icon member

ปดิวรัดา

ตอนที่ 10

ตกเย็น เสนอจัดสำรับให้ศรัณย์และบอกว่ารินซ่อมเสื้อผ้าอยู่ให้เขาทานไปก่อน ศรัณย์น้อยใจบ่นกับเสนอ ถ้ารินกลับพระนครคราวนี้ตนจะไม่ตามกลับมาอีก ชีวิตอย่างตนคงเหมาะที่จะอยู่คนเดียว ด้านรินนั่งเหม่อครุ่นคิดเรื่องราวที่ผ่านมา

กลางคืน รินยังคงนอนร่วมเตียงกับศรัณย์เพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงเรื่องเสือขาวจะบุกมา แต่เธอวางหมอนขั้นกลางเพิ่มขึ้น ศรัณย์พยายามคุยถามคืนนี้อากาศเย็น ผ้าห่มพอไหมแต่รินนิ่ง

“ไม่ตอบ เดาว่าคงพอ แต่ของฉันไม่พอ ฉันรู้สึกหนาว หล่อนหยิบผ้าให้อีกสักผืนสิ” รินนอนนิ่ง “เกลียดคนรู้ทัน ใช่ ผ้าห่มกี่ผืนก็ไม่พอหรอก แต่งงานกับหล่อนมาเจ็ดเดือนแล้ว ยังไม่เคยได้รับความเมตตาปรานีจากหล่อน ก็ต้องนอนหนาวอย่างนี้แหละ ได้ยินไหม หนาวๆๆๆ”

รินไม่สนใจแสดงว่ามุกนี้ของศรัณย์ใช้ไม่ได้... รุ่งเช้า รินนั่งครุ่นคิดทบทวนอยู่ในสวน ศรัณย์มองออกมาจากในบ้าน สั่งเสนอถ้ารินเก็บกระเป๋าให้มาบอกตนด้วย จะได้ทำใจ เสนอถอนใจทำไมดวงสวาทต้องทำลายความสุขด้วย รินครุ่นคิดถึงวันที่กลับมาและแก้วบอกว่า ศรัณย์ไปนอนค้างที่อำเภอตลอดเวลาที่ตนไม่อยู่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต้องการให้ตนไว้ใจ

เมื่อคิดได้ รินตัดสินใจเดินเข้ามาในบ้าน เห็นศรัณย์กำลังหัดเดิน ก็เข้ามาคุยด้วยเหมือนไม่มีอะไร “คุณเดินได้เกือบจะปกติแล้ว หายเร็วกว่าที่หมอคาด เก่งมากค่ะ”

ศรัณย์ฉงนถามไม่พูดกับตนมาหนึ่งวันหนึ่งคืน นี่จะมาลากลับพระนครหรือ รินมองหน้าเขาสักพักก่อนจะบอกว่ามีอะไรให้ดู รินประคองศรัณย์เดินมาดูต้นทานตะวันที่กำลังบานสะพรั่ง แล้วกล่าวลอยๆ “คุณดวงสวาทจู่ๆก็ส่งโทรเลขมา ถ้าเป็นเรื่องจริงเธอคงบอกฉันตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว นี่คงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ก็เลยคิดจะปั่นหัวฉันเล่น”

ศรัณย์ย้อนถามรู้แบบนี้แล้วจะยอมให้แกล้งหรือจะทำอย่างไรต่อไป รินสวนไม่ใช่รอแต่ต้องสร้าง รินทวนคำพูดของเจ้าคุณบำรุงที่เคยสอน “ความรักเป็นสิ่งที่ต้องสร้าง คนที่รอความรัก จะต้องรอไปตลอดชีวิต คนที่คาดหวังในความรัก จะผิดหวังเสมอ แต่คนที่สร้างความรักด้วยตัวเอง ไม่รอไม่ยอมแพ้ เขาจะมีความรักอยู่รอบตัว”

