ตอนที่ 9
คุณชายธราธรและคุณชายพุฒิภัทรออกมาที่โถงด้านนอก เจอคุณชายปวรรุจยืนหน้าเครียดรออยู่แล้ว ทันทีที่เจอกันชายรุจถามทันทีว่า
“พี่ชายใหญ่กับชายภัทรรู้เรื่องของผมกับท่านหญิงแต้วแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่...เรารู้เรื่องของนายหมดแล้ว” ชายใหญ่บอก
“แล้วทำไมถึงร่วมมือกับท่านหญิงให้ผมต้องเผชิญหน้ากับท่านหญิงแบบนี้”
“แล้วทำไมนายถึงไม่กล้าเผชิญหน้าล่ะ” ชายภัทรย้อนถาม “จำครั้งวาดดาวไม่ได้หรอกหรือ ถ้าครั้งนั้นนายไม่กล้าพบวาดดาว นายก็คงไม่รู้ความจริงทั้งหมด”
“เรื่องวาดดาวกับท่านหญิงเอามาเปรียบกันไม่ได้ ฉันต้องหลีกเลี่ยงท่าน เพราะ...เราต่างก็มีพันธะ ยิ่งท่านหญิงทรงมีพระคู่หมั้นอยู่แล้ว ฉันจำเป็นต้องจบเรื่องของเรา เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
ชายใหญ่ถามว่าเขารักท่านหญิงไม่ใช่หรือ ชายรุจสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนตอบอย่างเต็มปาก เต็มคำว่า
“ครับ...รัก รักมากที่สุด”
“ท่านหญิงตรัสกับฉันว่า ท่านทรงรักนายมากเช่นกัน ท่านจะทรงทำทุกอย่างให้พ้นจากพันธะทั้งปวง เพียงแต่นาย...”
“พอเถอะชายภัทร ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ฉันไม่คู่ควรกับท่านหญิง ฉันดึงท่านให้ลงมาเป็นสามัญชนอย่างฉันไม่ได้ ขอให้เรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้เถิด” พูดแล้วผละไป ชายภัทรขยับจะพูดอะไรอีก ถูกชายใหญ่ห้ามไว้
“พอเถอะชายภัทร เหตุผลของชายรุจเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ”
ชายภัทรเลยได้แต่ถอนใจ...
ooooooo
เมื่อท่านหญิงกลับถึงวังอรุณรัศมิ์ เห็นพระองค์ฉัตรยืนคุยอยู่กับท่านชายทัศน์หัวเราะกันอย่างสนิทสนม เมื่อเห็นท่านหญิง พระองค์ฉัตรทักอย่างยิ้มแย้มยินดี
“อ้าว หญิงแต้วกลับมาพอดี ชายทัศน์ก็เพิ่งเด็จมาถึงเหมือนกัน”
ท่านหญิงไหว้ชายทัศน์ แต่ไม่สบตาและมีทีท่าห่างเหิน ท่านชายทัศน์ทักทายอย่างอ่อนโยนว่าไปไหนมา เห็นนมแจ่มบอกว่าเด็จออกทุกวัน ท่านหญิงตอบอย่างเย็นชาว่าไปบ้านหนูอ้ายกับหนูเอื้อยมา แล้วขอตัวไปพัก
“คืนนี้ ชายทัศน์จะทานมื้อค่ำกับลูก เตรียมตัวด้วยนะ” พระองค์ฉัตรบอก หญิงแต้วรับทราบแล้วเดินไป
ท่านชายทัศน์มองตามหญิงแต้วไปด้วยสายตาที่บอกถึงความเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
ครั้นได้เวลามื้อค่ำ ท่านหญิงทานมื้อค่ำกับท่านชายสองต่อสอง ท่านหญิงถามถึงเสด็จพ่อท่านชายบอกว่า
“ท่านเด็จไปงานน่ะ ที่จริงคงตั้งพระทัยให้เราได้อยู่กันสองต่อสองมากกว่า พี่เพิ่งกลับมาจากสวิตเมื่อวาน พี่หมดโพสท์แล้วนะ กลับมาอยู่เมืองไทยเสียที พี่จะได้มีเวลากับหญิงมากขึ้น”
“คงไม่จำเป็นมังคะ” หญิงแต้วตอบเย็นชา ท่านชายถามอย่างตัดพ้อว่าหญิงแต้วจะไม่ยอมคุยด้วยดีๆ เลยหรือ หญิงแต้วตอบทันทีว่า “เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
“พี่รู้ว่าหญิงแต้วกริ้วพี่เรื่องที่สวิต แต่พี่กับผู้หญิงคนนั้นจบกันไปแล้วจริงๆ พี่เองก็ควงกับเธอแค่ระยะสั้นๆ ไว้ออกงานสังคม ไม่ได้คิดจริงจังอะไร...หญิงแต้ว... คนที่พี่จะแต่งงานด้วยมีคนเดียวคือหญิงแต้วเท่านั้น”
“เหรอคะ...แล้วสาวที่ชื่อจอย แล้วยังมีแม่สาวสมัยที่ชื่อสมร ไว้ทรงเฟลิร์ทที่พระนครนี่อีกคน และอาจจะมีอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่ที่หญิงไม่รู้ เหล่านี้พี่ชายทัศน์จะทรงยกให้ขึ้นเป็นหม่อมเล็กๆด้วยใช่ไหมคะ”
ท่านชายตกใจถามว่ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แล้วพุ่งไปที่ชายรุจว่า ปากพล่อยรายงานหญิงแต้วใช่ไหม
“ใช่แล้วค่ะ เขาเตือนหญิงให้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมและความเอาแต่ได้ของผู้ชายอย่างพี่ พี่ชายทัศน์เด็จกลับ ไปเถอะค่ะ เราหมดเรื่องพูดกันแล้ว” พูดแล้วหญิงแต้ว
ลุกออกไป ท่านชายลุกตามไปท่ามกลางสายตาของนมแจ่มกับบัวที่คอยรับใช้อยู่ นมแจ่มบอกบัวให้รีบตามไป
ท่านชายตามไปถึงโถงบน เรียกหญิงแต้วให้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง หญิงแต้วบอกว่าเราหมดเรื่องที่จะพูดกันแล้ว
ท่านชายแว้งทันทีว่า หญิงแต้วว่าตนเห็นแก่ได้ ตัวหญิงเองไปพลอดรักกับปวรรุจจนคนไทยลือกันทั่วกรุงเบิร์น ตนก็อายเขาเหมือนกัน ท่านหญิงหันไปตบหน้าฉาดใหญ่แล้วรีบเข้าห้องทันที ท่านชายตามเข้าไปกระแทกประตูปิดใส่หน้านมแจ่มที่ทักท้วงปังใหญ่
หญิงแต้วบอกท่านชายให้ออกไป แต่ท่านชาย ไม่ยอมออกบอกว่าจนกว่าเราจะเจรจากันให้รู้เรื่อง พูดเฉียบขาดว่า
“ถึงเธอจะปฏิเสธพี่ยังไง เธอจะปฏิเสธการแต่งงานของเราไม่ได้หรอก”
หญิงแต้วเอาตุ๊กตาลิลลี่ที่ท่านชายให้ซึ่งบัดนี้ถูกขีดเขียนจนหน้าตาเปรอะไปหมดให้ดู บอกว่านี่คือ “หนู แต้ว” ที่ท่านชายประทานให้แต่เวลานี้มันกลายเป็น “หนูตุ่น” มันโง่เง่าเต่าตุ่นที่ถูกหลอกว่าเป็นที่รักจากชายที่ไม่เคยรักและให้เกียรติมนุษย์คนไหนในโลก ปาตุ๊กตาใส่หน้าท่านชายบอกว่า “เอาคืนไป!”
