ตอนที่ 11
ชรัตน์รับร่างรินที่ถูกดวงสวาทผลักเซมา แก้วเสียใจมากถามเจ้าคุณบำรุงว่าที่ดวงสวาทพูดว่ารินเป็นคนรับใช้เป็นเรื่องจริงใช่ไหม บารนีเข้ามาผลักดวงสวาทกระเด็นบ้าง ชี้หน้าว่าไม่มีสิทธิ์มาด่าว่าครอบครัวตนเพราะเธอไม่เคยรู้เรื่องในครอบครัวตนจะพูดบ้าแบบนี้ไม่ได้
ดวงสวาทท้าให้ไปอำเภอไปตรวจสอบทะเบียน ทุกคนเงียบ แก้วผิดหวังมองหน้าลูกชายอย่างสงสาร แต่ศรัณย์กลับบอกว่ารู้เรื่องนี้นานแล้ว เขาสบตารินด้วยแววตาเสียใจ เพ็ญแขยืนยันว่ารินเป็นลูกสาวที่ดีที่สุดถึงได้ส่งไปให้ด้วยความหวังดี แก้วสวนแต่ก็ไม่ใช่ลูก เจ้าคุณกล่าว
“ทุกสิ่งที่เราทำลงไปเพราะรินคือลูกสาวและศรัณย์คือลูกของเพื่อน เพื่อนรักก็คือเพื่อนรัก นี่คือความรู้สึกของผมส่วนคนอื่นที่มองมาจะมองรินและครอบครัวเราเป็นยังไงก็สุดแล้วแต่”
ดวงสวาทประกาศว่าการแต่งงานต้องเป็นโมฆะต้องยกเลิก โกหกแบบนี้จะนับเป็นเมียอีกหรือ คนเป็นเมีย คนที่รักกันเขาไม่โกหกกัน ศรัณย์มองรินอย่างเสียใจเพราะได้ประสานมือถามครั้งสุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่ตอบ รินสบตากุมมือขอให้เขาเชื่อใจและฟังตน อรุณดึงดวงสวาทจะให้ออกไป แต่เธอสะบัดโวยลั่นว่าความจริงก็คือความจริง รินต้องกลับไปเป็นคนใช้ตามเดิมเพราะสายเลือดเธอคือคนใช้ ชรัตน์ทนไม่ไหวออกมาประกาศกร้าว
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนใช้ อยากฟังนิทานตอนต่อไปไหมล่ะ”
ดวงสวาทตวาดเขาเกี่ยวอะไรด้วย ชรัตน์จึงบอกว่าลิเกหรือนิยายมักมีจุดหักมุมของเรื่อง “คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่คุณบอก แท้จริงคือน้องสาวของผม ลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีคุณพระพิจารณ์ เจ้าของกิจการค้าไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แปลกไหมทายาทที่หายไปของรพิพันธ์ น้องสาวที่ฉันตามหาแทบพลิกแผ่นดิน ที่แท้กลับเป็นคนใกล้ตัวเป็นเมียที่รักของแกนั่นล่ะ”
ศรัณย์ช็อกมองหน้าริน ปล่อยมือลงจนเธอใจหายไม่เข้าใจความคิดของเขา ดวงสวาทโวยว่าโกหก อรุณอุทานด้วยคำของสาย...เอาแล้วเอาหล่า...ชรัตน์ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง และใครก็มาดูถูกรินอีกไม่ได้ว่าเธอไม่มีหัวนอนปลายเท้า
นายอำเภอตัดบทลุกขึ้นปรบมือแสดงความยินดี ทุกคนจึงปรบตาม ผู้ว่ากระซิบกับภรรยาว่า นิทานเรื่องนี้พิสดารกว่าลิเกจริงๆ
ทุกคนแยกย้ายกันไป มีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องคุยกันในห้องรับแขกของอำเภอ ชรัตน์ถามเจ้าคุณบำรุงกับเพ็ญแขถึงสร้อยพระพร้อมเอารูปเรียงให้ดู เพ็ญแขจำได้ว่าเคย เจอเรียงก่อนที่จะมีเด็กมาทิ้งหน้าบ้าน ตนไม่ได้เฉลียวใจเลย ตอนนั้นที่ตลาดเรียงอุ้มทารกแต่งตัวซอมซ่อมาขอข้าวแม่ค้ากินแต่โดนแม่ค้าไล่ ตนจึงซื้อข้าวให้เธอ หลังจากนั้นรุ่งเช้าก็มีทารกมาวางหน้าบ้านมีสร้อยพระเส้นนี้และกระดาษที่เขียนชื่อว่า...ริน ระพี ซุกอยู่ในเบาะ
อรุณเดาว่าเรียงคงเห็นความเมตตาจึงมั่นใจว่าจะดูแลลูกได้ ชรัตน์เล่าว่าตอนนั้นเรียงป่วยหนักไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งลูก เพ็ญแขซาบซึ้งใจที่ลำบากแค่ไหนเรียงก็ไม่คิดขายลูกกิน รินน้ำตานองหน้าลูบไล้รูปแม่ขอโทษที่คิดน้อยใจ เจ้าคุณบอกว่าให้คนสืบหานามสกุลระพีมาตลอดไม่พบเบาะแสอะไร คงเพราะเรียงเขียนหนังสือไม่ค่อยเป็นจึงสะกดไม่ถูก ทำให้ตนหาไม่เจอ
ดวงสวาทโวยว่านิยายน้ำเน่า บุรณีกับบารนีสมน้ำหน้า ที่คิดจะทำให้รินได้อาย แต่กลับกลายเป็นลูกเศรษฐี ดวงสวาทโกรธถลาจะเข้าตบ รินเข้ายืนเคียงข้างสองสาว บอกลองแตะพี่น้องตนดู สามสาวยกมือรอ ดวงสวาทชะงัก ถอยไปเกาะแขนศรัณย์ยุแยง
“ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่บำรุงประชากิจ เขาหลอกคุณนะคะศรัณย์ คุณน้าคะคุณน้าต้องจัดการนะคะ ศิวะเวทย์มีเกียรติยศเหมือนกัน จะยอมให้ถูกหลอกง่ายๆหรือคะ”
