอกแม่ให้มารับกลับ ตนจะไม่อยู่ที่วังอีกต่อไป
อทริกาท้วงแม่ให้เราเฝ้าสมบัติเสด็จป้า ถ้าเราไป อุรวศี ก็จะได้สมบัติคนเดียว ติโลตตมาจึงบอกให้น้องอยู่ขวาง ว่าแล้วก็สะบัดหน้าเดินฉับๆจากไป อทริกาทำหน้าเซ็งไม่อยากอยู่คนเดียว สำอางเห็นว่าเป็นการดี ต่อไปจะได้ไปทอดพระเนตรละครปรีดาลัยได้สะดวก ท่านหญิงคิดตามแล้วยิ้มชอบใจ ไม่มีพี่สักคนตนก็สบาย
ทางเสด็จซักไซ้เรื่องราวจากสร้อยจนรู้ว่าอุรวศีเล่าเรื่องจดหมายให้สร้อยฟังก่อนแล้ว และเรียกสอบถามข้าหลวงทุกคนไม่มีใครเห็น เสด็จอยากรู้ว่าผู้ชายที่เขียนเพลงยาวเป็นใคร
“ท่านหญิงเล่าว่าเป็นบุตรท่านเจ้าคุณรัชปาลีเพคะ รับราชการอยู่ในมหาดไทย”
“ต่อให้เป็นลูกพระยาก็ต้องถือว่าบังอาจมาก ถ้าพระองค์ชายยังอยู่ เจ้าคนนี้ไม่หัวขาดก็เกือบขาด...แต่ถ้าไปฟ้องเสด็จเสนาบดี เรื่องจะไปกันใหญ่ ถึงอย่างไรเราเป็นฝ่ายผู้หญิงก็เสียหายอยู่วันยังค่ำ” สร้อยรับคำ เสด็จให้ไปเรียกอุรวศีเข้ามาแล้วเฝ้าหน้าห้อง อย่าให้ใครแอบฟัง
อุรวศีกระสับกระส่ายรอพอสร้อยออกมาตามก็ถามว่าเสด็จทรงหายกริ้วหรือยัง สร้อยแปลกใจที่ทรงทราบ “ทรงช่างสังเกตมากนะเพคะ เสด็จทรงหงุดหงิดง่าย แต่ก็ไม่ถือสาอะไรใครจริงจัง แต่ถ้าเมื่อไหร่ทรงนิ่งและตรัสเรียบๆ ก็เหมือนทะเลสงบก่อนเกิดคลื่นใหญ่เลยเพคะ”
อุรวศีหวั่นใจ สร้อยยิ้มให้กำลังใจว่าตอนจะออกมาเสด็จทรงเหน็บตน แสดงว่าคลื่นสงบ ท่านหญิงโล่งอกตั้งใจจะพูดความจริงทุกอย่าง
เมื่อคลานเข้ามาอยู่ต่อหน้า เสด็จกล่าวข่มไว้ก่อน “คนเกิดมาต้องแบกทั้งบุญและกรรมจากกำเนิดเอาไว้ทั้งสองอย่าง มีบุญเกิดเป็นเจ้าก็ต้องรักษาบุญเอาไว้ คนอื่นที่เป็นไพร่เขาก็ทำบุญมาอย่างไพร่ ตัวนี่สิเป็นเจ้าหากไปทำตัวอย่างไพร่ บุญก็หมดเหลือแต่กรรม ตัวต้องรู้ตัวว่าเกิดมาเป็นเจ้า จะไปเกลือกกลั้วกับไพร่ไม่ได้...เจ้าผู้ชายมันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก็ช่างมันเถิด มันเกี้ยวตัวไม่ได้ก็ไปเกี้ยวผู้หญิงอื่นต่อ มันไม่เสียอะไร แต่ตัวสิมีแต่เสียหาย รู้ถึงไหนอับอายถึงนั่น”
อุรวศีกราบทูลตามจริงว่าไม่เคยคิดตอบจดหมายสักครั้ง ที่ไม่กล่าวโทษเขากับผู้ใหญ่แค่อ่านแล้วสอดคั่นหนังสือไว้ เพราะเห็นเป็นลูกผู้ดี ถ้าเฉลียวใจสักนิดว่าจะกลายเป็นเรื่องระคายเคืองถึงเสด็จป้า คงฉีกทิ้งไปนานแล้ว เสด็จถามย้ำว่าไม่เคยตอบจริงหรือ