“ยังไง พิธีเสกสมรสก็ต้องเกิดขึ้น พี่จะดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ท่านชายพูดใส่หน้าแล้วออกไป
นมแจ่มกับบัวรีบเข้ามาดูท่านหญิง เธอบอกว่า “ขอหญิงอยู่ลำพังเถิด” เมื่อทั้งสองปิดประตูออกไป หญิงแต้วก็ทรุดกับเตียงร้องไห้อย่างหนัก
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะคุณชายทั้งห้าแห่งจุฑาเทพรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ชายพีร์ถามว่าเมื่อวานชายรุจทำอะไรท่านหญิงหรือเปล่า ชายเล็กเสริมว่าเห็นท่านหญิงกันแสงใหญ่เลย
ชายรุจบอกว่าท่านหญิงคงไม่มาที่วังเราอีกแล้ว ทั้งชายเล็กและชายพีร์ก็อย่าชักชวนให้มาเที่ยวที่นี่อีกเพราะไม่เหมาะสม ชายเล็กถามว่าท่านหญิงมาเรียนการเรือนกับย่าอ่อนไม่เหมาะสมอย่างไรไม่ทราบ
ชายใหญ่จึงชี้แจงว่าท่านชายภาณุทัศนัยพระคู่หมั้นของท่านหญิงไม่โปรดชายรุจและมีกรณีกันเนืองๆตลอดเวลาขณะประชุมที่สวิต
“แล้วเรื่องที่ชายรุจถูกหยามก็เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เสียด้วย ท่านชายทรงหยามว่าชายรุจไม่สมควรเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ เพราะเป็นแค่คุณชายก้นครัว เป็นคุณชายที่กำเนิดจากหม่อมแม่ที่เป็นแค่นางต้นห้อง”
ฟังแล้วทั้งชายเล็กและชายพีร์ไม่พอใจมาก ชาย–ใหญ่ถามน้องๆว่า
“ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมชายรุจถึงอึดอัดเมื่อท่านหญิงเด็จมาที่วังเรา”
ทั้งชายใหญ่และชายภัทรต่างโล่งใจที่น้องทั้งสองไม่เอะใจเรื่องรักต้องห้ามของชายรุจกับท่านหญิง
กลางวันวันนี้เอง ย่าอ่อนก็ให้แจ๋วไปตามชายรุจมาพบกระถินที่มาเรียนการเรือน เมื่อทั้งสองพบกันแล้วย่าอ่อนขอไปโทรศัพท์ เปิดโอกาสให้อยู่กันตามลำพัง
ปรากฏว่า ชายรุจคุยกับกระถินอย่างถูกคอ ชอบความเป็นธรรมชาติและการใช้วิถีชีวิตแบบชาวบ้าน ทั้งการยิงนกตกปลาและเก็บมะพร้าว ฟังกระถินเล่าอย่างสนุกสนาน จนชายรุจขอให้สอนตนบ้าง
คุยกันไม่นาน กระถินก็สนิทสนมหัวเราะคิกคักบอกว่าคุณชายไม่เหมือนอย่างที่ตนคิดเลย นึกว่าดุๆไว้ตัวแบบคุณชายในนิยาย ไม่นึกว่าจะใจดีเหมือนพี่คล้าวของตน ทำให้ชายรุจเอะใจ แต่ไม่ทันคุยต่อ ก็เห็นท่านหญิงเดินมากับย่าอ่อนที่โทร.ไปตามมาเรียนการเรือนต่อ
ชายรุจต้อนรับท่านหญิงอย่างเป็นทางการตามเคย เมื่อพากันมาที่ศาลาเพื่อเรียนการร้อยมาลัย ท่านหญิงเผลอทำเข็มตำมือจนเลือดออก ย่าอ่อนตกใจบอกชายรุจให้พาท่านหญิงไปทำแผล ชายรุจจึงประคองท่านหญิงไปที่ห้องนั่งเล่น เอาเครื่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้อย่างทะนุถนอมเบามือ
“ไหนว่าจะไม่ข้องแวะกับฉันอีกแล้วไง มาทำแผลให้ฉันทำไม” ท่านหญิงติติง ชายรุจไม่มองหน้าไม่ตอบ ท่านหญิงดึงมือออกงอนๆ “พอเถอะ ถ้าไม่เต็มใจก็อย่าทำเลย”
“อย่าทรงดื้อกับหม่อมฉัน” ชายรุจดุ เมื่อทำแผล เสร็จ จึงเสนอว่าเจ็บขนาดนี้อย่าทรงเรียนอีกเลย ท่านหญิงจึงวานให้โทร.เรียกรถที่บ้านอ้ายกับเอื้อยมารับ “ทำไมต้องให้รถบ้านหนูอ้ายหนูเอื้อยมารับกระหม่อม”
“ทุกวัน รถที่วังจะไปส่งฉันที่บ้านหนูอ้ายหนูเอื้อย แล้วตกเย็นก็จะมารับกลับ”
“แสดงว่าท่านหญิงเด็จมาที่นี่ โดยที่ทางวัง
อรุณรัศมิ์ ไม่รู้เรื่องใช่ไหมกระหม่อม” ท่านหญิงทำคอแข็งบอกว่าไม่จำเป็นต้องบอกใคร “ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงต้องเด็จกลับเดี๋ยวนี้ กระหม่อมจะไปเรียกรถออก”
“ไม่”
“กระหม่อมทูลแล้วไง อย่าทรงดื้อ” ชายรุจดุแล้วเรียกถนอมให้เอารถมา แต่ชายรุจจะขับเอง ท่านหญิงถามว่า ทำไมไม่ให้ถนอมขับ “เพราะกระหม่อมไม่แน่ใจ ว่าท่านหญิงจะทรงสั่งให้ถนอมขับไปส่งบ้านหนูอ้ายหนูเอื้อยหรือเปล่า เพราะฉะนั้น กระหม่อมจะขับไปส่งท่านหญิงเองที่วังอรุณรัศมิ์”
“งั้นก็ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องนั่งด้านหลัง ถนอมเปิดประตูด้านหน้า” ท่านหญิงสั่งแล้วขึ้นนั่งหน้าคู่ชายรุจที่ขับรถแทนถนอมทันที
ooooooo
ท่านหญิงขอร้องให้ชายรุจส่งก่อนถึงประตูวัง เพราะคงไม่งามถ้าคนในวังเห็นเราสองคน
“ท่านหญิงทรงทราบดีนี่กระหม่อม แล้วทำไมยังเด็จมาที่จุฑาเทพแทบทุกวัน” ท่านหญิงอ้างว่ามาเรียนการเรือนกับย่าอ่อน “ท่านหญิงทรงมีบ่าวไพร่รับใช้มากมาย เพียงทรงเอ่ยปากหรือชี้นิ้วก็เสกได้ดั่งใจ กระไรเลยต้องทรงมาลำบากเรียนวิชาการเรือนที่ไม่ถนัดให้เจ็บองค์”
“ต่อให้ฉันเจ็บกว่านี้ฉันก็ไม่มีวันย่อท้อ”
ชายรุจเข้าใจถึงนัยที่ท่านหญิงพูด แต่ต่างก็นิ่งเงียบไปกับความเจ็บปวดทรมานที่ไม่อาจบอกใครได้
“แต่เมื่อเสกสมรสกับท่านชายทัศน์แล้ว คงไม่ทรงมีเวลาเสด็จมาแน่” ชายรุจหยั่งท่าที
ท่านหญิงย้อนถามว่า ใครว่าตนจะเสกสมรสกับพี่ชายทัศน์ ชายรุจอ้างว่า เขารู้กันทั่วพระนคร