แก้วสบตาเพ็ญแขเห็นสายตาขอความเห็นใจ จึงหันไปมองศรัณย์ถามเขาคิดอย่างไร ดวงสวาทยุให้เลิก ศรัณย์โพล่งขึ้น “ผมมึนไปหมด คืนนี้หนักหนาสำหรับทุกคนแล้ว แยกย้ายกันก่อนเถอะครับ” ว่าแล้วศรัณย์ก็เดินออกไปทันที
ดวงสวาทวิ่งตามโวยเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทิ้งเฉยไปไม่ได้ พวกนี้รวมหัวกันหลอกเขายอมได้อย่างไร แก้วตัดสินใจบอกว่าศรัณย์แต่งงานกับรินแล้ว มันซับซ้อนเกินกว่าจะมาเลิกรากัน อรุณสนับสนุนว่าเห็นรินมาแต่เล็กขอยืนยันว่าเจ้าคุณเลี้ยงรินมาอย่างลูกหลานไม่ใช่คนใช้ รินวิงวอน
“ดิฉันไม่เคยคิดเรื่องแม่เรื่องชาติกำเนิด ชีวิตฉันมีแต่ครอบครัวนี้ไม่ว่าแม่แท้ๆของฉันจะเป็นเศรษฐีหรือชาวป่าก็ไม่มีความหมาย ชีวิตที่บ้านบำรุง ชีวิตกับคุณศรัณย์ต่างหากที่สำคัญ”
ศรัณย์สบตาริน ดวงสวาทด่าว่าหน้าด้าน โกหกแล้วยังมาพูดว่าไม่โกหก รินสวนว่าเธอต่างหากที่หน้าด้าน ดวงสวาทกรี๊ดทนไม่ไหว บุกเข้าจะตบแต่โดนรินจับมือล็อกแล้วผลักจนเธอหน้าคะมำ ชรัตน์ร้องโห...คล่องแคล่วสมเป็นเมียปลัดนักบู๊ ดวงสวาทเต้นเร่าๆชี้หน้าจะด่า แต่รินชิงสวนเสียก่อน
“เลิกยุ่งกับชีวิตคู่ของคนอื่น หันไปสนใจชีวิตคู่ของตัวเองเสียทีเถอะค่ะ คุณจมอยู่กับความอิจฉาริษยาจนหาชีวิตตัวเองไม่เจอแล้ว”
“เคยได้ยินไหมสำหรับบางคน ความแค้นคือลมหายใจ ฉันสนุกที่จะอยู่ตรงนี้ สนุกที่ได้สั่งสอนหล่อน” ดวงสวาทไม่สำนึก
รินโต้ สนุกที่ได้เอาชนะตนใช่ไหม ตนไม่ยอมแพ้และเธอไม่มีวันได้สนุกด้วย ดวงสวาทบอกคนที่จะตัดสินว่าใครแพ้ใครชนะคือศรัณย์ ให้ดูหน้าเขา ตนคบเขามาสิบกว่าปี สีหน้าเขาเดาได้ว่าตอนนี้เธอไม่มีวันได้เขากลับคืนไป...ทุกคนมองไปที่ศรัณย์ แววตาเขาสับสนเจ็บปวด รินเห็นแล้วใจหาย แก้วเองมองลูกแล้วต้องจับมือให้กำลังใจ ดวงสวาทหัวเราะร่า
“ในที่สุดฉันก็ชนะ วันนี้สำหรับฉันช่างสนุกจริงๆ นับจากนี้ความรู้สึกของศรัณย์ที่มีต่อหล่อนจะไม่มีวันเหมือนเดิม ฉันรับประกัน” พูดจบก็หัวเราะร่าเดินจากไป
รินหันมาถามศรัณย์ว่าโกรธตนหรือ แก้วเห็นลูกชายนิ่งจึงบอกว่าแม่ก็โกรธ โกรธทุกคน เจ้าคุณหน้าเสียรีบยืนยันว่าศรัณย์เป็นลูกชายเพื่อนรัก ตนคิดดีแล้วถึงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ เพ็ญแขเสริมว่ารักรินเหมือนลูก ให้การศึกษาการอบรมเลี้ยงดูอย่างดี ไม่ใช่คนงานในบ้าน แก้วยอมรับว่าความดีของรินทำให้ตนยอมแพ้ รินจับแขนศรัณย์กล่าว “รัก เชื่อใจ เข้าใจ...เอาใจเข้าไปในใจ”
ศรัณย์สบตารินก่อนจะเอ่ยว่า กลับบ้านเถอะตนเหนื่อย ท่าทางเขายังช็อก...ศรัณย์นั่งเงียบมาตลอดทางจนถึงบ้าน รินใจคอไม่ดี แก้วบอกรินว่าที่ศรัณย์พูดว่าไม่มีอะไร จงอย่าเชื่อ รินฉงน
“ชีวิตคู่อย่าพูดคำว่าไม่มีอะไรทั้งๆที่มี อย่าปล่อยให้ความโกรธอยู่ข้ามวัน มีอะไรต้องพูดกันให้จบ ทะเลาะกันให้จบ ยิ่งทะเลาะก็จะยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น ที่แม่พูดอย่างนี้หนูเข้าใจใช่ไหม”
รินรับคำก่อนจะเดินตามศรัณย์ไปที่ห้องนอน เห็นศรัณย์กำลังถอดเสื้อจึงเข้าช่วย แล้วถามเขารู้มาตลอดเรื่องตนหรือ เขารับว่าใช่ตั้งแต่ก่อนเจอเธอ รินเพิ่งเข้าใจว่าที่เขาไม่พูดไม่มองหน้าตนเป็นเดือน ไม่ใช่เพราะเรื่องดวงสวาท ศรัณย์สวนเพราะเธอโกหก รินจึงถามแล้วทำไมยอมแต่งงาน เขาชะงักตอบไม่ได้ ตัดบทเปลี่ยนมาถามรินว่าเป็นอย่างไรเมื่อรู้ความจริงเรื่องแม่
“ชีวิตฉันมีความสุขดีมาตลอด ไม่เคยอยากรู้เรื่องของแม่ รู้หรือไม่รู้ แม่ก็ได้ตายไปแล้ว”
“แต่หล่อนยังมีพี่ชาย มีพ่อ ตระกูลรพิพันธ์รวยติดอันดับประเทศเลยนะรู้ไหม”
“นาทีนี้มีแต่ความรู้สึกของคุณที่สำคัญสำหรับฉัน” ศรัณย์พูดไม่ออก รินให้พูดออกมา เขาปัดเดินหนีจะเข้าห้องน้ำ รินตามมาขวางบอกยังไปไหนไม่ได้ “ฉันทำตามที่คุณแม่คุณสั่ง ถ้าวันนี้คุยไม่จบ เราจะไม่นอน คุณสงสัยอะไรก็พูดออกมา อยากต่อว่าฉันเรื่องอะไรก็ว่ามาสิคะ”
ศรัณย์บอกไม่มีแต่รินไม่เชื่อ เขย่าตัวเขาให้พูดออกมา อย่าซ่อนปัญหาไว้ใต้คำว่าไม่มีอะไร ศรัณย์โพล่งออกมา “หลายครั้งฉันเคยถามเธอแล้ว ทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกฉัน!”
