ตอนที่ 14
เผอิญน้ำเริ่มลดลง ศรัณย์เห็นพู่อีกอันติดอยู่ใต้อันเดิม จึงเข้าใจแล้วว่าเด็กพู่กำลังบอกให้รู้ว่าใต้ถ้ำนี้เป็นทางเข้าเวลาน้ำลด เขารีบกางแผนที่ดูแต่มันไม่ระบุว่าหลังหน้าผาธารลอดนี้คืออะไร โชติให้รอจนน้ำลด แต่ศรัณย์ทนรอไม่ได้จะว่ายน้ำเข้าไปดู โชติท้วง
“อันตรายนะครับ ข้างในมืดมากแล้วถ้ามันเป็นถ้ำยาวไปไม่สิ้นสุด คุณจะได้กลับออกมาอีกรึเปล่าผมก็ไม่รู้”
“พวกมันรอเวลาที่จะได้ล้างแค้นผม รินอยู่กับมัน ผมรอไม่ได้” ศรัณย์โดดตูมลงไปทันทีโชติร้องลั่น ใจร้อนอีกแล้ว...
ศรัณย์ว่ายน้ำมาโผล่ที่ปลายถ้ำ แล้วเขาก็ได้เห็นค่ายโจรจริงๆ จึงรีบหลบหลังก้อนหิน ก่อนจะวิ่งหลบมาหลังที่พักเพื่อหาว่ารินถูกขังไว้กระท่อมไหน
พวกโจรนั่งดื่มกินอยู่ที่ลานกว้าง ศรัณย์ย่องหาจนพบรินนั่งร้องไห้อยู่ในกระท่อมเสือขาว เขาถลาเข้ากอดเธอด้วยความห่วงใย คำรามแค้น “ผมจะสับมันเป็นชิ้นๆ ถ้าคุณเป็นอะไรไป”
“ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉันกำลังหาวิธีฆ่าตัวตายอยู่เลยถ้ามันแตะต้องฉัน”
ศรัณย์บอกรินว่าต้องออกไปอย่างเงียบๆ แล้วรอกำลังเสริมมาจัดการกับมัน ทันใดพู่ยกอาหารเข้ามาให้ริน ตกใจทำจานร่วง ศรัณย์ปรี่เข้าปิดปากพู่ก่อนที่เธอจะกรีดร้อง บอกเธอว่าตนเป็นปลัดมาช่วยพวกเธอ พู่พยักหน้าหงึกๆ พอมีโอกาสพูดก็รีบบอกว่าตนชื่อพู่ถูกพวกโจรจับมา
“เธอคือคนที่ส่งสัญญาณบอกทางพู่สีแดงใช่ไหม”
พู่รับว่าใช่ ศรัณย์ขอบใจที่ทำให้ตนหาทางเข้าเจอ พู่เล่าว่าตนถูกจับมาสี่ห้าปีแล้ว ตนคิดถึงแม่ รอคนมาช่วย ศรัณย์บอกว่าตอนนี้ต้องรอกำลังตามมา ตนอยากรู้ที่เก็บคลังอาวุธก่อน พู่ชี้ไปที่กระท่อมหนึ่ง ศรัณย์ให้เธอทำตัวปกติ กระซิบบอกเพื่อนๆที่ไว้ใจได้พากันไปหาที่กำบัง จากนั้นเขาก็พารินมาที่คลังอาวุธ ส่งปืนให้เธอกระบอกหนึ่ง ถามจำวิธีใช้ได้ไหม เธอพยักหน้า
ศรัณย์เอาระเบิดห้อยตามตัวและเหน็บอาวุธเท่าที่จำเป็น งัดฝาลังระเบิดยิ้มย่อง เข่นเขี้ยวจะเผาพวกมันให้วอด แล้วพารินออกไปแอบหลังต้นไม้ใหญ่ห่างจากคลังอาวุธ เขากระซิบบอก
“หล่อนต้องวิ่งไปที่จุดนั้น ว่ายน้ำข้ามไป ว่ายเป็นไหม ไม่เป็นก็ต้องเป็นวันนี้แหละ”
รินรับว่าว่ายพอเป็น ศรัณย์มองระยะทางเห็นว่าเป็นที่โล่งยากที่รินจะผ่านไปได้ รินหันไปเห็นหญิงคนหนึ่งจึงพยักเพยิด “ข้างหน้าอันตรายกลัวคนเห็น แล้วข้างหลังล่ะคะ”
หญิงคนหนึ่งถือถาดอาหารยืนตะลึง ศรัณย์พยายามส่งสัญญาณให้เงียบแต่เธอกับพูดว่า “ไม่มีหล่อๆ อย่างนี้แน่นอนอย่างกับพระเอกหนังขนาดนี้ไม่มีแน่ๆ อร๊าย...คนนอกเข้ามาในค่าย”
“โธ่โว้ย!” ศรัณย์ห้ามไม่ทัน จึงหยิบปืนปักหลักยิงกับพวกเสือขาว
วงอาหารแตกพวกเสือขาวกระโดดเข้าที่กำบังยิงใส่ ศรัณย์ตัดสินใจดึงระเบิดออกมาปาใส่พวกเสือขาวล้มตายไปส่วน เสือขาวสั่งให้พวกไปเอาระเบิดที่คลัง...