“งั้นก็รู้ไว้เลยว่า คนทั้งพระนครกำลังเข้าใจผิด”
ชายรุจมองท่านหญิงด้วยหัวใจพองโต แต่ไม่อาจ เอ่ยหรือแสดงอะไรออกมาได้
ที่ระเบียงตึก ท่านชายทัศน์ออกมาเห็นทั้งสองพอดี ถึงกับมองอึ้ง
ชายรุจเอ่ยขอท่านหญิงว่าอย่าให้คนที่จุฑาเทพสงสัยอะไรอีก โดยเฉพาะย่าอ่อนกับน้องกระถิน
“คุณชายคงเป็นห่วงน้องกระถินมากสินะ คุณชายคงยังไม่ทราบ กระถินเองก็มีคนรักของเธออยู่แล้วและเธอก็ลำบากใจมากกว่าคุณชายเสียอีก ที่ต้องเป็นภริยาทูตในอนาคต...คงไม่ใช่เรื่องยากที่คุณชายจะสืบรู้ว่าคนรักของเธอคือใคร” ขอบใจที่มาส่ง” พูดแล้วลงจากรถชายรุจจึงขับรถกลับไป
ท่านชายทัศน์จ้องจิกอย่างโกรธแค้น ไปฟ้องพระองค์ฉัตรให้จัดการกับท่านหญิง ทำให้ท่านหญิงถูกกักบริเวณอีกครั้ง ทั้งกระหนาบว่า อย่านึกว่าจะหนีพ้นเรื่องการแต่งงาน
แต่ท่านหญิงวันนี้ ไม่ยอมที่จะก้มหัวให้กับความอยุติธรรม เมื่อสบโอกาสจึงสั่งนายเวทย์คนขับรถให้เอารถออก แต่บ่าวไพร่ทุกคนถูกสั่งห้ามและคาดโทษไว้แล้ว แต่ท่านหญิงก็มิได้หวั่นไหวย่อท้อ เมื่อไม่มีรถก็ออกไปเอง
ส่วนท่านชายทัศน์ก็หาเรื่องกับชายรุจ ขู่ว่าจะรายงานท่านอธิบดีว่าเขายังแอบไปมาหาสู่หญิงแต้ว เมื่อวานก็มาส่งกันถึงวัง ชายรุจชี้แจงว่า ท่านหญิงไปเรียนการเรือนกับคุณย่าในฐานะที่คุณย่าเคยรับใช้เสด็จพระองค์หญิง เสด็จแม่ของท่านหญิงแต้ว คงไม่ได้มีอะไรเสียหาย
“เข้าใจอ้างคนแก่นะ อ้างย่า อ้างยาย นายจะอ้างย่าหรือย่าทวดในหลุมของนายก็ยังได้ แต่ความจริงก็คือนายยังตามจีบหญิงแต้วอยู่ เท่านี้ก็เป็นเรื่องที่ฉันจะประจานให้นายเสื่อมเสียชื่อเสียงไปทั้งพระนครได้แล้ว”
“และท่านหญิงก็จะทรงเสื่อมเสียไปด้วย ท่านชายไม่ห่วงใยพระคู่หมั้นเลยหรือ”
“ตราบใดที่ทำให้นายต้องออกจากงานราชการ ฉันทำได้ทั้งนั้น”
ชายรุจจึงเอ่ยเรื่องความสัมพันธ์ของท่านชายกับสมรที่มีชื่อกระฉ่อนในแวดวงคนกลางคืน ทั้งมีข่าวว่าเคยเป็นอนุของผู้ใหญ่หลายท่านมาก่อน ขู่กลับว่า “ถ้าท่านไม่เห็นแก่พระคู่หมั้น ผมก็พร้อมจะประจานท่านเหมือนกัน”
ท่านชายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนอกจากด่าชายรุจว่าเป็นคุณชายขี้ครอก ไอ้ก้นครัวแล้ว ยังกระชากคอเสื้อจะชก จนทั้งปรีชาและคุณแขต้องรีบเข้าห้ามขอร้องให้พอเถิด แล้วชวนชายรุจไปทานข้าวกันดีกว่า
ooooooo
ท่านหญิงไปที่วังจุฑาเทพจนได้ เมื่อเล่าให้
ย่าอ่อนฟัง ย่าอ่อนฮึดฮัดเสียงดังว่า
“พระองค์ฉัตรทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ท่านชายทัศน์เป็นฝ่ายผิดชัดๆทำไมถึงทรงตำหนิท่านหญิงของหม่อมฉัน” ท่านหญิงบอกว่าเด็จพ่อทรงเข้าข้างพี่ชายทัศน์ตลอด ย่าอ่อนยิ่งโมโห “หม่อมฉันเหลือทนกับความเห็นแก่ตัวของผู้ชายทั้งที่มีคู่หมายอยู่แล้วก็ยังไปหยิบยกเอาหญิงอื่นมาเชิดชู เหมือนกันหมดไม่มีผิด”
ขณะนั้น ชายรุจกลับจากที่ทำงานผ่านมาได้ยินพอดี ท่านหญิงบอกย่าอ่อนอย่างเปิดเผยว่า
“คุณย่าคะ หญิงอยากจะบอกคุณย่า หญิงจะไม่แต่งงานกับพี่ชายทัศน์ หญิงไม่ได้น้อยใจอะไรแต่เพราะ หญิงไม่ได้รักพี่ชายทัศน์ หญิงรักคนอื่นแล้วค่ะคุณย่า”
ชายรุจตะลึง สองหูอื้ออึงไปหมด ส่วนย่าอ่อน
ตกอกตกใจ ติงว่ารับสั่งอะไรอย่างนั้น เพราะทรงหมั้นหมายกันมาตั้งแต่ทางพระเยาว์แล้ว ท่านหญิงชี้แจงว่าตนกับท่านชายทัศน์ไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันเลย เราไม่เคยรักกัน และที่สำคัญคือ
“เมื่อไม่นานมานี้ หญิงได้รู้จักชายคนหนึ่งที่ทำให้หญิงรู้จักคำว่า ‘รัก’ คืออะไร”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันคะท่านหญิง” ย่าอ่อนถามอย่างตื่นตกใจ ท่านหญิงไม่ทันตอบชายรุจก็เข้ามาคำนับท่านหญิงขัดจังหวะ ย่าอ่อนกำลังติดพัน บอกชายรุจว่า “ออกไปก่อนเถอะ ย่ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับท่านหญิง”
“ผมก็มีเรื่องสำคัญที่จะทูลปรึกษาท่านหญิง
เหมือนกัน” ชายรุจอ้างกับย่าอ่อน จ้องหน้าท่านหญิงเขม็ง
ooooooo
เมื่อพากันออกมาคุยที่ศาลากลางสวน ชายรุจถามท่านหญิงดุๆว่ารับสั่งอะไรกับย่าอ่อน ท่านหญิงปฏิเสธว่าเปล่า
“อย่าปดกระหม่อม ท่านหญิงกำลังรับสั่งเรื่องของกระผมให้คุณย่าทราบ” ท่านหญิงย้อนถามว่าแล้วคุณชายจะกลัวอะไร “เรื่องของเราจบไปแล้ว และถ้าถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีก มันจะเสื่อมเสียต่อท่านหญิงเอง”
“ฉันจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คนที่ฉันสนใจมีเพียงคนเดียว คือคุณชายปวรรุจเท่านั้น”
เสียงเครือสะท้านที่เผยความในใจของท่านหญิง ทำให้ชายรุจต้องเบือนหน้าไปทางอื่นซ่อนความหวั่นไหว แต่แล้วก็ต้องกลั้นใจขอร้องว่า
“ถ้าอย่างนั้น โปรดทำเพื่อกระหม่อมเถิด...อย่าเสด็จมาที่นี่อีกเลย...”