“เพราะฉันคิดเสมอว่าฉันเป็นลูกสาวบ้านบำรุง–ประชากิจ ฉันอยากเป็นมาตลอด อยากเป็นมาตั้งแต่เด็ก พอถึงเวลาที่ได้เป็น ฉันก็หวงแหนความรู้สึกนี้ ฉันอายที่จะบอกคุณว่าฉันเป็นแค่เด็กที่เขาเก็บมาเลี้ยง” รินน้ำตาไหลพราก
“อายหรือ เด็กเก็บมาเลี้ยงกับเด็กวัดมันต่างกันตรงไหน เหมาะสมกันดีออก ไม่เห็นน่าอายเลย”
“ฉันไม่ได้ปกป้องครอบครัว ไม่ได้อยากจะหลอกคุณ แค่ไม่อยากยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็น”
ศรัณย์ถามทำไมบารนีกับบุรณีถึงไม่ยอมแต่งงานกับตน รินบอกตามจริงว่าบารนีรักอยู่กับพณิช ส่วนบุรณีสอบชิงทุนได้ต้องการไปเรียนต่อ คุณแม่ขอให้ตนแต่งงานแทน คุณพ่อสั่งให้ตนดูแลเขาอย่างดีเพราะเขาเป็นลูกชายเพื่อนรัก ไม่ใช่เพราะรังเกียจ ศรัณย์ถามถึงการจดทะเบียนรับเธอเป็นลูกบุญธรรมเพื่อหลอกตนใช่ไหม รินย้อนถามว่าเขาเชื่อเอกสารหรือความรู้สึก ที่บ้านตั้งแต่เด็กถึงตนจะไม่ใช่ลูกแต่ก็ไม่ใช่คนใช้ รินเข้าสวมกอดศรัณย์
“ความรู้สึกระหว่างเรา เกิดขึ้นมาด้วยตัวเรา ไม่ใช่เพราะเราเป็นใคร เราต่างหาความหมายของกันและกันจนเจอ ที่ฉันเลือกคุณ ยอมทรยศต่อบารนี เพราะคุณคือครอบครัวของฉัน”
คืนนั้นศรัณย์นอนมองเพดานครุ่นคิด รินเอ่ยถามว่าเรายังกอดกันเหมือนเดิมได้ไหม เขาขยับเข้ากอด เธอขออีกขอเข้านอนโดยไม่มีอะไรค้างคาใจ เขาจูบที่ผมเธอแต่ไม่พูดอะไร รินจำคำเตือนของแก้ว ถามเขาไม่คิดจะพูดอะไรบ้างหรือ เขาบอกให้เธอนอน ในใจเขามีบางอย่างค้างคาจริงๆแต่ไม่อาจบอกเธอได้
ooooooo
รุ่งเช้า รินเดินออกมาส่งศรัณย์ไปทำงานเจอชรัตน์นั่งรออยู่ เขาตื่นเต้นที่มีน้องสาวจนนอนไม่หลับ ศรัณย์ให้ทั้งสองคุยกันตนขอตัวไปทำงาน ชรัตน์เอาแต่นั่งจ้องรินจนเธออึดอัดเอ่ยถาม แน่ใจหรือว่าแม่เรียงตายแล้วไม่ใช่เรื่องที่เขาปะติดปะต่อเอาเอง ชรัตน์ให้พ่อเป็นคนตัดสิน
รินเกรงว่าท่านไม่ได้ตั้งใจมีภรรยามีลูก แค่อารมณ์ชั่ววูบ ชรัตน์บอกไม่จริงเพราะพ่อคงไม่สร้างปาฏิหาริย์หายวันหายคืน ท่านป่วยหนักถึงทิ้งเรียงไว้ที่ปางไม้ ตนอยากให้เธอไปพบพ่อด้วยกันก่อนจะสายเกินไป รินใจหายเข้าใจความต้องการของชรัตน์ดี
ด้านดวงสวาทกลับมาบ้านที่พระนครหงุดหงิดใส่นริศ มหินท์เอ็ดที่หนีไปหาศรัณย์มาอีก เธอสวนไม่ได้ไปหาศรัณย์แต่ไปทำธุระ นริศรีบถามเธอไม่ได้รักศรัณย์แล้วใช่ไหม เธอจะไม่หนีตนไปอีกใช่ไหม หญิงสาวกล่าวเสียงเข้มว่า “ฉันก็ไม่ได้รักคุณเหมือนกัน ฉันรักแค่ตัวเอง ความผิดหวังที่คุณกับศรัณย์ยัดเยียดให้ ทำให้ฉันรักแต่ตัวเอง”
นิจเอ็ดลูกสาวให้พูดจารักษาน้ำใจสามีบ้าง ดวงสวาทบอกว่ามันเป็นความจริง นริศสัญญาจะซื้อวังกลับมา จะทำห้างของพ่อให้สำเร็จ ถ้าเขาพลาดอีกตนจะไม่ให้อภัย นริศรับปากขอให้เชื่อใจแล้วสวมกอดดวงสวาทด้วยความรักใคร่ มหินท์กับนิจส่ายหน้าระอา
ด้านศรัณย์มาทำงานมีแต่คนซุบซิบเรื่องของเขา จึงเดินมาคุยงานเสียงเข้ม “ภารกิจหลักของเราเวลานี้คือการตามหาค่ายโจรของเสือขาว ตามสืบร่องรอยว่าเสือขาวถูกระเบิดตายจริงไหม ตราบใดที่ไม่พบศพเราจะไม่หยุดค้นหา ทุกคนต้องเร่งทำงานอย่าสนใจเรื่องไร้สาระ”
ทุกคนจ๋อย เสนอกับโชติแอบขำ...ในขณะที่เสือขาวตั้งใจจะเข้าพระนครตามหาเพื่อนเก่าที่มีฝีมือ มีกำลังคนมาช่วยถล่มปลัดศรัณย์ พู่กับหญิงในค่ายต่างกังวลว่าจะถูกเสือขาวทิ้งลอยแพ แถมเสือขาวกำชับว่าห้ามใครหนีออกจากค่าย เพราะยาสั่งของตนจะออกฤทธิ์ ตายอย่างอนาถ