“เป็นความสัตย์จริงเพคะ หญิงไม่เคยคิดเขียนตอบผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติ ครั้งแรกหญิงเข้าใจว่าเขาเขียนมาขออภัย หญิงก็ไม่ถือสา เมื่อเขาเขียนมาอีก หญิงก็เพิ่งจะเข้าใจ”
“ดีแล้วที่รู้จักไว้ตัว เกิดเป็นหงส์ต้องรู้ว่าเป็นหงส์ อย่าไปเกลือกกลั้วกับกา หญิงหลงเป็นสาวแล้ว ทางโน้นก็ผู้ชายหนุ่ม ขึ้นชื่อว่าชายหญิงย่อมเหมือนแม่เหล็กดึงดูดเข้าหากัน แต่คนดีย่อมรู้จักยับยั้งชั่งใจ เอาแต่ทำตามใจตัวเองไม่ได้...ไหนๆพูดแล้วก็พูดเสียให้หมด ถ้าจะมีคู่ก็ต้องดูให้ถี่ถ้วนด้วย เกิดมาเป็นเจ้านายก็เหมือนเพชร หาเรือนรับรองก็ต้องเรือนทองเนื้อเก้า ไม่ใช่ไอ้พวกทองชุบเสาชิงช้า” เสด็จส่งจดหมายคืนให้
อุรวศีรับมาแล้วฉีกทิ้งต่อหน้าทั้งสองฉบับ เสด็จยิ้มชื่นชม ท่านหญิงเชื่ออย่างที่เสด็จป้าตรัส ถ้าไม่รักศักดิ์ของตัวเอง ใครเขาจะมารักแทนให้
ooooooo
บ่ายวันหนึ่งพระยาไกรและพระยารัชปาลีกลับจากราชการหน้าเครียด ด้วยมีข่าวเสือป่วนอาละวาดปล้นฆ่ามาถึงปากน้ำโพ ต้องช่วยกันหาวิธีจัดการจับมันให้ได้ ดวงแขไม่พอใจที่ทุกคนเครียดจนไม่สนใจขนมที่เตรียมไว้ให้ บ่นกับอนลว่าทำไมไม่ปล่อยให้ตำรวจจัดการ
“หวังพึ่งตำรวจอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะกำลังพลไม่พอ ถ้าช่วยได้ก็ต้องช่วยกันครับ”
ดวงแขยิ่งหงุดหงิดที่อนลไม่เห็นด้วยและไม่สนใจขนมของตนเช่นกัน ฉุกคิดแผนเรียกร้องความสนใจขึ้นมาได้ แกล้งโวยวายว่าเห็นงูแล้วโผเข้ากอดอนล ทั้งซบทั้งกอดหวังว่าเขาจะหลงอุบายติดใจเนื้อนวลของตน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่ามองหางูว่าหายไปไหน
พอดวงแขเล่าให้คุณหญิงไกรฟัง เธอแทบลมจับที่ลูกใจกล้าแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายก่อน ทั้งที่ตัวเองไอโขลกแต่ด้วยความรักลูกไม่อยากให้ทำอะไรผิดพลาด จึงวางแผนชวนอนลไปทำบุญที่วัดด้วยกันเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับดวงแข
แม้ว่าไม่สบายหน้าตาซีดเซียวแต่คุณหญิงไกรจำต้องแข็งใจมาวัด อนลประคองเดินโดยมีดวงแขถือของถวายพระยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพอใจ ไม่วายกระแอมเตือนให้แม่เข้าแผนเสียที คุณหญิงจึงบอกอนลว่าอยากคุยกับเจ้าอาวาสให้ท่านดูดวงเผื่อต้องสะเดาะเคราะห์ ให้เขาไปถวายเพลกับดวงแข อนลอึกอัก ดวงแขรีบมัดมือชกเร่งให้ไปใกล้จะเพลแล้ว อนลไม่มีทางเลือก
แต่พอทั้งสองเดินไปสักพัก คุณหญิงไกรก็ไอโขลกๆ จนหมดแรงนั่งพิงอยู่แถวนั้น...