“นั่นคือความต้องการจริงๆ ของคุณชายใช่ไหม” ท่านหญิงเสียงเครือนํ้าตาไหลอาบแก้ม จนชายรุจนํ้าตารื้นยืนนิ่งงันหันหน้าไปทางอื่น ท่านหญิงเอ่ยเสียงสะอื้น “ได้...ถ้านั่นเป็นความประสงค์ของคุณชาย ฉันจะไม่มาที่วังจุฑาเทพอีก หวังว่าคุณชายคงจะพอใจ”
ก่อนออกจากศาลา ท่านหญิงหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งมาวางควํ่าไว้ที่โต๊ะ เอ่ยปนสะอื้น...
“ฉันมีของมาคืนคุณชาย มันคงเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นว่าเจ้าสาวในอนาคตของคุณชายคือใคร ขอโทษที่ถือวิสาสะเก็บเอาไว้”
ท่านหญิงลงจากศาลาไปแล้ว ชายรุจที่นํ้าตาไหลพรากจึงหันหยิบรูปพลิกดู เห็นเป็นรูปของกระถินใบนั้น ชายรุจสะอื้นวิ่งออกจากศาลาไปถึงหน้าประตู เจอถนอมกำลังปิดประตูรั้ว ถามว่า “ถนอม...ท่านหญิงล่ะ”
“ขึ้นรถรับจ้างกลับไปแล้วครับ”
ชายรุจวิ่งออกไป เห็นรถคันนั้นกำลังแล่นออกถนนใหญ่ ชายรุจวิ่งตามได้อึดใจเดียวรถก็เลี้ยวลับไป จึงได้แต่ยืนตรงนั้นเอ่ยอย่างเจ็บปวดปานหัวใจสลาย...
“ท่านหญิง...กระหม่อมเสียใจ...”
ooooooo
คุณชายปวรรุจ ก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก จนท่านอธิบดีเชษฐาเรียกเข้าไปคุย ระหว่างนั้นท่านชายทัศน์มองอย่างไม่พอใจหาว่าชายรุจเข้าไปสอพลออะไร ถามใครก็ไม่มีใครรู้
ชายรุจออกจากห้องอธิบดีด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในข่าวดีจากอธิบดี แต่พอเดินผ่านห้องโถงก็หน้าเจื่อนเมื่อเห็นหลังของท่านหญิง และปรีชามาบอกว่าท่านหญิงวรรณรสาเสด็จมาที่นี่
ชายรุจโค้งคำนับ ท่านหญิงหันมาถามว่า คุณย่าทั้งสองสบายดีหรือ
“สบายดีกระหม่อม ย่าอ่อนบ่นคิดถึงท่านหญิงอยู่ทุกวัน”
“แล้วคุณชายบอกท่านรึเปล่าว่าทำไมฉันไม่ไปเรียนการเรือนกับท่านอีกเลย...ช่วยหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุ สมผลให้ท่านหน่อยก็แล้วกัน”
ทั้งสองทักทายกันอย่างเป็นทางการด้วยสีหน้าไม่สบายใจกันนัก พอดีท่านชายทัศน์เดินมา ปรายตามองชายรุจแว้บหนึ่งแล้วโอบท่านหญิงพาไปทานกลางวันที่โรงแรมรอยัลกัน ทั้งยังพูดให้ชายรุจบาดใจว่า
“อาทิตย์หน้าอย่าลืม น้องหญิงต้องเด็จมางาน กระทรวงกับพี่ในงานดนตรีการกุศล เราจัดทุกปี ปีนี้น้องหญิงต้องโชว์สีไวโอลินอีกนะ”
ที่วังจุฑาเทพ หม่อมเอียดเรียกประชุมคุณชายทั้งห้าบอกว่ามีเรื่องจะแจ้ง ชายพีร์เดาว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ หม่อมเอียดเลยพูดเป็นปริศนาว่าเรื่องงานของชายรุจ ชายเล็กโพล่งถามว่าเรื่องงานแต่งงานกับน้องกระถินใช่ไหม
“เดาไม่ถูกหรอก ย่าหมายถึงงานเลี้ยงของทางกระทรวงน่ะ งานนี้ย่าอยากให้พวกเราไปกันทุกคน”
“มีอะไรสำคัญเหรอครับหม่อมย่า” ชายภัทรอยากรู้ กระนั้นหม่อมเอียดก็ยังไม่บอก พูดแต่เพียงว่า
“คงต้องมีล่ะนะ เพราะท่านอธิบดีท่านส่งจดหมายราชการมาเชิญย่าโดยตรงเลย”
คุณชายทั้งสี่มองหน้าชายรุจถามกันด้วยสายตา ชายรุจไม่ตอบ เพราะแม้จะเป็นข่าวดีแต่ก็อดเศร้าไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าต้องจากกรุงเทพฯไปถึงสี่ปี
ooooooo
คุณชายทั้งห้าไปรวมกันที่ห้องโดม ชายเล็กถามขึ้นก่อนว่าชายรุจจะบอกได้หรือยังว่ามีเรื่องสำคัญอะไรที่กระทรวง ชายพีร์เดาว่าคงเป็นเรื่องเลื่อนขั้น เชื่อว่าผลสอบต้องออกมาว่าชายรุจได้เลื่อนเป็นข้าราชการชั้นเอกแน่นอน
บรรดาคุณชายพากันคาดหวังต่างๆนานา ทั้งการต้องออกโพสต์ไปประจำการต่างประเทศ ทั้งการเลื่อนขั้นเป็นข้าราชการชั้นโท เลขานุการโท ชายเล็กพูดอย่างปลื้มใจว่า โก้หร่านเลยทีนี้ แล้วขอแสดงความยินดีเข้าสวมกอดชายรุจ ทุกคนเลยเข้ามากอดกันกลมหัวเราะกันอย่างครื้นเครง
ไม่เพียงเท่านั้น ชายพีร์ยังชวนดื่ม เสนอให้ดื่มหมดแก้วแล้วเฮกันอย่างสนุกสนาน
ระหว่างนั้นย่าอ่อนผ่านมาได้ยินพวกคุณชาย
คุยกันถึงการเดินทางไปประจำต่างประเทศของชายรุจก็ตาพองถลาเข้าไปถามจนรู้ว่าชายรุจอาจจะได้ไปประจำต่างประเทศ ย่าอ่อนถามว่าถ้าไปก็ต้องอยู่นานถึงสี่ปี
เลยใช่ไหม พึมพำตื่นเต้นว่า
“ไม่ได้การ ย่าต้องรีบตบแต่งเรากับหนูกระถินเสียก่อน”
พวกคุณชายโดยเฉพาะชายรุจเจื่อนไปทันที ชาย–ภัทรพยายามถ่วงเวลาบอกย่าอ่อนว่า ให้รอชายรุจกลับมาก่อนดีกว่า เพราะน้องกระถินก็ยังเด็กอยู่มาก ชายใหญ่เห็นด้วย แต่ย่าอ่อนไม่ยอม กลัวชายรุจจะไปคว้าแหม่มกลับมา ประกาศิตว่า
“ย่าขอยืนกรานว่าชายรุจต้องแต่งกับกระถินในเร็วๆนี้ ไม่ว่าจะได้ไปเมืองนอกหรือไม่ได้ไปก็ตาม”
จากนั้นย่าอ่อนก็จัดการทันที ไปหาเทวพันธ์ที่วังเทวพรหม เร่งให้รีบจัดเตรียมหาฤกษ์ยามจัดแต่งเสียให้เร็วที่สุด เพราะชายรุจต้องไปประจำต่างประเทศเร็วๆนี้ เทวพันธ์ที่คอยอยู่แล้ว รับคำด้วยความยินดีอยากให้แต่งวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ
“คุณย่าคะ แต่ทางคุณชายยังไม่ทราบแน่นอนนี่คะว่าจะได้ไปต่างประเทศจริงหรือเปล่า รอให้คำสั่งมาก่อนดีไหมคะค่อยจัดการเรื่องแต่ง” เกษราพยายามถ่วงเวลา กระถินที่แอบฟังอยู่ตกใจจนร้องไห้ ย่าอ่อนเห็นเกษราสีหน้าไม่ดี ถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า หรือว่ากระถินไม่พร้อม”