ชรัตน์แวะมาหาบุรณี มาขอคำปรึกษาด้วยตื่นเต้นที่มีน้องสาวขึ้นมา ตนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าน้องชอบไม่ชอบอะไร และพรุ่งนี้ตนจะพาน้องไปพระนครไปพบพ่อ หญิงสาวขำแนะนำว่าเวลาเขาอยู่กับคนรักทำอย่างไรก็ทำแบบนั้น ชายหนุ่มรู้ เธอว่าตนเจ้าชู้จึงบอกว่ามันไม่เหมือนกัน บุรณี ถามไม่กลัวน้องจะมาแบ่งสมบัติ ความรักและทุกอย่างที่เขามีหรือ เขาบอกตนมีเยอะ ความรวยอยู่ที่ใจว่าพอเมื่อไหร่ บุรณีไม่อยากเชื่อว่าเขาจะคิดได้อย่างนั้น แกล้งถามจำมาจากไหน
“แหม ก็คิดเองได้บ้างสิครับ ในโลกนี้น่ะมีอะไรตั้งเยอะที่เงินซื้อไม่ได้ เอาง่ายๆ คุณเกิดมามีพี่น้อง มีพ่อแม่แต่ผมลูกคนเดียว พ่อป่วยแต่เด็ก แม่ต้องทำงานหนักแทนพ่อจนไม่มีเวลาให้ผม ความรักน่ะใช้เงินซื้อไม่ได้หรอกนะคุณ ...คุณไม่เคยหยุดมองผมเลย ถ้าไม่มองหนังสือก็มองอย่างอื่น นี่เป็นครั้งแรก”
จริงอย่างที่ชรัตน์พูด “ถ้าฉันเป็นรินฉันคงดีใจ แค่คุณตั้งใจที่จะดูแลรินอย่างดี แค่นี้ก็พอแล้ว ความตั้งใจที่เหลือมันก็จะเป็นไปเองตามธรรมชาติ”
ชรัตน์คิดตาม มีกำลังใจขึ้นมาก รู้สึกว่าคบผู้หญิงฉลาดดีอย่างนี้นี่เอง เขายกมือไหว้ขอบคุณ บุรณีร้องลั่นที่มาไหว้ ชายหนุ่มชมว่าเธอทั้งฉลาดทั้งเข้มแข็ง ใจดี ตนคิดไม่ผิดที่มาปรึกษา โชคดีที่เราจะเป็นครอบครัวกัน หญิงสาวตัดบทว่าเป็นมารยาทไม่ใช่บุพเพสันนิวาสเขาขำที่เธอรู้ทันอีกจนได้ ทั้งสองหัวเราะกัน บารนียืนมองจากในบ้าน รู้สึกเบื่อโลกไม่เชื่อมั่นในความรัก
อรุณยืนอยู่ด้วยบอกตระกูลรพิพันธ์เป็นเศรษฐีลำดับต้นๆ รินจะกลายเป็นเจ้าหญิง บารนีเยาะแล้วบุรณีก็จะเป็นเจ้าหญิงอีกคนหรือ อรุณไม่วายสมเพชตัวเองเปรยออกมา “หมาเน่าอย่างพี่ชายข้างบ้านคนนี้ คงไม่เหลือราคา”
“ผู้หญิงผัวทิ้งอีกคนหนึ่งด้วย!”
อรุณติงทำไมว่าตัวเองแบบนั้น คนที่ควรว่าคือพณิชมากกว่า บารนีให้อรุณเตือนบุรณีอย่าไปเชื่อผู้ชายเจ้าชู้อย่างชรัตน์ แต่อรุณแนะให้เธอคิดในแง่ดี หญิงสาวกร้านชีวิตคิดว่าความรักน่ากลัว อรุณถอนใจลูบหัวบารนีอย่างเห็นใจ “โธ่...จิตใจน้องแย่ขนาดนี้เลยหรือ”
ooooooo
ศรัณย์มาส่งรินกับชรัตน์ที่สถานีรถไฟ รินขอบคุณศรัณย์ที่อนุญาตให้ตนไป เขาบอกว่าไว้ใจชรัตน์เพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ฝากความระลึกถึงคุณพระพิจารณ์ แต่แววตาเขามีพิรุธบางอย่าง รินรับคำบอกจะไปสองสามวัน เป็นห่วงบารนีที่ยังไม่ยอมกลับทำให้พ่อแม่กลับไม่ได้
ศรัณย์รับปากจะดูแลเจ้าคุณบำรุงกับเพ็ญแขให้ และบอกชรัตน์ให้ดูแลรินให้ดี ชรัตน์โวย
“เฮ้ย เขาน้องสาวฉัน สายเลือดข้นกว่าน้ำโว้ย...” แล้วหันไปตะโกนบอกคนอื่นๆว่านี่น้องสาวตน ศรัณย์กับรินขำความขี้เห่อของชรัตน์
เสนอยืนรอศรัณย์ที่จอดรถ ผิวปากแซวสาวๆไปเรื่อย เผอิญเสือขาวสวมหมวกสะพายเป้เดินมาชน เสนอหันมาขอโทษแต่กลับโดนมองอย่างดุ เสนอถอยหลบให้แล้วเอะใจว่าเคยเห็นหน้าที่ไหน
รินล่ำลาศรัณย์ในขณะที่ชรัตน์ยกกระเป๋าขึ้นรถไฟไปก่อน ศรัณย์บอกเธอว่าจะอยู่ดูแลพ่อกี่วันก็ได้ ท่านแก่แล้วคงดีใจที่พบลูก รินยิ้มปลื้ม ขอบคุณที่เข้าใจกัน ศรัณย์กล่าวหนักแน่นว่า
“หล่อนคือบ้านของฉัน”
“เราเป็นบ้าน ไม่ว่าไปไหนอยู่ที่ใด เราสองคนจะกลับบ้าน”
ศรัณย์จูงมือรินมาส่งขึ้นรถไฟ อวยพรให้เดินทางปลอดภัย รินสัมผัสได้ว่าเขามีอะไรบางอย่างในใจ หวั่นจะเป็นอย่างที่ดวงสวาทพูดใส่หน้าไว้ว่า ความรู้สึกเขาที่มีจะไม่มีวันเหมือนเดิม ขณะเดียวกันเสือขาวเดินขึ้นอีกโบกี้ ศรัณย์เห็นตอนที่รถไฟเคลื่อนออกไป เสนอวิ่งมาบอกว่าเห็นคนหน้าเหมือนเสือขาว ศรัณย์ยิ่งแน่ใจตกใจมากรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถ
มาถึงที่ว่าการอำเภอ ศรัณย์วิ่งเข้ามาบอกโชติให้แจ้งการรถไฟสกัดจับเสือขาวสถานีหน้า พอถึงสถานีถัดไป ชรัตน์กับรินแปลกใจที่มีตำรวจขึ้นมาตรวจค้น เสือขาวรู้ตัวกระโดดหนีเข้าป่าด้วยความเคียดแค้น...