รินจับมือศรัณย์ด้วยการประสานนิ้ว เขายิ้มปลื้มปริ่มที่แสดงว่าเธอตอบรับความรัก “เป็นครั้งแรกที่หล่อนจับมือฉันด้วยความเต็มใจ” ศรัณย์นับนิ้วหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบแล้วขอบคุณที่เข้าใจกัน เชื่อใจกัน เขากุมมือรินมาแนบหน้า สายตาขอบคุณอย่างไม่คาดฝัน

คืนนั้นสองคนนอนร่วมเตียงยังคงมีหมอนกั้นกลาง ศรัณย์นอนตาค้างด้วยอารมณ์ชายที่เพิ่งถูกรับรักจึงชวนรินคุย ถามก่อนแต่งงานเธอฝันว่าสามีเป็นใคร รินตอบว่า เอลวิสหรือเจมส์ดีน เขาหัวเราะร่าถามอีกว่าเธอเห็นตนเป็นคนไหน รินเหน็บเขาเล็งปืนใส่ ตนควรเห็นเขาเป็นคนไหน ศรัณย์ขำถามถึงความรู้สึกตอนนี้ รินเลี่ยงว่าง่วงอยากนอน

“อะไร หล่อนหลับลงได้ยังไง วันนี้หล่อนจับมือฉัน หล่อนหลงใหลฉัน หล่อนไม่ตื่นเต้นบ้างรึ” รินหาว่าเขาช่างหลงตัวเอง ศรัณย์สอดมือมาจับมือเธอประสานกันไว้ “เราจะจับมือเป็นหนึ่งเดียวอย่างนี้ตลอดไป” รินรับคำ เขาถามอีก “ริน...ในเวลาที่เราจับมือกันอยู่ฉันถามคำถามหนึ่ง หล่อนมีอะไรปิดบังฉันไหม” ศรัณย์หวังให้รินสารภาพเรื่องที่ไม่ใช่ลูกเจ้าคุณบำรุง
แต่รินคิดว่าตนเป็นลูกสาวคนหนึ่งของครอบครัวบำรุงประชากิจจริง จึงบอกเขาว่าไม่มีอะไรปิดบัง ศรัณย์ไม่ติดใจบอกเธอว่าคืนนี้ตนคงนอนฝันดี

ooooooo

เมื่อมีความหวังปาฏิหาริย์ก็เกิด พระพิจารณ์มีสีหน้าดีขึ้นให้ความร่วมมือทำกายภาพไม่ขัดขืน ช้องนางดีใจปลุกชรัตน์ให้ลุกมาดู พยาบาลยังบอกอีกว่าท่านทานข้าวได้มากขึ้นด้วย

ชรัตน์เอารูปพ่อกับเรียงให้ช่างทองดูสร้อยพระ เพื่อจะถามว่าเป็นของแท้หรือเปล่า ช่างทองสูงวัยเอากล้องส่อง “โฮ้ยคุณ ใครเขาดูทองจากรูป เอามาชั่งน้ำหนักสิครับ เอ๊ะ!ทองแท้ครับ สร้อยเส้นนี้ผมทำกับมือ”

ชรัตน์ตื่นเต้น ช่างเล่าว่าตนเป็นช่างทองของครอบครัวเขาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว คุณท่านได้บุษราคัมมาจากพม่า ให้ตนทำแหวนที่เขาใส่วงหนึ่ง กำไลทองอันหนึ่ง แล้วก็สร้อยพระเส้นนี้ ชรัตน์มองแหวนที่นิ้วตัวเอง จำได้ว่ากำไลพ่อให้แม่ แสดงว่าสร้อยพระให้กับเรียง และบอกอีกว่าสร้อยเส้นนี้หายไปจากตระกูล ฝากถามเพื่อนฝูงร้านทอง ถ้ามีใครครอบครองหรือรับจำนำมา ช่วยบอกตนด้วย ตนอยากได้ข้อมูลบางอย่าง...ช่างรับคำ