พู่พาเพื่อนที่อยากหนีหาที่หลบภัย ศรัณย์เห็นพวกโจรไปที่กระท่อมคลังอาวุธจึงโยนระเบิดใส่ ทำให้เปิ่นกับสมุนตาย เสือชินและเสือขาวเจ็บใจมาก เสือขาวให้ที่เหลือตั้งสติร่ายคาถาเสียงงึมงำ เกิดหมอกปกคลุม
“หมอก หมอกมาจากไหนคะ!” รินตกใจ ศรัณย์ไม่กล้ายิงและปาระเบิดก็กลัวโดนผู้หญิง
ด้านโชตินำกำลังตำรวจล่องแพลอดถ้ำเข้ามาขณะน้ำลง เห็นหมอกปกคลุมจนแทบมองทางไม่เห็นแต่ก็ไม่ย่อท้อ...ศรัณย์พารินฝ่าหมอกควันหาที่หลบ เสือขาว เสือชินพาสมุนที่เหลือตามมาล้อมทั้งสองไว้ ศรัณย์กระซิบกับริน “เอาล่ะเราได้ตายเคียงข้างกันสมใจหล่อนแล้ว”
รินตะโกนลั่น “ไอ้พวกชั่ว ต่อให้เหลือแต่วิญญาณ ฉันก็ไม่มีวันก้มหัวให้พวกแก”
เสือขาวเยาะ ยังมีหน้ามาปากเก่ง ให้นับดูว่าปืนที่จ่ออยู่กี่กระบอก เสือชินคำรามใส่ศรัณย์ว่าต้องชดใช้ชีวิตในคุกให้ตนอย่างสาสม ขาดคำเสียงโชติดังขึ้น
“ไอ้พวกโจรชั่ว พวกแกต่างหากที่ต้องตาย” ว่าแล้วก็กราดยิงใส่
ศรัณย์กระชากรินหลบ เสือขาวและพวกหันไปยิงสู้ เสือชินให้พวกท่องคาถาไว้ หมอกยังหนาทึบ ศรัณย์พารินหาที่ปลอดภัย เจอม้าจึงดึงรินขึ้นพาควบออกไป เสือขาวเห็นกระโดดขึ้นม้าตามติด เสียงรินให้ศรัณย์ระวังเพราะยังมองทางไม่เห็น ทันใดม้าหยุดตรงหน้าผา หินร่วงกราวลง ศรัณย์บังคับม้าหันกลับมาเจอเสือขาวหัวเราะร่า “วันนี้วันตาย มึงไม่ตายกูตาย กูตายมึงไม่ตาย”
พูดจบเสือขาวดึงระเบิดปาไปตกตรงหน้าม้า ทั้งศรัณย์และรินกระโดดลงจากหลังม้าเสียงระเบิดตูม...ร่างทั้งสองลอยออกไปกระแทกพื้นเคียงข้างกัน เสียงแก้วดังก้องหูศรัณย์ “คู่ที่ใกล้ชิดและรักกันมากๆจะมีความกลัวชนิดหนึ่งอยู่ในใจ...กลัวว่าใครจะตายก่อนและส่วนใหญ่จะขอเป็นคนตายก่อนทั้งนั้น ตายก่อนไม่ต้องทรมาน คนที่เหลืออยู่เหมือนถูกสาปให้จมความเหงา...”
ตามด้วยเสียงเสือขาว “คาถาอาคมของกูไม่มีใครเทียบแล้ว กูไม่มีวันตาย แต่มึงน่ะต้องตายวันนี้”
ศรัณย์พึมพำคาถาในใจ “พระพุทธคุณจงมาปกเกศอยู่เหนือเกล้า บิดา มารดา ผู้เป็นที่รัก จงมาอยู่เบื้องหลัง” หมอกจางลงเพราะการตั้งจิตอธิษฐานของศรัณย์
เสียงโชติตะโกนว่าคาถาอาคมมันจางลงแล้ว ตำรวจมีกำลังใจฮึกเหิมขึ้นยิงใส่เสือชินตาย เสือขาวไม่ทันสังเกตว่าหมอกจางลงเดินเข้ามาจ่อปืนใส่ศรัณย์ เสียงศรัณย์พึมพำ “ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาจงมาอยู่เบื้องข้าง ดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต ดวงจิตผู้ทนทุกข์จงมาอยู่เบื้องหน้า”
ศรัณย์ลืมตาพรวดกระโดดตัวลอยเตะปืนขึ้นรับอย่างสวยงามแล้วยิงใส่ช่วงอกเสือขาวหลายนัด มันสะดุ้งพรวดถอยไปตามแรงกระสุน ก้มมองตัวเองหัวเราะร่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า...คาถาคงกระพันยิงไม่เข้าโว้ย”
ศรัณย์ท่องมนต์สุดท้ายเสียงดังฟังชัด “สิ่งดีงามทั้งปวง จงพร้อมหน้ามาต่อสู้ ขอให้อาคมอันเสื่อมทรามจงวิบัติฉิบหาย!” หมอกควันหายเกลี้ยง เลือดที่อกเสือขาวทะลักออกมาจากแผลและทางปากจนสำลัก
เสือขาวตาเหลือก ศรัณย์กระโดดถีบเขาล้มหงาย สิ้นใจจมกองเลือด
เสียงปืนสงบลง พู่พาเพื่อนๆออกมามองแล้วตะโกนทั้งน้ำตา “พวกมันตายหมดแล้ว เราได้กลับบ้านแล้ว เราชนะแล้ว...”