เมื่อศรัณย์รู้ว่าเสือขาวหนีไปได้ก็ครุ่นคิดว่ามันจะเข้าพระนครทำไม ตั้งหน้าค้นประวัติเสือขาวว่ามีญาติที่พระนครตรงไหนบ้าง
และแล้วเสือขาวก็เดินทางมาถึงพระนครจนได้นัดเจอกับคนทำระเบิดที่ร้านกาแฟในตลาด สั่งทำชุดใหญ่ ตั้งใจแก้แค้นให้พี่น้องที่ตาย
ooooooo
ช้องนางเห็นพระพิจารณ์ลืมตาตื่นขึ้นก็รีบบอกชรัตน์ เขาเข้ามาบอกพ่อว่ามีข่าวดีแต่ห้ามตื่นเต้นมาก ช้องนางให้พี่ชายคลายความตื่นเต้นบอกหลานพาใครบางคนมาพบ พระพิจารณ์เห็นรินเดินเข้ามา ภาพเรียงในอดีตซ้อนขึ้นมาทันที ท่านถึงกับน้ำตาไหล
ช้องนางเห็นอย่างนั้นก็ดึงมือรินให้เข้าไปใกล้ พระพิจารณ์ยกมือขึ้นสูงกว่าที่เคยทำได้ รินรับมือท่านไว้ ชรัตน์ปลื้มใจบอกพ่อให้หายใจลึกๆ ค่อยๆมองว่ารินใช่ลูกสาวที่หายไปหรือไม่
“น้อง...น้อง...ใช่...ใช่...ใช่...”
ช้องนางกับชรัตน์ดีใจ รินน้ำตาคลอไม่คิดว่าผู้เป็นพ่อจะป่วยหนักขนาดนี้ ชรัตน์ค่อยๆเล่าเรื่องของเรียงให้ฟัง บอกรินว่านี่คือประวัติของเธอ ไม่มีใครติดใจว่ารินไม่ใช่ลูกสาวเรียง...มีเพียงตัวรินที่ไม่คาดฝัน ช้องนางบอกรินว่าหลายปีมานี่พี่ชายตนหมกมุ่นกับเรื่องเรียง ดีที่สมองท่านไม่มีปัญหา เมื่อท่านบอกว่าใช่ก็ไม่มีทางพลาด รินเก้อเขินมองความโอ่อ่าของคฤหาสน์
“น้องเป็นทายาทโดยชอบธรรม ทุกอย่างที่นี่ต้องถือว่าเป็นของน้อง”
“ดิฉันไม่ต้องการอะไร ดิฉันมีความสุขมากเมื่ออยู่ที่บ้านบำรุงประชากิจ”
ช้องนางว่าเธอคงลำบากมาก ตนกับชรัตน์จะชดเชยให้ รินกราบขอบคุณและงงๆกับชีวิตใหม่...ยิ่งพอมาที่ห้องอาหาร มีอาหารเรียงบนโต๊ะมากมายจนเธอเกรงใจไม่เห็นต้องทำอะไรพิเศษ ตนทานอะไรก็ได้ง่ายๆ ช้องนางบอกว่าไม่ได้พิเศษ นี่เป็นเรื่องปกติของบ้านนี้
ชรัตน์พารินมาที่ห้องนอน คนใช้ถือกระเป๋าเข้ามาจัดเก็บให้เรียบร้อย ชรัตน์บอกว่าปีกซ้ายนี้เป็นของริน ปีกขวาเป็นของตน อาช้องนางอยู่ชั้นบน รินอึ้งที่อยู่กันกว้างขวางขนาดนี้
ในขณะที่ศรัณย์รู้สึกเหงามองอาหารบนโต๊ะพึมพำ ว่าป่านนี้รินคงทานอาหารมื้อละหลายสิบ คงไม่มากินน้ำพริกผักต้มเหมือนตน แก้วสงสารลูกจับใจ...ศรัณย์ยังเดินมาดูต้นทานตะวัน
เสนอบ่นกับแก้วว่าคงคิดถึงเมีย แก้วเปรย “เมื่อเราแต่งงานกับใครสักคน เท่ากับเราแต่งงานกับครอบครัวเขา แต่งงานกับสิ่งที่เขารัก สิ่งที่เขาเกลียด”
“ชีวิตของคุณหนูกับคุณนาย ไม่ได้มีแค่สองคนแล้วใช่ไหมครับ”...แก้วพยักหน้ากลัดกลุ้ม
วันต่อมาบ่าวไพร่เอาเสื้อผ้าสวยหรูมาใส่ตู้เรียงไว้ให้ริน ชรัตน์พาช่างมาวัดตัวเพื่อตัดเพิ่มให้อีก และยังเอาเครื่องเพชรของเก่าแก่มาให้เธออีกหลายชุด รินบอกไม่คุ้นกับการใส่ของพวกนี้ เขาย้ำนี่เป็นของเธอที่ควรได้และยังมีอีกมากที่จะชดเชยให้ รินเขียนจดหมายหาศรัณย์ด้วยคิดถึง
“คุณศรัณย์ที่รักและคิดถึง คุณพระพิจารณ์ป่วยหนักจนดิฉันรู้สึกสงสาร จึงตัดสินใจขออยู่ต่ออีกสักสัปดาห์ เพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน ดูแลท่านนะคะ...ดิฉันทราบข่าวเสือขาวขึ้นมาพระนคร ได้แต่หวังว่าคุณจะตามขึ้นมาสืบข่าวต่อที่นี่ อยู่ที่นี่ดิฉันไม่ต้องทำงานบ้าน พี่ชายกับคุณอาช้องนางดูแลดิฉันอย่างดี บางครั้งดีเกินไปจนดิฉันอึดอัด ต้องระมัดระวังกิริยามารยาทต่อหน้าบ่าวไพร่ น่าแปลก ชีวิตที่เพียบพร้อมยิ่งทำให้คิดถึงใครคนหนึ่งอย่างมากมาย อยากนั่งทำครัวด้วยกัน อยากพูดคุยกันก่อนนอนเหมือนที่เราเคยทำ คิดถึงและรอคอยคุณเสมอ...ริน”
ศรัณย์หันมาทำงานหนักเรื่องเสือขาวไปหาใครที่พระนคร โชติพาชายคนหนึ่งมาให้เบาะแส...กลับมาบ้านได้อ่านจดหมายริน แก้วถาม อยู่แยกกันแบบนี้จะดีหรือ เขาตอบแม่ว่าเราไม่ได้ทะเลาะกัน แค่ต่างคนต่างทำหน้าที่ แก้วติง “ทำหน้าที่จนเหนื่อย พอเหนื่อยก็ไม่คุย ไม่คุยก็เหินห่าง เหินห่างก็เฉยชา รู้ตัวอีกทีคุยกันไม่รู้เรื่องซะแล้ว”
ศรัณย์เปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องเสือขาว ว่าโชติพาเพื่อนนักเรียนของเสือขาวสมัยเรียนที่พระนครช่วงสั้นๆมาให้เบาะแส เราต้องสืบว่าเวลาเสือขาวอยู่พระนครพักที่ไหน แก้วชวนศรัณย์ไปพระนครทันที จะได้ไปหารินด้วย ศรัณย์ไม่อยากไปบ้านพระพิจารณ์อีก แก้วถอนใจถาม
“เรื่องระหว่างรพิพันธ์กับศิวะเวทย์ ทำใจยากใช่ไหม”
“ตอนเด็กผมเป็นคุณหนูที่มีทุกอย่างพรั่งพร้อม ผมมีเพื่อนอย่างชรัตน์อย่างดวงสวาท แต่พอโตขึ้น วันที่ฐานะเราเปลี่ยนไปผมกลายเป็นเด็กวัด ต่อให้เขาดีกับผมแค่ไหน เรากับเขาก็มีช่องว่างอยู่ดี”
ศรัณย์นึกถึงอดีต ชรัตน์ขับรถหรูมาที่บ้านดวงสวาท ตนนั่งฟังเพลงอยู่กับเธอ ดวงสวาทเรียกให้ชรัตน์มาเต้นรำ และเร่งให้เขามาร่วมด้วย แต่รองเท้าเขาเกิดขาดพื้นหลุด ทั้งสองหัวเราะขำที่เขายังใส่รองเท้าเก่าๆ โดยลืมไปว่าบ้านเขาล้มละลาย ตัวเขากลายเป็นเด็กวัด....ศรัณย์ยังเล่าให้แก้วฟังอีกว่า พอมาเป็นเด็กวัด ตนก็ทำอะไรไม่เป็น ถูกเด็กวัดหัวเราะเยาะ สุดท้ายก็ไม่มีเพื่อน จึงหันมาตั้งหน้า ตั้งตาอ่านหนังสือ เพราะไม่รู้จะเข้าสังคมไหนดี
แก้วสงสารเพราะถ้ารินเป็นรพิพันธ์ก็จะอยู่สังคมเดียวกับชรัตน์ เขาพยักหน้า “ที่จริงผมดีใจซะด้วยซ้ำที่รินเป็นคนใช้ ดีใจที่รู้ว่าเขาไม่มีหัวนอนปลายเท้าแต่พอรู้ว่าเป็นรพิพันธ์...เฮ้อ...”