พอความรักก่อตัว ทุกอย่างก็ดูเป็นสีชมพู ศรัณย์นั่งมองรินอมยิ้มตลอดเวลาที่เธอทานข้าว รินติงเอาแต่มองหน้าไม่ทานข้าวแล้วจะอิ่มได้อย่างไร เขาเพ้อว่าข้าวเป็นสีชมพู น้ำก็เป็นสีชมพู เสนอร้องฮิ้ว...ศรัณย์หันมาถามว่าหอนอะไร เสนอแกล้งถามหน้าตนเป็นสีอะไร เขาบอกสีข้างแล้ววาดขาออกไป เสนอหลบแว้บหัวเราะหยอกเย้า

“วันนี้ออกไปที่อำเภอกันนะ” ศรัณย์ชวนริน

เธอถามเขาจะไปทำงานแล้วหรือ เขาขอไปจัดการเซ็นเอกสารบางอย่าง รินเห็นว่าไม่ได้ข่าวเสือขาวมาเกือบเดือน อาจจะตายหรือยังรักษาตัวอยู่ ศรัณย์หยิกแก้มรินบอกจะรีบไปรีบกลับ

ศรัณย์มาอำเภอในชุดไปรเวท ใช้ไม้เท้าพยุงเดิน เจ้าหน้าที่ออกมาห้อมล้อมยินดีที่เขากลับมา และยังหล่อเหมือนเดิม โชติออกมาต้อนรับ พอดีนายอำเภอเดินเข้ามาจึงทักทาย

“บุญรักษาแท้ๆพ่อคุณ เอ...นายเสนอบอกคุณจะมาเซ็นเอกสารกับผม เรามีเอกสารอะไรด้วยหรือ”

โชติแทรกว่าใบลาก็เซ็นแล้ว ศรัณย์โพล่งขึ้นว่าจะมาจดทะเบียนสมรส รินตกใจ ทุกคนเฮแสดงความยินดีกันใหญ่...รินเขินนั่งมองเอกสารตรงหน้า ศรัณย์กระซิบถามไม่อยากแต่งงานกับตนหรือ เธอท้วงทำไมจู่ๆถึงอยากเซ็น

“ความหมายของกันและกัน อย่างที่หล่อนต้องการไง...ฉันเจอความหมายนั้นแล้ว เข้าใจ ไว้ใจและเชื่อใจ หล่อนล่ะเจอรึยัง ถ้าเจอแล้วก็เซ็น ถ้าไม่เจอก็ไม่ต้องเซ็น”

รินนึกถึงวันที่ศรัณย์มาตามตนกลับบ้าน ตนให้เขาตอบว่าตนมีความหมายอะไรสำหรับเขา...รินยิ้มปลื้มก้มหน้าเซ็นชื่ออย่างเต็มใจ ทุกคนปรบมือเฮ ศรัณย์เซ็นตาม นายอำเภอมอบใบทะเบียนสมรสให้คนละใบและอวยพร “ทะเบียนสมรสช่วยให้ชีวิตคู่คงอยู่ไม่ได้ แต่ช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงวันนี้ วันที่คนสองคนมีหัวใจเดียวกัน ความเข้าใจ ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ให้เกียรติกัน ขอให้รักษามันเอาไว้ คุณทั้งสองจะมีใจเดียวกันตลอดไป”

ทั้งสองยกมือไหว้ขอบคุณนายอำเภอ

ศรัณย์กับรินกลับมาถึงบ้าน สายและเสริมรออยู่ก่อนเพราะศรัณย์ให้กลับมาทำงานตามเดิม รินดีใจมาก ศรัณย์กล่าวว่าต่อไปนี้ บ้านนี้เป็นบ้าน...เป็นบ้านแล้วจริงๆ

ooooooo

ค่ำนั้น รินนั่งหวีผมหน้ากระจก นึกถึงคำพูดของโชติที่ว่า พระเจ้าสร้างชายหญิงให้มีลักษณะแตกต่างกัน เมื่อหลอมรวมกันจะกลายเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ หน้าที่ภรรยาคือยินยอมเรื่องเพศสัมพันธ์...