“พร้อมครับ” เทวพันธ์ชิงตอบ แล้วเร่งจะเอาวันเดือนปีเกิดของทั้งสองไปหาซินแสที่สำเพ็งให้ดูฤกษ์มงคล และแวะเสี่ยงเซียมซีที่วัดเล่งเน่ยยี่ด้วย
กระถินทนไม่ได้วิ่งร้องไห้หลบไป คล้าวได้ยินเสียงร้องไห้ถามว่าเป็นอะไร
“พี่คล้าว จะทำยังไงดี เขาจะจับกระถินแต่งงานกับคุณชายรุจ แล้วยังจะให้กระถินไปอยู่เมืองฝรั่งตั้งสี่ปี”
กระถินโผกอดคล้าวร้องไห้เหมือนไม่ยอมพรากจากกัน คล้าวกอดกระถินหน้าเครียด คิดหาทางแก้ปัญหา
ทางออกของทั้งคู่คือหนี แต่พอหอบถุงเสื้อผ้า
จะหนี เกษรามาเจอบอกว่าจะหนีไปอย่างนี้ไม่ได้ ขู่คล้าวว่าถ้าพากระถินหนีก็จะต้องถูกจับฐานลักพาตัว แม้คล้าวจะกลัว แต่ก็ไม่ยอมให้กระถินแต่งงานกับชายรุจ
“ใจเย็นนะ เดี๋ยวฉันจะลองพูดกับคุณชายรุจดู ฉันจะพยายามสุดความสามารถ ไปกระถินกลับขึ้นบ้านเถอะ นายคล้าวก็ใจเย็น อย่าคิดอะไรวู่วามแบบนี้”
แล้วเทวพันธ์ก็มอบหมายให้เกษราพากระถินไปดูลายมือ ดูโหงวเฮ้ง ดูปัตนิ แล้วตัวเองก็เรียกนายสมให้เอารถออก เพราะวันนี้มีบ่อนวิ่ง และนับแต่มีข่าวว่าเทว–
พันธ์จะดองกับจุฑาเทพ เสี่ยหมงเจ้าของบ่อนก็ให้กู้เล่นได้ไม่คิดดอก
“แหม...คนเรานะพอมันมีบารมีจะเป็นพ่อตาจุฑาเทพเงินทองมันก็ไหลมาเทมา” เทวพันธ์หัวเราะอย่างเบิกบานใจ
ooooooo
สองวันต่อมา กระทรวงการต่างประเทศก็จัดงานที่วังสราญรมย์
เป็นงานราตรีที่หรูหรา ดนตรีไพเราะ แขกในงานพากันเต้นรำงดงามพลิ้วไหวกันเต็มฟลอร์
ที่มุมหนึ่งท่านอธิบดีเชษฐาคุยกับคุณชายปวรรุจ และที่โต๊ะของแขกผู้ใหญ่ หม่อมเอียด ย่าอ่อน นั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนคุณชายทั้งสี่เสวนาอยู่กับปรีชาและคุณแข หัวเราะกันสนุกสนานร่าเริง
จนบัดนี้ ชายพีร์ยังติดใจสงสัยถามคุณแขว่าชายรุจได้เลื่อนขั้นแบบไหน ชายเล็กถามว่าแบบประจำกระทรวงหรือประจำเมืองนอก คุณแขตอบอย่างหนักแน่นมั่นใจว่า เมื่อคุณชายอยากรู้ตนก็จะบอกเลยว่า “แขไม่รู้ค่ะ” เลยเรียกเสียงหัวเราะจากพวกคุณชายได้ครื้นเครง
“ยังไม่มีใครทราบอะไรทั้งนั้นล่ะครับ พวกเรารู้แค่ว่า ไปประชุมที่เจนีวาคราวนี้ คุณชายรุจได้รับความชื่นชมอย่างมากจากรัฐบาลและท่านทูตพลเทพ ก็เลยได้เสนอเลื่อนขั้น แต่ตอนนี้ทางผู้ใหญ่ยังไม่ได้บอกอย่างเป็นทางการ” ปรีชาชี้แจง
คุณแขเสริมว่าคุณชายทำงานหนักมากจนแทบไม่ได้หลับได้นอน ตนเตือนก็บอกว่าถึงนอนก็นอนไม่หลับ ชายเล็กถามทันทีว่า “ทำไมหรือครับ”
“ก็เรื่องเออ...ความรักของคุณชายน่ะซีครับ ทำเอาคุณชายแทบทรุดเลย แสดงว่าต้องเป็น True Love รักกันจริงแน่ๆ”
“มันจะเป็นจริงได้ยังไงล่ะครับคุณแข ในเมื่อพระคู่หมั้นก็แสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่อย่างนั้น เป็น “รัก ต้องห้าม” เสียมากกว่า”
ชายเล็กกับชายพีร์ยิ่งงงเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ชายใหญ่พยายามจะให้ทั้งสองหยุดพูด แต่ทั้งสองก็ยังจ้อต่อ พอชายเล็กกับชายพีร์ซักถาม คุณแขก็ทำท่าจะเล่ายาว ชายภัทรรีบขัดขึ้น ชวนคุณแขออกไปแดนซ์กับตนดีกว่า ทำเอาคุณแขงง แต่ชายเล็กยังติดใจถามปรีชาต่อ ชายใหญ่จึงขอเวลาปรีชาปรึกษาอะไรกันหน่อย แล้วรีบพาแยกไป
ooooooo
คุณชายปวรรุจยังคุยอยู่กับอธิบดีเชษฐา และผู้ใหญ่อีกสองท่าน ต่างแสดงความยินดีกับชายรุจ
“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจผม ผมจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด” ชายรุจเอ่ยหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้น ก็คงถึงเวลาแล้วที่จะรายงานให้หม่อมย่าของคุณชายทราบ” อธิบดีเชษฐาเดินนำไปที่โต๊ะหม่อมเอียด ชายรุจเดินตาม แต่ไม่ทันถึงโต๊ะหม่อมเอียด อธิบดีก็ชะงักเมื่อเห็นท่านชายทัศน์ควงท่านหญิงวรรณรสาเข้ามาอย่างสง่างาม
ชายรุจมองท่านหญิงตะลึงในความงาม แต่รู้สึกได้ถึงความเศร้าหมองที่แฝงอยู่ในสีหน้า
“ท่าชายเด็จมาพอดี อ้อ...เด็จมาพร้อมท่านหญิงแต้วเสียด้วย ไป...รับเสด็จท่านหญิงกันหน่อย” อธิบดีชวน
ชายรุจอึกอักแต่ต้องเดินตามอธิบดีไป ทั้งสองเข้าไปคำนับท่านหญิงถามว่าพระองค์ฉัตรไม่ได้เสด็จมาด้วยหรือ พูดอย่างเสียดายว่า ถ้าเสด็จมาจะได้ทูลเชิญทรงขับร้องเพลงสักสองสามเพลงเป็นเกียรติแก่กระทรวง ถามท่านหญิงว่าคืนนี้พวกเราจะได้ฟังไวโอลินเพราะๆ จากท่านหญิงไหม
“ที่จริง หญิงแต้วก็อยากจะเล่นไวโอลินในงานนี้เหมือนกันนะครับ แต่ผมว่ายังมีโอกาสอื่นอีกมาก เลยของดไว้ก่อนดีกว่า” ท่านชายทัศน์มองหน้าชายรุจก่อนบอกว่า “โอกาสที่ว่าก็หลังจากเราเข้าพิธีเสกสมรสกันแล้ว หญิงแต้วก็ต้องเป็นแขกประจำของกระทรวงเรา ใช่ไหมครับท่านอธิบดี”
ครั้นอธิบดีถามว่ากำหนดวันเข้าพิธีเสกสมรสแล้วหรือยัง ท่านชายตอบไม่เต็มเสียงว่า “คงอีก...” ก็ถูกท่านหญิงขัดขึ้น ขอตัวไปทักทายแขกทางอื่นก่อนแล้วแยกไปเลย ชายรุจจึงขอตัวไปอีกคน
ooooooo
ท่านหญิงเดินไปหามุมสงบระงับความอัดอั้น ตันใจ ชายรุจเดินตามมาเรียกเบาๆ
“ท่านหญิง...”