ศรัณย์พุ่งเข้าหารินที่ยังสลบอยู่อุ้มขึ้นกอดร้อง “รินๆ อย่าเป็นอะไรนะ รินๆ...”
ooooooo
วันต่อมา รินนอนบนเตียงในห้องพยาบาล อาการหนักพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ยังไม่ฟื้น ศรัณย์นั่งกุมมือด้วยความห่วงใย...
ทุกคนทราบเรื่องต่างมาเยี่ยมริน เจ้าคุณบำรุงลูบหัวรินอย่างรักใคร่ “ลูกของพ่อ ตื่นขึ้นมาเสียทีนะ เราทุกคนรอเจ้าอยู่”
ด้านเจ้าคุณพิจารณ์รู้ข่าวริน หัวใจแทบสลายนอนน้ำตาไหลอยู่บนเตียง...วันใหม่รินก็ยังไม่ฟื้น ศรัณย์เข้ามาจับมือเธอประสานนิ้ว คิดถึงภาพหวานชื่นตั้งแต่วันแรกที่พบกันจนปัจจุบัน
“นับถึงวันนี้ 50วันพอดี 50วันแล้วที่เราแยกกันอยู่ ฉันไม่ชอบเลยชีวิตที่อยู่ในความมืด หาดวงตะวันไม่เจอ ฉันไม่มีความสุขเลยจริงๆ หล่อนตื่นขึ้นมาเสียทีเถอะ” ศรัณย์ซบหน้าลงขอบเตียงด้วยความเสียใจ ทันใดมือของรินที่ประสานกันก็ค่อยๆบีบมือเขา
รินค่อยๆลืมตามอง เปล่งเสียงเรียกศรัณย์ เขาเงยหน้ามาน้ำตาเอ่อแล้วเปลี่ยนเป็นร้องไห้ออกมาอย่างตื้นตันพูดไม่ออก รินกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “คุณไม่พูดกับฉันอีกแล้ว...”
ศรัณย์ส่ายหน้าน้ำตาร่วงเผาะ ยิ้มออกมาด้วยความดีใจไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ รินมองเขาแล้วมองเลยไปรอบห้องด้วยความดีใจเช่นกัน...
ศรัณย์กับชรัตน์ฟังหมอบอกผลเอกซเรย์ของริน ทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหาที่จะย้ายไปรักษาตัวต่อที่พระนคร แต่คงต้องพักฟื้นที่นั่นอีกสักพัก ชรัตน์ตบไหล่ศรัณย์โล่งอก
หลายวันผ่านไป เสนอยังมีผ้าพันแผลเล็กน้อยมองชาวบ้านดีใจที่ลูกหลานกลับมาสู่อ้อมอก ต่างพามาให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ รวมทั้งศรัณย์ก็มาร่วมพิธีด้วย พู่ไม่ยอมรดน้ำมนต์ น้อยบอกศรัณย์ว่าทุกคนเชื่อสนิทใจว่าเขามีคาถาอาคมเช่นกัน ศรัณย์ยืนกรานว่าตนไม่มี คล้ายบอกว่า
“พวกนังพู่ที่ออกมาจากค่าย มันกลัวว่ายาสั่งของเสือขาวจะทำให้พวกมันตาย แต่พวกมันเชื่อในตัวคุณปลัด”
ศรัณย์มองโถน้ำมนต์แล้วบอกว่าหน้าที่เสกน้ำมนต์เป็นของพระไม่ใช่ตน พู่ขอร้องให้ศรัณย์ร่ายคาถา คล้ายยุให้ทำๆ ไป ศรัณย์อ่อนใจนึกบางอย่างได้ จึงถอดสร้อยพระที่รินให้ออกมาพนมมือไหว้แล้วหย่อนลงไปในโถน้ำมนต์ “ฉันใส่พระองค์นี้ตอนสู้กับเสือขาว”
หลวงพ่อกล่าว “สาธุ ไม่มีคาถาอาคมใดสู้พระพุทธคุณได้ดอก...เอ้ามา”
พู่และพวกยินยอมเข้ารับการประพรมน้ำมนต์โดยดี คล้ายกล่าวกับศรัณย์ว่าในที่สุดเขาก็ทำได้ นุ้ยลูกชายตนคงตายตาหลับเสียที น้อยนำทีมแม่บ้านขอบคุณศรัณย์อย่างปลาบปลื้ม แฟนคลับจับกลุ่มโบกมือให้หยอยๆ เสนอแอบแซว “พิฆาตโจร พิฆาตนารีด้วย ฮ่าๆๆ”
ในวันเดียวกัน ศรัณย์เดินมาอีกมุมหนึ่งของวัด บรรยากาศร่มรื่นสุขสงบสะอาดตา เห็นแม่ชีหลายคน บางคนกวาดลานวัด บางคนทำสวน บางคนเดินจงกรม บางคนนั่งสมาธิ ศรัณย์เดินมาหาดวงสวาทที่นั่งทำสมาธิอยู่ เธอบวชชีพราหมณ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับนริศ และเพื่อความสงบในจิตใจของเธอด้วย ศรัณย์เอ่ยไม่เคยนึกจะเห็นภาพอย่างนี้เลย ดวงสวาทยิ้ม