รินตาโพลงลุกขึ้นหยิบหมอนจะกลับไปนอนห้องตัวเอง แต่พอดึงประตูมันล็อก

ศรัณย์ถามจะไปไหน เธออ้ำอึ้ง เขาบอกประตูนั้นล็อกไว้เพื่อความปลอดภัย รินหน้าเสีย ศรัณย์ทำทีบ่นว่าวันนี้เดินเยอะขาคงบวม รินวางหมอนลงแล้วเข้าไปดูขาเขาอย่างห่วงใยถามว่าเจ็บตรงไหน แต่ดูแล้วไม่เห็นบวมจึงบอกให้เขานอน กำชับพรุ่งนี้อย่าเดินมาก

รินยังเอาหมอนกั้นกลางแล้วล้มตัวนอน ศรัณย์แอบยิ้มกริ่ม เอ่ยปากถามก่อนแต่งงานเธอคิดถึงเอลวิสกับเจมส์ดีน พอหลังแต่งงานเธอคิดอะไร รินตอบว่าคิดถึงดวงสวาทคู่รักเก่าของเขา

“อื้อ...พูดขึ้นมาทำไม ฉันน่ะคิดเรื่อง...ลูก”

รินว่าเขาฟุ้งซ่านแล้วหันหลังให้ ศรัณย์ทำเป็นนับว่าจะมีลูกกี่คนแต่ที่จริงดึงหมอนออกทีละใบ รินรู้สึกตัวหันมาแล้วโวย เขาขยับเข้ากอดอย่างอ่อนโยน เธอเกร็งตัวทำอะไรไม่ถูก เขากระซิบต่อไปนี้ไม่มีหมอน ไม่มีมีด ไม่มีดั้งจมูกแล้วนะ รินอ้างลุกไปจะปิดหน้าต่างเกรงเสือขาวมา ศรัณย์ลุกตามมายืนประชิด รินหันเจอแปลกใจที่เขาไม่ต้องใช้ไม้เท้าแล้ว เขาสวมกอดเธอ

“ถ้าหล่อนยอมใช้ห้องนอนนี้ ฉันจะวิ่ง จะกระโดดให้ดู ราวกับเสกเลยล่ะ” ศรัณย์จูบแก้มรินทั้งซ้ายและขวา ดันตัวให้ถอยไปนั่งบนเตียง รินโวยที่หลอกมาตลอดว่ายังเดินไม่ได้ เขาสวน “เดินได้ ทำได้ทุกอย่างมาตั้งนานแล้ว ไม้เท้านั่นเขาเรียกโรคสำออยอ้อนเมีย”

รินตีแขนที่ปล่อยให้เป็นห่วง ศรัณย์อ้อนให้สงสาร คืนนี้ถ้าปฏิเสธตนจะตายให้ดู รินถามเขาแข็งแรงแล้วจริงหรือ เขากระซิบข้างหูว่า ได้ใช้ชีวิตคู่กับเธออย่างนี้ ไม่ยอมตายง่ายๆ ว่าแล้วก็พรมจูบไปทั่วใบหน้าริน แล้วหยุดนิ่งที่ริมฝีปาก หญิงสาวไม่ขัดขืนปล่อยตามใจปรารถนา

รุ่งเช้า รินยืนมองพระอาทิตย์ขึ้น ศรัณย์เข้ามาสวมกอด บอกไม่อยากให้พระอาทิตย์ขึ้น อยากนอนกับเธอแบบนี้ไปนานๆ หญิงสาวถามไม่หิวหรือ เขากระซิบว่า หิวเธอมากกว่า แล้วหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ รินเขินอายชี้ให้ดูพระอาทิตย์