“นี่ยังไม่นับที่รพิพันธ์ทำบางอย่างกับศิวะเวทย์” แก้วเปรย
ศรัณย์บอกว่าชรัตน์ไม่เคยรู้ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ แต่สำหรับตนกับแม่ลืมเรื่องนี้ไม่ได้ แก้วขอให้ศรัณย์ขึ้นไปพระนคร ไปจัดการเรื่องเสือขาวให้เรียบร้อยก่อน เขาครุ่นคิดหนัก
ooooooo
ทุกวันรินเฝ้ารอจดหมายตอบจากศรัณย์...ด้านบารนีก็เฝ้ารอการกลับมาของพณิช บุรณีพยายามกล่อมให้กลับพระนครด้วยกันเพราะสงสารพ่อกับแม่ ทันใดเสียงรถพณิชแล่นเข้ามา บารนีดีใจมากรีบวิ่งออกไปรับ
พณิชเดินเข้ามาในสภาพทรุดโทรมกว่าก่อน หนวดครึ้มผมเผ้ารุงรัง พอเห็นบารนีเขาก็กล่าวขอโทษที่ทิ้งเธอไป บารนีนึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เขาทิ้งไปเกือบสี่เดือน จึงเผลอตบหน้าเขาฉาดใหญ่ ต่อว่าแม้แต่โทรศัพท์สักครั้งก็ไม่มี พณิชโวยกลับ
“ผมถูกเจ้าหนี้ตาม ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ทั้งหมดเพราะใคร เพราะญาติคุณทั้งนั้น!”
อรุณไม่พอใจจะเข้าไปต่อว่า บุรณีรั้งไว้ให้ปล่อยเขาคุยกันเอง เสียงบารนีโวยกลับที่พณิชมาโทษกัน พณิชเสียงกร้าวตนต้องมีหนี้เป็นล้านๆ สิ้นเนื้อประดาตัว ต้องลำบากที่สุดในชีวิตเข้าใจกันบ้าง บารนีอ่อนลงขอไปอยู่ กับเขาด้วย พณิชย้อนถาม “มันอยู่ที่คุณรับได้หรือเปล่า...”
บารนีงงเรื่องอะไร พณิชเดินนำออกมา ชี้ไปที่รถ ข้างรถมีหญิงชาวบ้านหน้าตาดีและเด็กอีกสองคนวิ่งเล่น พณิชบอกว่านั่นคือภรรยาและลูกของตน บารนีช็อก
“คนที่โทรศัพท์มาตามหาคุณนี่เอง คุณโกหกฉัน คุณมีเมียอยู่แล้ว!”
ทั้งเจ้าคุณบำรุงและเพ็ญแขได้ยินเช่นกัน พณิชบอกบารนีว่าเขาเป็นแม่บ้านบริษัทของตนจริงๆ เขาพร้อมจะลงให้ถ้าเธอยอมรับชีวิตของตน ตนจะพาเธอไปด้วย บารนีแทบหมดแรงน้ำตารินไหล ชีวิตเหมือนพังลง กราดเกรี้ยวใส่ “คุณหลอกฉันตั้งแต่ต้น คุณมีเมียมีลูกมาก่อนแล้ว”
“ผมรักคุณคนเดียว เขาจะอยู่ส่วนของเขา เราก็อยู่ส่วนของเรา คุณรีบตัดสินใจเถอะ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่นานเดี๋ยวเจ้าหนี้จะตามมา เราต้องรีบไปสิงคโปร์”
บารนีถามเขาอยู่ปีนังไม่ใช่หรือ พณิชตอบว่าบริษัทที่นั่นปิดแล้วเพราะเจ้าหนี้ตาม ตนกำลังไปเริ่มงานใหม่ที่สิงคโปร์ ให้เธอไปเก็บของเอาแต่ที่จำเป็น บารนีชั่งใจ หลายเดือนที่ผ่านมาเขาหลอกทั้งเรื่องงานและเรื่องชีวิตจนตนไม่แน่ใจว่าเรื่องรักจะเป็นเรื่องจริง พณิชโต้แล้วอย่ามาร้องไห้คร่ำครวญทีหลัง เธอเองก็ไม่ได้รักได้ห่วงตนแล้วตนจะเห็นหัวเธอไปทำไม บารนีกรีดร้อง เข้าตบตีเขาอย่างบ้าคลั่งที่หลอกลวง พณิชโกรธผลักเธอกระเด็น อรุณถลาเข้ารับไว้
“ไอ้พณิช อย่าคิดทำอะไรน้องกูนะ!”