“เมื่อก่อนแค่เข้าวัดยังหงุดหงิดเลย...ที่นี่ ตอนนี้ดีกว่าอยู่บ้าน ดีกว่าอยู่โรงพยาบาล ดีกว่าอยู่พระนคร ไม่เคยสุขสงบอย่างนี้มาก่อนเลย”
“สีหน้าคุณบอกอย่างนั้นชัดเจนทีเดียว”
“เมื่อคืนดวงฝันถึงคุณชายนริศด้วย เขามาขอบคุณที่บวชให้”
“คุณชายนริศเหมือนพ่อผม คนดีที่ยอมแพ้อย่างไม่น่าเชื่อ”
“บาปกรรมที่ดวงทำกับเขาหนักหนา ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็คงอยู่ไม่ได้หรอก”
ศรัณย์ถามจะอยู่อีกนานแค่ไหน ดวงสวาทตอบว่าสักพักใหญ่ จากนั้นจะบินไปอยู่กับพ่อแม่ที่อังกฤษ ช่วยท่านทำมาหากินส่งเงินมาใช้หนี้ ศรัณย์เข้าใจชีวิตมากขึ้น
“หลังพ่อผมฆ่าตัวตาย ผมต้องไปอยู่วัด ตอนนั้นนึกว่าโชคร้าย เอาเข้าจริงผมว่านี่คือโชคดี ไม่งั้นผมก็คงเป็นแค่คุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่มีประโยชน์อะไรกับโลกใบนี้”
“ฉันจะจำคำของคุณไว้”
“ไม่ว่าคุณไปอยู่ไหน โปรดเอาความปรารถนาดีของผมไปด้วย คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ความรักของคุณชายนริศและผมจะอยู่กับคุณเสมอ แค่มันเปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น”
ดวงสวาทพยักหน้าขอบคุณจากหัวใจ
ooooooo
ด้านบารนีนั่งซึมอยู่กับบ้านจนเพ็ญแขเอ่ยถาม อาทิตย์หนึ่งแล้วที่ไม่เห็นเธอออกไปเที่ยว เธอรับว่าใช่จะไม่ออกไปบ่อยๆอีกแล้ว แต่ตนเบื่อที่ชีวิตดูไม่มีความหมายอะไรกับใครเลย
เจ้าคุณบำรุงปลอบ “ถ้าชีวิตอยู่เพื่อรับ ลูกก็จะมีแต่ความว่างเปล่า แต่ถ้าชีวิตอยู่เพื่อให้ ลูกก็จะมีจนล้นเหลือ”
“บานีไม่ใช่รินหรือยัยบุ ฟังไม่เข้าใจหรอกค่ะ”
“ลูกเข้าใจอยู่แล้ว พ่อรู้”
“รักพ่อแม่ รักเพื่อน รักในงานที่ทำ รักสัตว์ รักต้นไม้ รักการเต้นรำ รักการอ่าน รักของพวกนี้หนูจะไม่มีวันอกหัก” เพ็ญแขให้แง่คิด
บารนีบอกว่าอรุณชวนให้ไปทำงานที่กระทรวงต่างประเทศที่เขาเคยทำ เจ้าคุณถามแล้วคิดอย่างไร บารนีหันมายิ้มให้พ่อกับแม่ “ชีวิตไม่สิ้น ต้องดิ้นต่อไป ลูกจะไปทำค่ะ...เป็นผู้หญิงทำงาน แต่งตัวสวยๆ มีเกียรติ มีเงิน มันก็โก้ไม่หยอก ว่าไหมคะ”
เจ้าคุณบำรุงกับเพ็ญแขยิ้มปลื้มที่ลูกคิดได้ ทั้งสองเข้าโอบกอดให้กำลังใจ...ในขณะที่รินเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลในพระนคร บุรณีคอยดูแลป้อนซุป ชรัตน์หิ้วปิ่นโตมาเยี่ยมชะงัก
“เอ้า...ทานแล้วเหรอ ที่บ้านเขาทำโจ๊กมาฝาก”
รินรีบบอกให้วางไว้ ยกให้บุรณีเธอชอบทานโจ๊ก บุรณีทำหน้าเจื่อนๆ รินแปลกใจถามทะเลาะกันหรือ... บุรณีนึกถึงที่ผ่านมา เธอบอกชรัตน์ว่า “ถ้าฉันสอบชิงทุนได้จะหายไปหลายปีเลยนะ คุณควรจะหาผู้หญิงคนอื่นที่มีเวลาดูแลคุณ ไม่ใช่ผู้หญิงบ้าเรียนอย่างฉัน”
“พูดตรงตีเข้าแสกหน้าเลยทีเดียว”
“ดิฉันไม่อยากให้คุณเสียเวลา เสียประโยชน์ ผู้ชายอย่างคุณมีคนดีๆ คนสวยๆ รอเข้าคิวมากมาย ให้ดิฉันเป็นน้องสาวคุณเหมือนกับริน แบบนี้ดีแล้วว่าไหมคะ”
“นี่เราโดนบอกเลิกตั้งแต่ยังไม่คบเลยนะนี่” ชรัตน์หน้าม้านผิดหวังเสียใจ...