“ต่อไปนี้ดวงตาโตๆของฉันจะมองที่หล่อนคนเดียว และตาโตๆของหล่อนก็ต้องมองที่ฉันคนเดียว แก้มป่องๆนี่ก็ของฉัน...” ศรัณย์ชี้ทุกจุดบนใบหน้ารินบอกเป็นของตนหมด

รินยิ้มอายๆ ศรัณย์ย้ำให้ตอบตกลงไม่อย่างนั้นจะจูบปากเธอจนไม่ได้พูดอีกเลย รินรีบบอกว่าตกลงๆ ชายหนุ่มเอาจมูกชนจมูกหญิงสาว ยิ้มให้กันท่ามกลางแสงสีนวลของดวงอาทิตย์

วันต่อมาแก้วกลับมาเห็นลูกชายเดินเข้ามากราบก็ดีใจ บอกว่าได้ข่าวทั้งสองจดทะเบียนกันแล้ว ตนจึงกลับมาอยากเห็นด้วยตาว่าทั้งสองมีความสุขแค่ไหน ศรัณย์เป็นห่วงไม่อยากให้กลับจนกว่าเรื่องเสือขาวจะจบ แต่เมื่อแม่มาแล้วจึงบอกว่า “ผมกำลังจะกลับไปทำงานพรุ่งนี้ครับ นายอำเภอจะจัดงานสมโภชศาลประจำอำเภอ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของชาวบ้าน”

แก้วเห็นว่าดีเลยตนจะได้ไปช่วยงาน แล้วกล่าวกับลูกทั้งสองว่า ต่อไปนี้ชีวิตคู่เป็นของจริง “ความหวานชื่น ก็เหมือนทุกอย่างในโลก ย่อมเปลี่ยนแปลง เมื่อมีวันเพิ่มขึ้นก็ต้องมีลดลง ไม่เหมือนกันในแต่ละวันแต่ละปีของชีวิตคู่ บทพิสูจน์ความรักในนิยายจบลงเมื่อรักกัน แต่ในชีวิตจริงคือ...การเริ่มต้น” ศรัณย์ว่าพวกตนจะไม่เปลี่ยน “คนทุกคนเปลี่ยนทุกวัน แค่ออกไปข้างนอก อ่านหนังสือ ดูละครหรือรู้จักคนใหม่ๆสักคน กลับเข้ามาคู่ของเราก็เปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว”

คำเตือนของแก้วทำให้ศรัณย์กับรินเริ่มกังวล แต่ก็พร้อมจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง

ooooooo

เมื่อเจ้าคุณบำรุงกับเพ็ญแขทราบเรื่องของบารนี ก็ให้อรุณพาเดินทางมาปักษ์ใต้ ระหว่างนั่งรอรถมารับที่สถานี บุรณีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจะซับหน้า เกิดลมพัดวูบ ผ้าปลิวไปแปะหน้าคน คนหนึ่ง เธอรีบวิ่งไปเก็บ ปรากฏว่าเป็นชรัตน์ เขาดีใจมากที่พบเธอ คิดว่าเป็นบุพเพสันนิวาส

บุรณีถอนใจถามเขามาทำอะไรที่ใต้ เขาบอกว่ามาหาศรัณย์ ถ้ารู้ว่ามาขบวนเดียวกันคงเดินมาคุยด้วยนานแล้ว บุรณีถามตามมารยาทว่ามีรถมารับไหม อรุณกำลังไปหารถ ถ้าไม่มีไปด้วยกันได้ ชรัตน์ปลื้มปริ่มดีใจ หญิงสาวดักคอว่าเป็นมารยาทไม่ใช่บุพเพสันนิวาส

ชรัตน์มาถึงบ้านศรัณย์ บอกเพื่อนว่าเจ้าคุณกับครอบครัวมารับบารนีกลับ ศรัณย์บอกรินเขากลัวบารนีจะเป็นบ้าไปเสียก่อนจึงตามพ่อแม่ลงมา