“มีอะไรหรือคะคุณชาย รีบพูดเถอะนะ เพราะฉันถูกห้ามพูดกับคุณชายตามลำพัง และคุณชายเองก็เคยห้ามฉันข้องแวะกับคุณชายด้วย”
ชายรุจขอร้องอย่าพูดประชดแบบนี้เลย ท่านหญิงยังพูดอย่างหมางเมินว่าอย่าเข้าใจผิดว่าตนมางานนี้เพื่อมาพบเขา
“กระหม่อมมาตามท่านหญิงเพื่อนำเสด็จไปพบ ย่าอ่อน และพี่น้องของกระหม่อม ทุกคนคิดถึงท่านหญิงกันทั้งนั้น”
“ค่ะ...แต่คงยกเว้นคุณชาย ไปซีคะ...ฉันอยากพบพวกเขาทุกคน จะได้เรียนเชิญไปร่วมงานแต่งของฉันด้วยเลย”
ชายรุจฟังอย่างเจ็บลึก ท่านหญิงมองหน้าเขาอย่างเจ็บไม่แพ้กัน แล้วเดินนำไปที่โต๊ะหม่อมเอียดและย่าอ่อน
ย่าอ่อนแสดงความรักความคิดถึงความห่วงใยที่ท่านหญิงหายไป ท่านหญิงบอกว่าช่วงนี้เด็จพ่อไม่โปรดให้ออกนอกบ้านเลยต้องอยู่โยง
ระหว่างนั้น บรรดาคุณชายก็ออดอ้อนกันว่าท่านหญิงไม่ไปพวกตนเลยอดอยากปากแห้งไม่ได้ทานขนมอร่อยๆ
ชายเล็กเล่าว่าคุกกี้ของท่านหญิงหมดโหลในเวลาอันรวดเร็ว แล้วโอบคอชายรุจมาฟ้องว่า
“คนนี้แหละกระหม่อม เอาเก็บไปทานคนเดียวในห้อง ไม่แบ่งให้ใครเลย”
บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที เมื่อท่านชายเดินเข้ามาทำความเคารพหม่อมเอียดกับย่าอ่อน ไถ่ถามกันถึงเสด็จป้าของท่านชาย ย่าอ่อนปรารภว่าอยากเข้าเฝ้าพระองค์ท่าน
“ไม่ต้องลำบากหรอก ตอนนี้ทางวังศุภกิจไม่อยากให้คนภายนอกเข้าไปยุ่มย่าม เดี๋ยวนี้พวกสอพลอมันเยอะ”
คำพูดของท่านชายทำเอาทุกคนอึ้ง แล้วท่านชายก็สั่งหญิงแต้ว
“หญิงแต้ว เด็จไปกับพี่เดี๋ยวนี้ แล้วเลิกยุ่งกับคนพวกนี้เสียที” ท่านหญิงบอกให้ไปก่อนเดี๋ยวจะตามไป “ไม่ได้ ไปกับพี่เดี๋ยวนี้”
ชายรุจขัดขึ้นอย่างทนไม่ได้ว่าเมื่อท่านหญิงรับสั่งก็ควรทำตาม กลับถูกท่านชายตวาดมองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อก่อนผละไป บรรยากาศตึงเครียดจนย่าอ่อนทำท่าจะเป็นลม พูดอย่างเข้าใจในทันทีว่ารู้แล้วว่าทำไมท่านหญิงถึงไม่โปรดท่านชายผู้นี้ ชายเล็กกับชายพีร์ฮึดฮัดกว่าเพื่อน
ท่านหญิงเอ่ยขอโทษทุกคนแล้วขอตัว ชายรุจมองตามท่านหญิงไปอย่างอึดอัด
ระหว่างออกไปเต้นรำด้วยกัน ท่านชายยังตำหนิท่านหญิงว่าบอกแล้วว่าไม่ให้ไปคบพวกวังจุฑาเทพ
“คุณย่าอ่อน และหม่อมย่าเอียดเป็นผู้ใหญ่ที่หญิงนับถือ ยังไงหญิงก็ต้องไปทำความเคารพท่าน พี่ชายทัศน์น่ะซีคะที่ไม่สมควรใช้วาจาลบหลู่ท่านอย่างนั้น”
เพียงท่านหญิงชี้แจง ท่านชายก็ไม่พอใจ หาว่าแคร์ชายรุจ ท่านหญิงทนไม่ได้ผละออกจากฟลอร์จนใครต่อใครพากันมอง ท่านชายยืนเก้ออึดใจจึงเดินตามออกมาอย่างไม่พอใจ
ท่านหญิงเดินมาที่สวนเพื่อจะกลับ จึงได้เจอกับสมรซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาจะบุกเข้าไปหาท่านชายในงานทั้งคุณแขและปรีชาพยายามห้ามแต่สมรก็สะบัดหลุดไปจนได้
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อสายสมรใช่ไหม” ท่านหญิงออกไป คาดคั้นเมื่อรู้ว่าใช่ “เล่ามาซิ เธอกับท่านชายทัศน์คบหากันมานานแค่ไหนแล้ว แล้วทุกวันนี้ยังไม่ได้เลิกคบกันใช่ไหม”
ooooooo
สมรบุกเข้าไปพบท่านชายจนได้ ถูกท่านชายพาไปหลบมุมคุยกันลับๆ แต่ท่านหญิงจับตาดูอยู่ ติดตามไปฟังอย่างใจจดจ่อ
ท่านชายไล่สมรให้กลับไปเสีย สมรไม่ยอมกลับยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน
“จะคุยอะไร ฉันไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว ฉันกำลังจะแต่งงาน เธอเข้าใจรึเปล่า” สมรโวยวายว่าตนไม่มีค่าอะไรอีกแล้วใช่ไหม “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่ตอนนี้ต้องหลบๆไปก่อน อย่าเพิ่งแสดงตัวแบบนี้ หลังจากพิธีแต่งเรียบร้อยเราค่อยมาคบกันใหม่”
“จริงนะคะ ท่านชายไม่ทิ้งหมอนนะคะ”
“รับปากแล้วไง เธอก็รู้ หญิงแต้วน่ะไม่ชอบที่ฉันมีผู้หญิงอื่น พาลจะไม่ยอมแต่งเอาง่ายๆเพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันต้องทำตัวให้ดีหน่อย พอหญิงแต้วตายใจ เราค่อยมาสนุกสุดเหวี่ยงกันเหมือนเดิม”
สมรโผเข้ากอดท่านชายบอกว่า “รักท่านชายที่สุด” แต่ถูกดันตัวออกบอกว่าเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า
ท่านหญิงได้เห็นได้ยินทั้งหมด หันพิงมุมตึกน้ำตาไหลพราก ค่อยๆเดินจากไปด้วยหัวใจที่ร้าวราน
ท่านชายถูกสมรกอดและอ้วกใส่สูททักซิโด้เลอะไปหมด ปรีชากับคุณแขผ่านมาเจอ ท่านชายบอกให้ช่วยพาไปห้องน้ำล้างสูทก่อน คุณแขถามว่าแล้วสมรล่ะ