ทั้งชรัตน์และบุรณีทำหน้าไม่ถูก ชรัตน์บอกรินว่าจะออกไปหาช้อนมาให้จะได้ทานด้วยกัน รินมองทั้งสองคนอย่างสงสัย...
สุดท้ายชรัตน์ก็เศร้าซึมไม่อยากออกงานสังคมจนช้องนางผิดสังเกต แซวว่าสาวๆ คงคิดถึงแย่ เขาบอกว่าไปแล้วไม่สนุกเหมือนก่อน ช้องนางถามเพราะอะไร
“เพราะคุณบุรณี สาวๆกี่คนก็ทำให้หยุดคิดถึงคุณบุไม่ได้ ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมเขาบอกเลิกผม” ช้องนางแกล้งท้วงจะสนใจผู้หญิงบ้าเรียนทำไม “ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ ผู้หญิงคนอื่นเขาตามใจผม ยกย่องผมแต่ผมกลับคิดว่าหนุ่มเจ้าสำราญอย่างผมคงไม่เจริญถ้าคบกับพวกหล่อน”
“แล้วคบกับบุรณี จะเจริญขึ้นอย่างนั้นรึ” ช้องนางแอบขำแล้วรีบวางมาดเข้ม
“เธอนิสัยดีกว่าผม เหล้าบุหรี่ไม่แตะ ใจก็เย็นคุยก็สนุก ฉลาดกว่าผมตั้งเยอะ เธอต้องพาชีวิตผมไปดีแน่ๆ”
“แต่เขาดุนะ แล้วก็ไม่ตามใจเธอด้วย ขนาดทรัพย์–สมบัติ นามสกุลของเราเขายังไม่สนใจเลย อาว่าเขาจะทำให้ชีวิตเราจืดชืด ไม่สนุกสนานไม่เหมือนผู้หญิงพวกนั้นนะ”
“ถ้าผมไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเอง ผมคงต้องไปแต่งกับพวกนั้น จะได้มีเพื่อนเที่ยวสำเริงสำราญ แต่ถ้าไม่เอา อยากมีครอบครัวดีๆ มีลูกดีๆ เก่งๆ คุณบุรณีนี่แหละดีที่สุด”
ช้องนางหัวเราะตบมือชอบใจ ชรัตน์แปลกใจ ช้องนางบอกว่าบุรณีพลาดครั้งใหญ่ที่คิดว่าเขาโง่ ที่จริงเขาฉลาดที่สุดและปลอบใจ อย่ายอมแพ้ถ้าคิดจะรักต้องต่อสู้ ชรัตน์มีกำลังใจขึ้น
“ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มักจะมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือมีเมียดี”
“จริงด้วย ถ้าอยากได้ดีต้องมีเมียดี ได้คุณบุมาผมสบายแน่ๆ ต้องสู้ครับ ต้องสู้ ฮึบ...เอาใหม่” ชรัตน์ทำท่าพร้อมสู้ ลุกขึ้นกระฉับกระเฉง ช้องนางหัวเราะความซื่อของหลานชาย
วันต่อมา ชรัตน์มาที่บ้านบำรุงประชากิจ เห็นบุรณีนั่งอ่านหนังสืออยู่ก็เอาสร้อยทองคล้องแหวนบุษราคัมยื่นไปตรงหน้าเธอ หญิงสาวสะดุ้ง ชายหนุ่มขออนุญาตสวมสร้อยคอให้เธอ
“นี่คุณทำอะไรเนี่ย!”
“แหวนผม...ให้คุณ”
“เอาของแพงๆ มาให้ฉันอีกแล้ว แหวนบุษราคัมนี่มันแหวนที่เข้าคู่กับ...”
“สร้อยของริน ในเมื่อสร้อยบุษราคัมของรินอยู่กับศรัณย์ แหวนของผมต้องอยู่กับคุณถูกแล้ว” บุรณีย้ำเราจะเป็นเพื่อนกัน ชรัตน์กุมมือเธอที่กำลังจะถอดสร้อยบอกยังไม่หมด เอาแหวนเธอด้วย บุรณียื้อ เขาถอดแหวนที่นิ้วเธอ “เอามานี่เลย ไม่รู้แหวนคุณเอามาจากไหน แต่ผมเห็นคุณใส่ตลอด ผมจะเอา”
บุรณีจะแย่งคืน บอกแหวนนั้นพี่สาวซื้อให้ แต่ชรัตน์เก็บใส่กระเป๋าเสื้อเรียบร้อย สรุปความเอาเอง “คุณเรียนเท่าที่คุณอยากเรียนไปเถอะครับ ผมจะรอ เราแลกแหวนกันเพื่อเตือนให้เรารอกัน รอจนกว่าคุณจะเรียนจบ”
“คุณจะรอหรือคะ!”