ดวงแขยิ้มแย้มที่ได้ใส่บาตรร่วมขันกับอนล แต่ท่าทางชายหนุ่มเรียบเฉย เธอยังชวนเขาเดินเที่ยวตลาดต่อ เขาต้องเตือนให้ไปถามคุณหญิงก่อนว่าไปไหวไหม หญิงสาวยิ้มกริ่มแม่ต้องตามใจตนอยู่แล้ว
พอเดินกลับมาเห็นคุณหญิงไกรนั่งเอนพิงต้นไม้หมดสติอยู่ อนลเอะใจเข้าจับตัวรู้สึกร้อนจัดก็รีบบอกดวงแขตามบ่าวมาช่วยพาคุณหญิงกลับเรือน
ดวงแขตกใจลืมตัวแผดเสียงข่มบ่าวไพร่ลั่นวัด “โว้ยมีใครอยู่บ้าง แม่ข้าไข้ขึ้นจนเป็นลมไปแล้ว ไม่มีใครมาดูแลสักคน หายหัวไปไหนกันหมด อ้ายพวกสันหลังยาว” พอมีบ่าววิ่งมาก็จิกด่า “รีบไปดูแม่ข้าเร็วสิ อ้ายอีสถุลพวกนี้ทิ้งแม่ข้าอยู่คนเดียวได้ยังไง ไม่ใช้ก็ไม่ทำ เอาแต่อู้งานอย่างพวกแกเนี่ยต้องเป็นขี้ข้าไปจนตาย”
อนลอึ้งมองดวงแขกิริยาผิดไปจากเดิมราวคนละคน ไม่คิดว่าจะปากจัดเหยียดคนขนาดนี้ เมื่อกลับมาถึงเรือน ปฐมพยาบาลจนรู้สึกตัว พระยารัชปาลีเอายาฝรั่งที่ติดตัวมาให้รับประทานจนอาการดีขึ้น
พระยาไกรยังห่วงเพราะภรรยาเจ็บคราวนี้เรื้อรังมานาน พระยารัชปาลีจึงมีความคิดว่าให้คุณหญิงไปรักษาตัวที่พระนคร พักอยู่กับตนหาหมอฝรั่ง ตนจะดูแลอย่างดี แต่พระยาไกรไม่อาจทิ้งงานราชการไปได้นานขนาดนั้น พระยาผู้เพื่อนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“พุทโธ่พุทถัง ถึงขนาดนี้ยังต้องให้พูดออกจากปากตรงๆอีกรึ แก่แล้วแก่เลยจริงๆท่านเจ้าคุณ” พอเห็นหน้าเพื่อนคิดออก “เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ ค่อยสมกับที่เล่าเรียนมาด้วยกันหน่อย”
พระยาไกรยิ้มแย้มดีใจเป็นการเปิดโอกาสให้ดวงแขตามไปดูแลแม่และจะได้ใกล้ชิดกับอนล อยู่ด้วยกันทุกวัน ต่างฝ่ายต่างยังไม่มีใครแล้วจะกลัวอะไร ช้าเร็วคงได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน อนลแอบได้ยินผู้ใหญ่คุยกันเริ่มอึดอัดใจอย่างมาก เพราะไม่เคยคิดอะไรกับดวงแขเลยสักนิด
ด้านอนึกกับเกื้อเริ่มไม่ลงรอยกัน เกื้อไม่เห็นด้วยที่อนึกกับเพื่อนจะทำการรุนแรง เตือนและห้ามก็ไม่ฟัง จึงถอยห่างออกมา อนึกตามมาต่อว่าถึงบ้าน ถึกกับคล้องได้ยินเจ้านายถกเถียงกันเสียงดัง พอตอนเช้าเกื้อให้คล้องมาขออาหารเช้าเพื่อรับประทานกับทับ นวมไม่ชอบใจเพื่อนขี้คุกคนนี้ของเกื้อเอาเสียเลย เอ่ยถามเขามาทำไมแต่เช้า คล้องไม่ทราบ คิดว่าเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนแล้วสะดุ้งนึกได้ไม่ควรพูดออกไป แต่สายไปเสียแล้วเมื่อเห็นสายตาเจ้านาย...