“มากันทั้งบ้าน คอยยุแยงให้ครอบครัวเขาแตกกัน พวกคุณใช่ไหมที่สอนให้บารนีดื้อกับผม” พณิชมองทุกคนที่ก้าวออกมา
“ไอ้คนขี้โกง ความผิดคนอื่นเท่าภูเขาของตัวเท่าเส้นผม อย่ามาโทษพวกเรานะ”บุรณีโวย
พณิชหาว่าบารนีเป็นเมียตน พวกเธอมายุแยงให้ครอบครัวพังพินาศ เพ็ญแขบอกเป็นเมียหย่าก็จบแต่เป็นพ่อแม่จะบอกเลิกได้อย่างไร เจ้าคุณบำรุงเสียงเข้ม ว่าเขาโกงเงินคนอื่นจนร่ำรวย อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆหนีไปโน่นไปนี่จนเคยชิน แต่ลูกสาวตนตนยอมไม่ได้ พณิชสวน
“ดี งั้นก็เลิกกัน เชิญกินอุดมการณ์ยากจนกันต่อไป ไอ้ปลัดจนๆอย่างศรัณย์ มันก็เหมาะเป็นเขยเจ้าคุณจนๆอย่างเจ้าคุณ ไอ้พวกโง่เหมือนกันหมด”
อรุณด่าแทนว่าพณิชคงฉลาดตาย กอดเงินแต่ไม่มีความสุข สงสารลูกโตมาจะเป็นคนอย่างไร บอกบารนีไม่ต้องเสียน้ำตาให้คนพรรค์นี้ พณิชสวนเมียไม่มีประโยชน์ ไม่จงรักภักดีไม่ช่วยผัว ครอบครัวยังมาวุ่นวาย ตนก็ไม่อยากมีเหมือนกัน ว่าแล้วก็เดินปึงปังออกไป บารนีร้องไห้โฮ บุรณีต้องกอดปลอบพี่สาวด้วยความสะเทือนใจ
ooooooo
เช้าวันใหม่ รินตื่นเพราะได้ยินเสียงเพลง คิดว่าชรัตน์เปิดเพลงดัง แต่พอตั้งใจฟังว่าเป็นเพลงที่ศรัณย์เคยเล่นกีตาร์และร้องก็ลุกพรวดตาสว่างรีบวิ่งออกมาจากห้อง ลงมาที่ห้องโถง พอเห็นเป็นศรัณย์จริงๆก็โผเข้ากอดจนเขาชักกีตาร์ออกแทบไม่ทัน ชรัตน์แซว
“โอ้โห ฉันว่าผู้ชายทั้งโลกต้องอิจฉาแกแน่ๆ”
รินสะดุ้งหันมาเห็นชรัตน์ก็รีบผละออกจากศรัณย์ ลงไปนั่งก้มหน้าเขินๆ ศรัณย์ยิ้มปลื้มเพราะคิดถึงเธอไม่แพ้กัน ชรัตน์ขำบอกผู้หญิงเรียบร้อยเวลาทำแบบนี้ก็น่ารักดี ศรัณย์เห็นด้วย
“ฉันก็ไม่นึกเหมือนกัน ว่าท่าทางหลงใหลของภรรยาจะส่งผลต่อหัวใจของสามีขนาดนี้ ถ้าไม่มีคนอยู่ ก็จูบไปแล้ว”
รินเอนหน้าหนีอายๆ ชรัตน์หมั่นไส้ ศรัณย์เอ่ยปากให้ช่วยหายตัวไปสักสองสามชั่วโมง เขาโวยว่าไม่ได้เพราะรินต้องไปบริษัทวันนี้ และตัวศรัณย์ก็ต้องไปประชุมที่กรมเรื่องเสือขาว จำไม่ได้หรือ ศรัณย์เซ็งทำตัวเรียบร้อย รินรีบถามเขาได้ที่อยู่ของเสือขาวแล้วหรือ เขาว่าได้เบาะแสมาบ้าง รินจึงถามแล้วเขาจะกลับมาพักที่นี่ไหม ศรัณย์มองไปรอบๆ ชรัตน์ว่าตอนเด็กก็นอนบ่อย
“บ้านป้าของเสือขาวอยู่ถึงเมืองมีน ต้องออกไปตามหาว่าหลังไหนอีก สองสามวันนี้ฉันคงต้องนอนวัดคงมานอนบ้านนี้ไม่ได้” ศรัณย์หาข้ออ้าง
รินบอกแค่รู้ว่าเขาอยู่ในพระนครใกล้ๆก็พอใจแล้ว ศรัณย์กุมมือยิ้มๆ...ในวันนั้น ชรัตน์พารินมาประกาศตัวที่บริษัทกับผู้บริหารทุกคนว่าบราลีเป็นลูกสาวอีกคนของ พระพิจารณ์ จะมาดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการ โดยช้องนางเป็นผู้อำนวยการ สมรกับโฉมนั่งฟังด้วยความอิจฉา
สมรกับโฉมรีบมาเล่าให้ดวงสวาทฟัง เธอตาโพลงด้วยความเจ็บใจถามรินได้สมบัติอะไรบ้าง สมรซึ่งอยู่ฝ่ายกฎหมายบริษัทจึงรู้ว่ารินได้สมบัติหลายอย่างและบ้านหลังใหญ่อีกหลัง
ศรัณย์ประชุมงานเสร็จเดินออกมาเจอดวงสวาทนั่งรออยู่ก็แปลกใจ เธอชวนเขาไปหาที่นั่งคุย และบอกเขาว่า “ไม่มีใครรู้ใจคุณเท่าฉัน ถ้าไม่มีเรื่องงานคุณไม่มีวันขึ้นมาพระนครหรอก”
ศรัณย์ย้อนถามว่าทำไม ดวงสวาทสาธยายว่า ถ้าเขาขึ้นมาพระนครจะต้องไปบ้านรพิพันธ์ แต่นี่เขาไม่ไปเพราะมีความหลังบางอย่าง แล้วจู่ๆเมียแต่งก็กลายเป็นทายาทบ้านรพิพันธ์ เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง กับชรัตน์เป็นเพื่อนกันได้เพราะไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต แต่เมียแต่งนี่สิ ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป...ดวงสวาทรู้ว่าศรัณย์เป็นคนหยิ่งและมีปมกับบ้านหลังนั้นจึงตอกย้ำ
ศรัณย์พยายามเชื่อมั่นในตัวริน ถามดวงสวาทคิดจะทำอะไร หญิงสาวว่ากำลังเตือนเพื่อเขาจะได้เตรียมตัวรับมือ เขาแย้งตนกับรินรักกัน ไม่มีปัญหากันแน่ ดวงสวาทเยาะว่าเงินเปลี่ยนคนได้ ตอนนี้รินไม่ใช่คนใช้หลังครัวอีก กลายเป็นคุณหนูมหาเศรษฐีแล้วจะไม่เปลี่ยนไปหรือ
“คุณดูถูกว่ารินเป็นคนใช้ไม่ใช่หรือ นี่ล่ะคือสิ่งที่ผมชอบที่สุดในตัวเขา เขาไม่เคยสนใจเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง นามสกุลรพิพันธ์เปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้หรอก...รินรู้ดีว่าความสุขของผมอยู่ที่ไหน เขาจะรู้เองว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร”