ชรัตน์รับว่าใช่ตนตัดสินใจแล้ว บุรณีแอบดีใจแต่กลบเกลื่อนหาว่าเขาคิดเองเออเองไม่ถามสักคำ ชรัตน์สวน “เอ๊า ก็คุณให้รอ ผมก็รอแล้วไง”
“รอเฉยๆไม่ได้ ต้องทำอย่างอื่นด้วย”
ชรัตน์หน้าเหวอจะต้องทำอะไรอีก หญิงสาวหน้าเข้ม จริงจังดูมีอำนาจเหนือชรัตน์ชัดเจน บอกให้เขาต้องทำงานมากกว่านี้ นั่งหลับแบบเดิมไม่ได้ แล้วเผลอพูดจริงจัง “เมื่อไหร่จะทำงานเป็น ถ้าฉันมีลูก ลูกของฉันต้องมีพ่อเป็นตัวอย่างที่ดี รู้จักรับผิดชอบงาน”
“โฮ้ย...คุณนี่ ได้คืบเอาศอกจริง แต่เอ๊ะ! นี่แปลว่าคุณตกลงแล้วใช่ไหม เฮ้ย พูดไปถึงลูกแล้วนะคุณ ผมยังไม่คิดเลย”
บุรณีนึกได้หน้าแดง ตีเขาผัวะ “บ้า...ก็ฉัน...ฉันเผลอ”
“เฮ้อ...ดีใจที่สุดเลย ขอบคุณนะครับ แค่ได้โอกาส แค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ”
บุรณีจึงตั้งกฎตามมาอีก ห้ามเที่ยวดึก...ห้ามโกหก...ห้ามนอกใจ...ห้ามทำเจ้าชู้ เขาแย้งทันทีว่าไม่ได้ เธอหน้าเสีย เขาหอมแก้มเธอฟอด “ไม่ทำเจ้าชู้กับคุณ ทำไม่ได้ ยอมตายดีกว่า”
“คนบ้า ขโมยหอมแก้มฉัน ฉันไม่ยอม” บุรณีเอาหนังสือไล่ตี ชรัตน์วิ่งหลบไปมาเสียงหัวเราะมีความสุขสุดๆ
ooooooo
แก้วมาดูแลรินที่โรงพยาบาล บอกข่าวดีแก่เธอว่าหมอจะให้กลับบ้านได้ เธอดีใจอยากกลับโดยเร็ว แต่แก้วบอกว่าต้องอาทิตย์หน้า รินเบื่อเพราะนอนโรงพยาบาลมาหนึ่งเดือนแล้ว แก้วบอกอีกว่าศรัณย์คงดีใจ รินสลดลงเพราะต้องกลับไปหาพ่อก่อน ศรัณย์คงไม่ยอมไปอยู่ด้วย
“แล้วศรัณย์ไม่เคยคุยกับลูกหรือจ๊ะ ว่าจะเอายังไง” แก้วถามอย่างห่วงใย
“รินไม่กล้าถามค่ะ กลัวว่าคุณศรัณย์จะทำใจไม่ได้ที่ต้องมาอาศัยบ้านเมียให้คนครหา”
“เอ...หรือจะกลับลงไปปักษ์ใต้ดี”
“ยังไงรินก็คงต้องไปหาคุณพ่อพิจารณ์ก่อน ท่านถามถึงรินทุกวัน ถ้าไม่ได้เห็นหน้ารินท่านจะไม่มีกำลังใจ”
“ทางหนึ่งก็พ่อ ทางหนึ่งก็ผัว วุ่นน่าดู อืม...แม่ว่าจะคุยกับศรัณย์” รินหน้าตื่นถามจะคุยอะไร “ก็เขาอึดอัดที่หนูเป็นเศรษฐีไม่ใช่หรือ ก็อยากจะถามเขาว่า ต้องให้หนูกลับไปเป็นนางก้นครัว ใส่เสื้อผ้าเก่าๆอีกใช่ไหมถึงจะพอใจ”
รินยิ้มๆไม่ได้คิดอะไรมาก...วันต่อมา แก้วกลับมาบ้านปักษ์ใต้ ศรัณย์กลับจากทำงานเห็นแม่ก็ยกมือไหว้เข้ามากอด ถามถึงรินเป็นอย่างไรบ้าง เธอตอบว่าหมอให้กลับบ้านได้แล้ว และถามลูกเพิ่งออกมาจากป่าหรือ
“ครับ มาประชุมรอกำลังเสริม นี่เดี๋ยวก็ต้องเข้าไปอีก ยังไม่ได้นอนบ้านสักคืนเลยครับ”
ศรัณย์เห็นแก้วซื้อของมาจากพระนคร เป็นแก้วน้ำใบใหม่ออกมาจัดวาง จึงทักว่าสวยดีเอามาใช้ที่นี่หรือ แก้วย้อนถามว่าสวยหรือ เขาพยักหน้ารับ แก้วจับแก้วน้ำสองใบมากระทบกันอย่างแรง เกิดการแตกร้าวขึ้น ศรัณย์ตกใจกึ่งแปลกใจว่าแม่ทำอะไร แก้วยกทั้งสองใบขึ้น
“อันหนึ่งแตก อันหนึ่งร้าว อยู่ด้วยกันอย่างหัวใจสลาย อยู่กันตามหน้าที่ไม่มีความรัก”
“ไม่ใช่เรื่องแก้ว...” ศรัณย์เริ่มเข้าใจความหมายของแม่
“เรื่องชีวิตคู่ ใจฉันก็เป็นแก้ว ใจเธอก็เป็นแก้ว นั่นนี่ก็อ่อนไหวไปหมด ทำผิดนั่นก็โกรธ ทำผิดนี่ก็เสียใจ กระแทกนิดกระแทกหน่อยก็เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่รู้จักให้อภัย แบบนี้อยู่กันไม่ได้หรอกลูก”
“คุณแม่หาว่าผมเจ้าคิดเจ้าแค้น...”