นวมนั่งรออนึกกลับจากทำงานเพื่อสอบถามเรื่องทะเลาะกับเกื้อ อนึกไม่พอใจบอกแม่ว่าไม่ได้ทะเลาะแค่พูดคุยกันเสียงดังเพราะความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องปกติ นวมจึงเตือนอย่างไรเสียเกื้อก็เป็นอา เขาสั่งสอนอะไรก็เชื่อฟังบ้าง เขาจะได้ไม่เอาไปว่ากับคนอื่น
เท่านั้นอนึกก็มาต่อว่าเกื้อถึงบ้านว่าเอาเรื่องของเราไปพูดกับใคร เกื้อบอกว่าทับเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ เป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ ไม่ต้องกลัวว่าจะนำภัยมาให้ อนึกกลัวบ่าวไพร่ได้ยินจะนำไปพูดต่อ เกื้อว่าไม่ต้องกังวลเพราะตนสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ และเรื่องนี้ทับก็รู้มาแต่ต้น
“คุณทับรู้เรื่องด้วยก็จริง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยกับพวกเรา ถือว่าเป็นคนนอกอยู่ดีล่ะครับ”
“เหมือนที่อากำลังจะเป็นคนนอกของพ่อใหญ่กับพรรคพวกเพราะคิดคนละทางกันใช่ไหม” เกื้อเริ่มโกรธ
อนึกเห็นอาโมโหจึงเสียงอ่อนลงบอกว่าการประชุมคราวหน้ายังอยากให้เขาไปร่วม เกื้อเห็นว่าทุกคนไม่ฟังความคิดตนแล้ว อนึกสวนอย่าเพิ่งน้อยใจอายังเป็นมันสมองของพวกตนอยู่ ในเมื่ออาคิดว่าพวกตนเดินทางผิดแล้วจะปล่อยให้ถลำลึกไปอย่างผิดๆหรือ เกื้อฟังแล้วหนักใจ
ooooooo
เมื่อตัดสินใจจะออกจากวัง ติโลตตมาก้มกราบลาเสด็จป้า โดยอ้างเหตุผลว่า ที่ตำหนักไม่มีคนดูแล อรุณวาสีกลับไปช่วยดูแลเรื่องเก็บดอกเบี้ยและค่าเช่าที่ ตนจึงต้องไปดูแลตำหนักแทน เสด็จรู้ทันบอกอยากไปก็ไป ทำให้ติโลตตมาเจ็บใจที่ไม่ห้ามปรามบ้าง
เสด็จเอ่ยว่าตนมีหลานหลายคน อาจจะห่วงใยแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ก็รักและหวังดีกับทุกคนเหมือนๆกัน ติโลตตมาเผลอยิ้มมีความหวังว่าจะถูกรั้งให้อยู่ต่อ แต่เสด็จกลับบอกให้ไปดี ท่านหญิงเคืองหน้าบึ้งคลานเข่ากลับออกมา เจออทริกากำลังเห่อหนังสือนิยายเล่มใหม่อยู่กับสำอาง ก็ยิ่งให้โมโหดึงหนังสือมาโยนทิ้งหาว่าเป็นนิยายประโลมโลก แล้วบ่นว่าเพราะเป็นแบบนี้
นังลูกไพร่ถึงชูคออยู่ได้