“เรียกยามมาลากออกไป อ้อ...เรื่องนี้ให้รู้ไปถึงหญิงแต้วไม่ได้เลยนะ” ท่านชายกำชับขึงขัง
ooooooo
อธิบดีเชษฐาไปที่โต๊ะหม่อมเอียดกับย่าอ่อน แจ้งข่าวดีเรื่องชายรุจได้เลื่อนขั้นและจะได้ไปประจำที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในตำแหน่งเลนานุการโทของท่านเอกอัครราชทูตที่นั่น
หม่อมเอียดแสดงความยินดีขอให้ชายรุจก้าวหน้าในการงานต่อไป ส่วนย่าอ่อนถามอย่างตื่นเต้นว่าชายรุจจะเดินทางเมื่อไร พอรู้ว่าต้นปีหน้า ก็พึมพำ
“อีกไม่กี่เดือนแล้วสิ...ดีนะที่ย่าเตรียมการเรื่องแต่งงานไว้แต่เนิ่นๆเดี๋ยวต้องไปเร่งรัดทางคุณชายเทวพันธ์ น่าจะจัดพิธีแต่งเสียตั้งแต่เดือนหน้านี่เลย”
ชายรุจหน้าเจื่อน คุณชายทั้งสี่เข้ามาตบไหล่เบาๆอย่างเห็นใจ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยเป็นการส่วนตัว” ชายรุจตัดสินใจที่จะเผชิญความจริง
ooooooo
ที่มุมสวน คุณชายรัชชานนท์หรือชายเล็ก กับคุณชายรณพีร์ที่ยังไม่เคยรู้เรื่อง “รักต้องห้าม” ของชายรุจ ได้ยินได้ฟังการคุยกันทั้งจากผู้ใหญ่และพี่ๆก็ยิ่งอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ได้จังหวะต้องรีดความจริงจากทั้งคู่ให้ได้...ว่าแต่เรื่องพี่ชายรุจจะไปประจำการที่สวิตนี่ จะเอายังไงกับน้องกระถินดี” ชายเล็กปรารภกับชายพีร์
ท่านหญิงที่ผละจากท่านชายกับสมรผ่านมาได้ยิน ตัดสินใจออกไปเผยตัว ถามว่าได้ยินคุยกันว่าคุณชายรุจจะเดินทางไปสวิตหรือ เมื่อทั้งสองยืนยัน ท่านหญิงน้ำตาคลอ ขอร้องคุณชายทั้งสองพาไปพบชายรุจได้ไหม ตนอยากแสดงความยินดีด้วย
ชายเล็กกับชายพีร์สบตากันอย่างแปลกใจ ที่ท่านหญิงจะแสดงความยินดีกับชายรุจแต่สีหน้ากลับคล้ายจะร้องไห้...
ชายเล็กบอกว่าชายรุจกำลังคุยกับย่าอ่อนอยู่ ให้ท่านหญิงรอสักครู่ตนจะไปเรียกชายรุจออกมาพบ พอคุณชายทั้งสองเข้าไปในห้อง ท่านหญิงได้ยินเสียงแว่วๆจากในห้องจึงเดินเข้าใกล้ไปฟัง
ooooooo
ภายในห้องเล็กของกระทรวง ชายรุจสูดลมหายใจเรียกความกล้าและความมั่นใจ ก่อนบอกย่าอ่อนว่า
“คุณย่าครับ ผมขอปฏิเสธการแต่งงานกับน้องกระถิน” ย่าอ่อนจ้องตาพองถามว่าอะไรนะ! ชายรุจบอกย้ำอีกครั้งว่า “ผมแต่งงานกับน้องกระถินไม่ได้ครับ”
“นี่ย่าหูฝาดไปรึเปล่า ชายรุจ! ทำไมพูดแบบนี้” ย่าอ่อนลุกพรวดตาแทบลุกเป็นไฟ
“ผมมีเหตุผลครับ” ชายรุจรวบรวมความกล้า บอกย่าอ่อนว่าหลังกลับจากสวิตตนแน่ใจว่าแต่งงานกับใครไม่ได้ยกเว้นคนนั้นคือคนที่ตนรัก ย่าอ่อนย้ำว่าชายรุจเคยตกลงจะแต่งงานกับกระถินแล้วอย่ามาเสียคำพูด
“ใช่ครับย่าอ่อน ผมเคยพูดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เมื่อผมได้พบกับน้องกระถินก็เห็นว่าแกยังเด็กอยู่มาก และแกเองก็ลำบากใจเหลือเกินที่จะต้องแต่งกับผม”
“แกรู้ได้ยังไงชายรุจ” ย่าอ่อนเสียงเข้ม
“มีอีกหลายเรื่องครับที่ย่าอ่อนยังไม่ทราบ”
ย่าอ่อนไม่สนใจว่ามีอะไรที่ตนจะทราบหรือไม่ทราบ แต่สำคัญที่สุดคือ พระประสงค์ของท่านชายวิชชากรที่จะให้จุฑาเทพเป็นทองแผ่นเดียวกับเทวพรหม จ้องหน้าถามว่า “แกจะให้ย่าเสียผู้ใหญ่หรือยังไง!”
“ย่าอ่อนครับ ย่าอ่อนก็เห็นจากครั้งพี่ชายใหญ่แล้วนี่ครับ ว่าการที่ได้เลือกผู้หญิงที่รักด้วยตนเองนั่นแหละจะสร้างความสุขยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”
“อย่าเอาเรื่องของชายใหญ่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องของชายรุจ!” ย่าอ่อนโกรธจนตัวสั่น จ้องหน้าชายรุจตาเขียวปั้ด
ชายเล็กกับชายพีร์เข้ามาในห้อง เห็นบรรยากาศกำลังตึงเครียด ชายพีร์กระซิบถามชายเล็กว่า “อะไรกันครับ”
หม่อมเอียดฟังอยู่ตลอดเวลา ถามว่า ชายรุจเปลี่ยนใจหลังกลับจากสวิต เกิดอะไรขึ้นที่นั่นที่ยังไม่ได้บอกย่าเลย
แม้จะรวบรวมความกล้าแล้ว แต่เมื่อต้องมาพูดความจริงชายรุจก็ลังเล ชายใหญ่จึงตัดสินใจแทนว่า
“หม่อมย่าครับ ถ้าหากว่าในใจของชายรุจมีคนอื่นอยู่แล้วล่ะครับ” หม่อมเอียดถามว่าหมายความว่าอย่างไร “คือชายรุจมีหญิงอื่นในใจอยู่แล้ว ชายรุจพบรักใหม่ที่สวิตครับ”
ชายรุจถอนใจเมื่อรู้ว่าปิดบังอะไรไม่ได้แล้ว ส่วนท่านหญิงที่แนบหูฟังอยู่ก็เย็นวาบไปทั้งตัว
เมื่อถูกย่าอ่อนคาดคั้นถามว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เป็นฝรั่งมังค่าใช่ไหม บอกมาซิว่าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้นเป็นใคร!