แก้วเอาน้ำเทใส่แก้วใบใหม่ที่ไม่แตกร้าว แล้วสอนว่า “ถ้าทั้งสองรู้เวลาที่จะทำตัวเป็นน้ำ ไม่ใช่ทำตัวเป็นแก้ว เอาแต่ชนะกันตลอดเวลา ชีวิตก็จะไม่มีปัญหา”
ศรัณย์นึกถึงคำสอนวันที่แม่รดน้ำสังข์...น้ำจะเปลี่ยนรูปร่างไปตามภาชนะที่มันใส่ น้ำจึงไม่มีอัตตาตัวตน เมื่อหลอมชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว ก็ขอให้ให้อภัยต่อกัน ใช้ความเมตตาต่อกันนำทางไปนะลูก...
แก้วเลื่อนแก้วน้ำมาตรงหน้าศรัณย์ เขาได้คิดว่าคำสอนของแม่วันนั้นหมายถึงสิ่งนี้นี่เอง
ooooooo
รินกลับจากโรงพยาบาล คนรับใช้เข้าประคองไปกราบพระพิจารณ์ เธอบอกพ่อว่าเธอปลอดภัยดี
พระพิจารณ์ดีใจน้ำตาเอ่อพยายามพูด “ลูก...ลูกกลับมาแล้ว ลูกปลอดภัย”
รินโผกอดบอกไม่ต้องห่วง ตนไม่เป็นอะไร ตนอยู่ที่นี่แล้ว...หลังจากนั้น รินออกมานั่งคุยกับชรัตน์ เขาถามว่าเธอจะอยู่บ้านนี้กี่วัน เธอส่ายหน้าช้าๆ
“ยังไม่ได้คุยกับคุณศรัณย์เลยค่ะ เขาเข้าป่าเรื่องจับไม้เถื่อนอะไรสักอย่างค่ะ”
“มิน่าหายไปเลย มีคดีใหม่นี่เอง ยังไม่ทันได้พักเลยนะนี่”
“รินคงต้องเป็นฝ่ายลงไปหาเขา แต่ไม่กล้าบอกคุณพ่อ กลัวท่านเสียใจ”
“รินขึ้นไปเก็บของเถอะ พี่จะบอกคุณพ่อให้เอง พี่เกรงใจ น้องกับศรัณย์มีแต่เรื่อง ต้องแยกกันอยู่มาตลอด พี่จะอธิบายให้พ่อฟังเอง”
ไม่ทันไรพยาบาลหน้าตื่นเข้ามา “คุณคะ รบกวนเอารถออกไปโรงพยาบาลค่ะ ท่านเจ้าคุณอาเจียนหนัก”
ทั้งสองตกใจ รินรีบวิ่งไปดูพ่อ ชรัตน์สั่งคนเอารถออกและให้คนมาช่วยกันอุ้มพ่อ...
คุณหมอตรวจอาการแล้วบอกว่า พระพิจารณ์ติดเชื้อในลำไส้ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงต้องนอนโรงพยาบาลให้หมอดูอาการ รินคิดหนักเพราะยังไม่อาจกลับไปหาศรัณย์ได้...กลับมาบ้านถามคนรับใช้ว่ามีโทรศัพท์ถึงตนบ้างไหม คนรับใช้บอกว่าไม่มี รินเสียใจที่ศรัณย์ไม่คิดจะโทร.มาหาบ้าง เธอกลัดกลุ้มจะต้องอยู่ดูแลพ่ออีกระยะ
กลางดึกคืนนั้น รินนอนหลับอยู่ในห้องนอน มีคนเดินเข้ามา วางกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วเข้ามาเรียกเธอเบาๆ เธอส่งเสียงในคอ...หือ...แต่ก็หลับอย่างคนขี้เซาตามเคย เสียงผู้มาเยือนกล่าว
“ขอนอนด้วยนะ...หล่อนนี่ชอบใช้ผ้าห่มเล็กนะ แต่ไม่เป็นไร” ศรัณย์ลงนอนกอด ซุกตัวเข้าในผ้าห่มผืนเดียวกับเธอ เสียงรินงัวเงียว่า...ฝันดีจัง...ศรัณย์หัวเราะเบาๆกับความขี้เซาของเธอ
ทันใดรินสะดุ้งจะพลิกตัวหนี ศรัณย์ดึงเธอกลับมากอดไว้ บอกให้ระวังตกเตียง รินช็อกมองหน้าเขาอึ้ง ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปจับใบหน้าแล้วโพล่งขึ้น “ไม่ได้ฝันนี่!”