ไม่ทันไร สร้อยเดินนำอุรวศีผ่านมา ติโลตตมามองด้วยสายตาเกลียดชัง อทริการู้ใจพี่แกล้งแขวะลอยๆ ตายยากตายเย็นจริงๆ พูดถึงไม่ทันไรก็มา
สร้อยรู้ว่าหมายถึงอุรวศี แต่แกล้งหันมาถาม ท่านหญิงตรัสถึงตนหรือ อทริกาหน้าเสียรีบปฏิเสธอุรวศีเม้มปากกลั้นหัวเราะรู้ว่าสร้อยจงใจแกล้ง ติโลตตมาไม่พอใจพูดลอยๆออกไป
“อย่าทะนงตัวว่าชนะ เลือดไพร่อย่างไรก็เป็นเลือดไพร่วันยังค่ำ สักวันเสด็จป้าจะต้องทรงทราบความจริงว่าไม่มีวันเปลี่ยนกรวดให้เป็นเพชรไปได้หรอก”
อุรวศีสวนลอยๆบ้าง “ค่ะ เปลี่ยนไม่ได้ เห็นมากับตาแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนได้จริงๆ”
ติโลตตมาโกรธจัดปากคอสั่น รู้ว่าโดนย้อนว่าตนเป็นกรวดที่เสด็จป้าพยายามเปลี่ยนให้เป็นเพชรนั่นเอง สร้อยเคาะประตูเปิดพาอุรวศีเข้าไปหาเสด็จเสียก่อนที่ติโลตตมาจะโวย
เสด็จให้สร้อยตัดชุดราตรีแบบตะวันตกให้อุรวศีใส่ไปงานเสกสมรสของอธิปกับเมรา ท่านหญิงปลาบปลื้มโดยไม่ได้เอะใจว่าเสด็จหวังให้เป็นที่หมายตาของเจ้านายในงาน แถมกำชับสร้อยให้คอยจับตามองหาคนที่เหมาะสมให้แก่อุรวศีด้วย
ผ่านไปสองสัปดาห์ พระยารัชปาลีและอนลเดินทางกลับพระนคร โดยพาคุณหญิงไกรกลับมาเพื่อรักษาอาการป่วย มีดวงแขตามมาดูแล ระหว่างอยู่ในเรือ อนลดูแลคุณหญิงอย่างดีจนเธอยิ่งชอบและอยากได้เขาเป็นลูกเขยอย่างมาก
ด้านอรุณวาสีเดินดูที่ดินแปลงใหม่อยู่กับหม่อมต่วน เป็นที่ดินแถวลาดพร้าว บางกะปิ หม่อมกำชับลูกสาวว่าต้องกดราคาเจ้าของที่ไว้มากๆ พวกเขาร้อนเงินอยากขาย แต่อรุณวาสีไม่เห็นด้วยเลย เพราะเห็นว่าควรให้ราคาสมน้ำสมเนื้อจะดีกว่า แปลกประจบประแจงสนับสนุนความคิดหม่อมต่วน ยิ่งถ้าพวกเขาเดือดร้อนจนต้องมากู้เงิน เราอาจจะได้ที่มาเปล่าๆเลยก็ได้
หม่อมต่วนเห็นวัดที่เพิ่งสร้างเสร็จ คิดจะแวะทำบุญเพื่อบุญกุศลจะช่วยให้ตนมั่งมีศรีสุขทุกๆชาติ ระหว่างเดินอยู่ในวัด แปลกพยายามพูดเอาใจว่าวัดนี้เทียบไม่ได้กับวัดประจำตระกูลของหม่อม ชาวบ้านแถวนี้โชคดีที่วันนี้หม่อมมาทำบุญที่นี่ หม่อมต่วนยิ้มภูมิใจกับคำยกยอ
“คนสร้างเป็นคุณหลวง จะมาเทียบบารมีอะไรกับเจ้าพระยาอย่างพ่อข้าได้ล่ะ ได้แค่นี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