“ได้ครับ ถ้าคุณย่าต้องการรู้จริงๆ ผมก็จะบอก เธอ...เป็นแค่ลูกพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่ง...แต่คุณย่าอ่อนไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผู้หญิงคนนั้นได้ตายจากผมไปแล้ว”
ท่านหญิงน้ำตาไหลพรากเจ็บปวดที่ชายรุจไม่กล้าพูดความจริง ตัดสินใจผลักประตูเข้าไป ถามว่า
“ฉันตายไปจากคุณแล้วใช่ไหมคะคุณชาย”
ชายรุจตะลึงงัน ทุกคนในห้องต่างอึ้ง งง... ท่านหญิงพูดต่อ แม้จะเจ็บปวดจนเสียงเครือ แต่หนักแน่นจริงจังว่า
“ได้...แต่ก่อนที่ฉันจะตายจากคุณไป ให้คุณรู้ไว้เถิดว่าคุณไม่เคยจากฉันไปไหน คุณยังสถิตอยู่ในใจฉัน” แล้วหันไปทางย่าอ่อน “คุณย่าคะ ผู้หญิงที่คุณชายรุจพูดถึง ไม่ใช่ลูกพ่อค้าที่ไหนหรอกค่ะ แต่เธอคนนั้น อยู่ที่นี่ เวลานี้ และกำลังยืนอยู่ตรงหน้าคุณย่าอ่อน”
ย่าอ่อนตกใจเงอะงะงุนงง ส่วนชายรุจตะลึงงันกับความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของท่านหญิง
“หญิงเองค่ะ คือผู้หญิงคนนั้นที่คุณชายรุจหมายถึง และที่หญิงเคยบอกคุณย่าอ่อนถึงชายคนรักของหญิง คุณย่าอ่อนอยากรู้ว่าเป็นใคร ชายคนนั้นก็คือคุณชายปวรรุจ หลานชายคุณย่าอ่อนนั่นเองค่ะ”
ทุกคนต่างตะลึงงันในอารมณ์ที่ต่างกัน แต่ทุกคนก็ได้รับคำตอบที่กระจ่างชัดแล้ว หม่อมเอียดนิ่งงันไม่นึกไม่ฝันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ส่วนย่าอ่อนนิ่งงันไปนาน แล้วทรุดฮวบเป็นลมไปท่ามกลางความตกอกตกใจของทุกคน
ooooooo
ย่าอ่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ยังไม่รู้สึกตัว ท่านหญิงเฝ้าอยู่ด้วยสีหน้าซีดเผือด บอกชายภัทรที่พูดปลอบใจว่า ย่าอ่อนไม่เป็นอะไรมากแค่ตกใจและอ่อนเพลียเท่านั้นเองว่า
“ท่านล้มป่วยเพราะคำพูดของฉัน ถ้าท่านเป็นอะไรไป ฉันคงไม่ให้อภัยตัวเอง ยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ ที่พูดความจริงไปแบบนั้น”
“เป็นความกล้าหาญของท่านหญิงต่างหากที่รับสั่งความจริงทั้งหมด”
“แต่คงมีคนหนึ่งที่เขาคงไม่เห็นด้วยกับคุณชาย”
ชายรุจยืนฟังอยู่หน้าห้อง เมื่อได้ยินท่านหญิงขอตัวลุกขึ้น ก็รีบผละออกไปทันที แต่ท่านหญิงก็ออกมาทันเห็น
“คุณชายรุจ...ไม่ยักรู้ว่าคุณชายอยู่ด้วยค่ะ”
ชายรุจชะงัก หันมาบอกว่าดึกแล้วเชิญท่านหญิงกลับไปเสียเถิด ท่านหญิงจะขออยู่ดูอาการคุณย่าจนกว่าจะฟื้น แม้ชายรุจจะบอกว่าอาจถึงเช้าท่านหญิงก็จะขออยู่
“มันไม่เหมาะที่ท่านหญิงจะ...”
“จะห่วงอะไรล่ะคะ ในเมื่อฉันตายไปจากชีวิตคุณแล้ว” ท่านหญิงตัดบทหน้านิ่งและจะเดินไป
“คนที่ตายไปจากชีวิตกระหม่อม คือสาวลูกพ่อค้าที่ชื่อรสาต่างหาก” พูดแล้วชายรุจเดินเข้าห้องย่าอ่อน เจอชายภัทรนั่งอยู่ข้างเตียงย่าอ่อน ถามว่าท่านหญิงไม่ยอมกลับใช่ไหม “ใช่...ท่านยืนยันจะประทับเฝ้าคุณย่าทั้งคืน”
ชายภัทรถามว่าแล้วชายรุจจะกลับไปพักผ่อนไหม เพราะพรุ่งนี้อาจจะเป็นวันที่หนักหนาสำหรับเขาอีกวันหนึ่ง
“ไม่...ท่านหญิงอยู่ ฉันก็จะอยู่ที่นี่”
ชายภัทรจึงจะจัดห้องพักแขกให้ท่านหญิงประทับ ส่วนชายรุจบอกว่าตนจะอยู่หน้าห้องนี้แหละไม่ต้องห่วง
ooooooo
พระองค์ฉัตรส่งบัวมาดูแลท่านหญิงอีกต่อหนึ่ง บัวเฝ้าอยู่หน้าห้องกับชายรุจ แอบแง้มประตูมองเข้าไป เห็นท่านหญิงฟุบหลับอยู่ บัวบอกชายรุจว่าไม่ต้องห่วงตนจะดูแลท่านหญิงเอง
“ท่านหญิงน่าจะบรรทมบนเตียงที่ห้องพัก นั่งบรรทมอย่างนี้ไม่สบายองค์แน่ๆ” ชายรุจเป็นห่วง บัวบอกว่าท่านทรงดื้อ ทูลขอเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป
ชายรุจตัดสินใจเข้าไปปลุกท่านหญิง “ทูลเชิญท่านหญิงเด็จประทับที่ห้องพักแขก บรรทมนั่งแบบนี้ลำบากวรกาย ตื่นบรรทมขึ้นมา ท่านหญิงประชวรแน่ๆ กระหม่อม”
“ไม่...ฉันจะอยู่ที่นี่” ท่านหญิงยืนกราน ชายรุจปรามว่าอย่าทรงดื้อ ตรงเข้าประคองร่างท่านหญิงลุกขึ้น ท่านหญิงสะบัดหลุด ยืนยันย่า “ฉันจะอยู่นี่ แล้วคุณชายก็หยุดยุ่งกับฉันเสียที”
“ถ้าอย่างนั้น กระหม่อมก็ไม่มีทางเลือกอื่น โปรดอภัยกระหม่อมด้วย” ชายรุจรวบร่างท่านหญิงอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย ท่านหญิงได้แต่ร้องให้ปล่อย...ปล่อย ดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนแข็งแรงของชายรุจ ถูกชายรุจทำเสียงดุขู่ว่า “ยิ่งทรงดิ้นกระหม่อมก็ยิ่งรัดองค์แน่นกว่าเดิม จะทรงดื้ออีกไหม” ท่านหญิงนิ่งไปกับความจริงจังของชายรุจ...
ooooooo