ศรัณย์จูบมือรินและบอกว่าตัวจริง รินหันมองรอบห้องแล้วบอกเขาว่า นี่มันบ้านพ่อ เขาพยักหน้า “อื้อบ้านเศรษฐีของเมีย สำหรับปลัดจนๆ จับเสือทั้งชาติยังซื้อไม่ได้เลย”
รินมองไปเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของศรัณย์ “กระเป๋าคุณ...”
ศรัณย์พยักหน้า “ทำจดหมายลาพักร้อนไปนานแล้ว แต่มันมีคดีจับไม้เถื่อนขึ้นมา อยู่ในป่าตั้งอาทิตย์พอออกจากป่าก็รีบกระโดดขึ้นรถไฟมานี่ให้เร็วที่สุด”
“คุณจะมานอนที่นี่!”
ศรัณย์รับว่าใช่ รินแย้งเขาไม่กลัวคนครหาว่าอยู่บ้านเมียอีกหรือ เขาจูบปากเธอก่อนจะบอกว่า “ช่างคนนินทา”
รินผลักเขาออกบอก “ฉันไม่ย้ายออกจากบ้านนี้นะคะ ฉันจะอยู่ดูแลคุณพ่อ”
“ฉันก็จะอยู่กับหล่อน” ศรัณย์พูดจบจูบปากเธออีกครั้ง รินรั้งไว้
“ฉันจะไม่เปลี่ยนตัวเองกลับไปมาเพื่อเอาใจคุณนะคะ เสื้อผ้าแบบเก่าแบบใหม่อะไรนี่ การใช้เงินก็อีกอย่าง ฉันจะทำทุกอย่างตามเหตุผลอันสมควร”
“ก็ดีแล้ว...” ศรัณย์ไม่สนใจกอดเธอแนบแน่น รินไม่อยากเชื่อถามอีกแน่ใจหรือ “อื้อ...ต่อไปนี้นอนที่ไหนก็ได้ เพราะหล่อนคือบ้าน บ้านของฉัน”
“แต่ว่างานของคุณ...อุ๊บ”
ศรัณย์ไม่ปล่อยให้รินได้พูดอีก เขาไม่อาจทนความเสน่หาและหัวใจที่คิดถึงเธอได้อีก ทั้งสองมีความสุขร่วมกันตามหัวใจปรารถนาอีกครั้ง โดยไม่มีอะไรมากีดขวางความ ต้องการได้อีก
รุ่งเช้าอันสดใส ศรัณย์เดินออกมาชมบ้าน รินยกกาแฟมาเสิร์ฟ เขาติงว่าเธอตื่นเช้ากว่าตนวันนี้ รินย้อนถามว่ากี่โมงแล้ว เขานอนตื่นสายที่สุดจนนึกว่าไม่สบายเสียอีก ศรัณย์ยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้นอนหลับสนิทที่สุด แสดงว่าคงเป็นบ้านจริงๆ รินปลาบปลื้มถามเขาอยาก ทานอะไร ตั้งแต่อยู่บ้านนี้ตนไม่มีโอกาสได้ทำครัวเลย แต่วันนี้จะไม่ยอม จะต้องทำอาหารให้เขาทาน
“ขอโทษที่หล่อนลงไปคราวที่แล้ว ฉันไม่พูดด้วย ตอนนั้นคิดแต่เรื่องเสือขาว แค่เรื่องงานก็ปวดหัวมากแล้ว คิดแต่ว่ารอก่อน เรื่องของหล่อนเอาไว้ก่อน”
รินถามทำไมจู่ๆถึงรับชีวิตของตนขึ้นมาได้ ศรัณย์ยอมรับว่าตอนที่เธอโดนเสือขาวจับไป ตนโกรธตัวเองมากที่มัวแต่รอนั่นนี่ไม่พูดกับเธอ ถ้าเธอเป็นอะไรไปตนต้องพลาดโอกาสนั้น รินถามแล้วตอนตนอยู่โรงพยาบาลไม่ฟื้น ศรัณย์บอก “นั่นแทบเป็นบ้า นั่งบอกกับตัวเองถ้าหล่อนตื่นขึ้นมา 50 วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะแยกกันอยู่ เราจะไม่แยกกันอยู่เกิน 50 วันอีกแล้ว”
รินรีบบอกว่าเราจะอยู่ด้วยกัน คุยกันทะเลาะกัน อะไรก็ได้ แต่จะไม่แยกจากกัน ศรัณย์จะไม่คิดเรื่องฐานะที่แตกต่างอีก ไม่คิดถึงศิวะเวทย์ คำครหานินทาอีกเรื่องเดียวที่ใหญ่ที่สุดคือไม่มีเธออยู่เคียงข้าง รินกล่าว “ไม่ใช่ทุกคนได้พบคู่ ไม่ใช่ทุกคู่มีความรัก ฉันมีวาสนาได้พบทั้งคู่ได้พบทั้งความรัก ฉันจะพยายามรักษาเอาไว้”
“ภรรยาที่แสนดีอย่างหล่อนคือวาสนาของฉัน เราจะให้อภัยกันแล้วให้อภัยกันอีก ทำแล้วทำอีกจนกว่าจะตายจากกันนะ”
ศรัณย์และรินสวมกอดกันด้วยความรักและความเข้าใจ ซึ่งไม่อาจมีอะไรมาทำลายได้อีก
ooooooo
—อวสาน—