แปลกประจบรับคำ อรุณวาสีได้ยินชาวบ้านคุยกันว่าคุณนายของคุณหลวงที่สร้างวัดมาทำบุญวันนี้พอดี จึงชวนแม่ไปทำความรู้จัก หม่อมต่วนเชิดใส่ “หญิงเป็นใคร แม่เป็นใคร ควรหรือที่เราจะลดตัวไปพบกะอีแค่เมียคุณหลวง อย่าพูดให้แม่ได้ยินอีกนะ”
อรุณวาสีจ๋อย แปลกรีบสอพลอบอกตนจะไปตามคุณนายให้มากราบหม่อมกับท่านหญิงเอง หม่อมต่วนเห็นด้วย...แปลกกำลังจะไปก็พอดีเห็นชาวบ้านทักทายผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมาท่าทางสวยหวานดูดีมีสง่า หม่อมต่วนมองไปเห็นหน้าตาหญิงคนนั้นเหมือนหม่อมพิณไม่ผิดเพี้ยน ก็ตกใจสุดขีดเป็นลมล้มพับด้วยความหวาดกลัว
อรุณวาสีกับแปลกตกใจช่วยประคองพากลับตำหนัก ติโลตตมาเห็นแม่เป็นลมกลับมาก็เอ็ดน้องไม่ดูแลแม่ แต่พอหม่อมต่วนฟื้นขึ้นมากลับไล่ทุกคนออกไปเหลือแปลกไว้คนเดียว
ติโลตตมาบ่นอย่างไม่พอใจ “อุ๊ย ก็แค่คนแก่เป็นลม ฉันไม่น่าตื่นตูมตามเธอเลยหญิงเล็ก”
พอทุกคนไปหมด หม่อมต่วนยื่นมือไปบีบคอแปลกทันที เค้นถามว่าฆ่าหม่อมพิณกับมือหรือไม่ แปลกงงมากกลัวลานบอกว่าตนกับดำและลือช่วยกันถ่วงหม่อมพิณลงน้ำ ตนเห็นหีบจมน้ำกับตาจริงๆ หม่อมต่วนคลายมือออกพึมพำ
“หรือจะเป็นผี...ก็เอาสิวะอีพิณ ตอนมึงอยู่กูยังไม่กลัวมึงเลย มึงตายแล้วมีหรือกูจะต้องกลัวมึงด้วย”
แปลกได้ยินเรื่องผีหม่อมพิณก็หวาดผวาถอยไปชิดกำแพง ความรู้สึกกลัวที่ฆ่าคนกลับมา
จันฉวยโอกาสค้าขายด้วยการซื้อของพวกเครื่องสำอาง เครื่องประดับจากตลาดมาขายให้พวกข้าหลวงที่ไม่มีเวลาออกไปจับจ่ายอย่างตน อุรวศีดักคอพอคนในตำหนักพูดด้วยก็ทำกำรี้กำไรใส่ตัว จันยิ้มเรี่ยราด ท่านหญิงเตือนอย่าให้ประเจิดประเจ้อเดี๋ยวจะถูกดุ แล้วถามถึงนัดหมายกับท้าวแสนเปื้อน
จันทำหน้างง ท่านหญิงรีบแก้ว่าที่นัดกับอนลเมื่อไหร่ ตนอยากรู้ว่าแม่เป็นอย่างไรบ้างแม้แม่จะทิ้งตน แต่ไม่อาจไปพบด้วยตัวเองได้ จันบอกว่านัดพรุ่งนี้เย็น รับรองจะถามให้ละเอียดกลับมาทูลทุกคำไม่ให้ตกหล่น
ด้านอนลกลับมาถึงบ้านก็ตามหมอฝรั่งมาดูอาการคุณหญิงไกร แล้วขอตัวไปสะสางงาน ดวงแขหน้างอบ่นว่าเขาไม่สนใจตนเลย คุณหญิงปลอบอย่าห่วง จะหาทางทำให้ลูกสมหวังให้ได้
ooooooo