“คุณเชื่อใจภรรยาของคุณว่างั้น”
“ความรักครั้งแรกทำเอาผมเกือบตาย ผมตั้งใจกับความรักครั้งสุดท้ายของผมมาก” ดวงสวาทเหน็บว่าชีวิตที่สมบูรณ์แบบในนิยายไม่มีจริง “ไม่...ครั้งนี้ผมยอมให้ผิดพลาดไม่ได้ ผมเจ็บต่อไปไม่ไหวแล้ว เจ็บอีกครั้งที่สองผมคงตายทั้งเป็น”
“ความคาดหวัง...ที่คุณพูดมาทั้งหมด เราเรียกว่าความคาดหวัง” ดวงสวาทจะตีให้แตก
ศรัณย์สุดทนถามที่มาวันนี้มีเรื่องอะไรกันแน่
ดวงสวาทว่าตนเจ็บมาก่อนรู้จักมันดี ความคาดหวัง...คิดไปเองว่าคู่ของเราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอมันไม่เป็นอย่างที่หวังก็รับไม่ได้ เราก็ทำลายชีวิตคู่ของเราเพราะความผิดหวัง ศรัณย์ชะงักแต่ยังมั่นใจว่ารินจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเธอเข้าใจตนที่สุด เราเกิดมาเพื่อกันและกัน ดวงสวาทหมั่นไส้ หาว่าเป็นคำสวยหรูที่หลอกตัวเอง คนเราเปลี่ยนได้ทุกวัน ศรัณย์ถามต้องการให้ชีวิตคู่ของตนพังเหมือนเธอใช่ไหม ดวงสวาทเยาะ
“ชีวิตคู่ของคนส่วนใหญ่ในโลก ข้างนอกสวยหรู ข้างในมันก็พังทั้งนั้นแหละค่ะ”
ในขณะเดียวกัน รินนั่งมองรายการทรัพย์สินที่ชรัตน์ และช้องนางยกให้ แล้วมาสะดุดที่คฤหาสน์ศิวะเวทย์ ชรัตน์ยอมรับว่าเจ้าหนี้ของศิวะเวทย์คือตระกูลรพิพันธ์ และเล่ารายละเอียดว่าแต่ก่อน บ้านเราสามตระกูลอยู่ในละแวกเดียวกัน คือบ้านศรัณย์ บ้านดวงสวาทและบ้านตน เวลาที่เจ้าคุณนิติขาดเหลืออะไรก็มาหยิบยืม จนเป็นหนี้สินพอกพูน บริษัทต้องขอร้องให้ชำระคืน พอไม่มีจึงยึดบ้าน รินตกใจถามแล้วเขากับศรัณย์ยังเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร
ชรัตน์บอกนั่นเป็นเรื่องของพ่อแม่ ตนกับศรัณย์ไม่เห็นต้องโกรธกัน มาตอนนี้ตนเห็นทรัพย์สินนี้จึงยกให้รินเพื่อจะได้อยู่กับศรัณย์และคุณหญิงแก้ว รินคิดตามแล้วปลาบปลื้ม ต่อไปศรัณย์กับคุณแม่ขึ้นมาพระนครจะได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ชรัตน์ให้ช่วยกันเนรมิตศิวะเวทย์กลับมา โดยจะจัดทำบุญบ้านให้ญาติมาร่วมงานและประกาศคืนบ้านให้ศรัณย์ รินยิ้มคิดเพียงว่าต่อไป แม่แก้วก็ไม่ต้องระหกระเหินตามศรัณย์ไปไหนอีก ครอบครัวจะมั่นคงและศรัณย์ต้องดีใจ
“ใช่ อีกหน่อยรินก็ต้องมีลูก ศรัณย์กับรินก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก”
ด้านบารนีเอาแต่ร้องไห้ฉีกรูปแต่งงานทิ้ง อาละวาดร้องกรี๊ดๆ บุรณีและเพ็ญแขพยายามปลอบให้กลับไปอยู่พระนคร แต่เธอกลัวเสียงครหา เจ้าคุณบำรุงบอกว่า ถ้าร้องไห้คร่ำครวญกลัวเสียงครหาแบบนี้ คนเขาก็จะมองอย่างสมเพช แต่ถ้าเราเข้มแข็งเชื่อมั่นในสิ่งที่เป็น คนเขาก็ไม่กล้าเยาะเย้ย เราต้องทำให้เขาเห็น ไม่ใช่รอให้เขาบอก...บารนีร้องไห้กระซิกๆ อรุณแทรก
“เรากลับพระนครกันพี่จะจองรถพรุ่งนี้เลย เราจะทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่”
ส่วนดวงสวาทกลับเข้าบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิด พาลใส่นริศที่มาเอาอกเอาใจ มหินท์กับนิจกลับเข้ามา บอกนริศว่าได้พบคุณหญิงเอมอรเจ้าของที่ดินสี่กั๊กแล้ว เธอถามทำไมเราไม่ติดต่อกลับไป แล้วจะซื้อที่หรือไม่ นริศทำหน้างงเพราะฝากเรื่องไว้กับมิสเตอร์จิม มหินท์โวยจะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้จัดการ เป็นคนมาขอทำงานนี้ เป็นผู้จัดการจะไม่รู้เรื่องสำคัญขนาดนี้ได้อย่างไร สั่งเสียงเฉียบให้โทร.ไปถามมิสเตอร์จิมเดี๋ยวนี้ นริศเกรงใจเห็นว่าสองทุ่มแล้ว
มหินท์ตวาดจะเป็นอะไรให้โทร.ไปหามิสเตอร์จิมที่โรงแรม นริศรับคำเดินออกไป นิจชักหวั่นใจว่าให้นริศถือเงินจะทำงานเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ มหินท์หันมาสั่งดวงสวาทให้เข้าไปช่วยสามีดูแลกิจการ อย่ามัว แต่ตะลอนๆ ดวงสวาทเซ็งไม่อยากทำงาน
วันต่อมา รินดูแลให้บ่าวไพร่มาทำความสะอาดบ้านศิวะเวทย์ ส่วนศรัณย์พาพวกไปซุ่มดูบ้านที่คิดว่าเสือขาวมาพัก เห็นเสื้อผ้าตากอยู่ก็ค่อยๆย่องเข้าไป แต่พอเปิดประตูบ้านกลับมีแต่นกบินฮือออกมา ในบ้านมีจานข้าวที่กินค้างไว้ทำให้นกมาจิกกิน ศรัณย์คิดว่าพวกมันอาจไม่อยู่จะไปลองสอบถามชาวบ้านแถวนี้ดู ว่าเสือขาวมาทำไม
ooooooo