บารนีตกใจไม่คิดว่าพ่อแม่จะมา เพ็ญแขโผกอดลูก พอบารนีรู้ว่าทุกคนจะให้กลับพระนครก็โวยวายที่จะให้ตนทิ้งสามี ไหนพร่ำสอนให้เป็นภรรยาที่ดีที่ซื่อสัตย์ คำสอนเหล่านั้นไม่สำคัญแล้วหรือ ทุกคนมองหน้ากันพูดไม่ออก...รินทำข้าวต้มตั้งโต๊ะ บุรณีบอกบารนีว่าแม่ทำผักดองของชอบมาให้ด้วย บารนีอ่อนลงขอบคุณ เพ็ญแขจึงเอ่ยว่า ก่อนพณิชจะเซ็นสัญญาขายข้าว ก็ต้องรู้ว่ามันเสี่ยงแต่ยังทำ พอถึงเวลาจะมาบีบให้คนอื่นทำผิดด้วยแบบนี้เขาเรียกว่าเห็นแก่ตัว

“คุณแม่...คุณพณิชเขาสัญญาว่าจะให้คุณศรัณย์ทำแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คนเราตัดสินใจผิดพลาดได้ไม่ใช่หรือคะ” บารนีแก้ตัวแทน

“เท่าที่พ่อฟัง นายพณิชไม่ใช่คนซื่อสัตย์นักนะลูก คนดีๆไม่มีใครเขาทำตัวลึกลับขนาดนี้หรอก คงเคยชินกับการทำอาชีพเสี่ยงๆผิดกฎหมายแล้วก็คงรวยมาด้วยวิธีนี้”

บารนีย้อนว่าจะให้ตนหนีกลับก็เท่ากับทิ้งให้เขาต่อสู้กับปัญหาตามลำพัง คนจะครหาว่าพอยามมีหนี้สินเราก็ทิ้งเขา เพ็ญแขถามแล้วจะอยู่ตัวคนเดียวต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ได้อย่างไร บารนีเชื่อว่าพณิชจะต้องกลับมา เจ้าคุณจึงขอให้กลับไปรอที่พระนคร เมื่อเขากลับมาก็ไปตามที่นั่น และตนจะได้คุยกับเขาด้วย ถ้าเขาไม่เลิกคดโกงก็จะให้เลิกรากันเสีย

“คุณพ่อ!ตอนคุณศรัณย์เจ็บ คุณพ่อให้รินมาอยู่ข้างๆ ตอนนี้คุณพณิชกำลังลำบาก ทำไมคุณพ่อให้บารนีทิ้งคุณพณิชล่ะคะ”

เจ้าคุณสอน “สามีภรรยาเป็นเข็มทิศให้แก่กันและกัน สามีชักนำชีวิตภรรยา ภรรยาเป็นศูนย์รวมจิตใจของสามีและลูกๆ ครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ สามีภรรยาจะต้องชักนำกันและกันไปในทางที่ถูกต้อง”

เพ็ญแขอธิบายว่าถ้าลูกมีสามีเป็นคนโกง ชีวิตจะมีแต่ความเดือดร้อนตามมา พ่อกับแม่คงยอมไม่ได้ ส่วนรินทำถูกแล้ว อรุณโพล่งขึ้นถ้าเลิกกันจะอับอายญาติมิตร บำรุงแย้ง คนไทยมีญาติมีพรรคพวกเพื่อนฝูง แต่ถ้าไม่มีชาติบ้านเมือง ไม่มีสังคมส่วนรวม ประเทศจะน่าสงสาร เพ็ญแขย้ำเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าเดินทางผิดแล้วไม่เตือน ครอบครัวจะสงบสุขได้อย่างไร บารนีร้องไห้โฮส่ายหน้าไปมาไม่ยอมกลับพระนคร รินรู้สึกว่าบารนีโกรธตนและศรัณย์มาก

ooooooo

เช้าวันใหม่ รินเตรียมเสื้อผ้าให้ศรัณย์ วันนี้เป็นวันแรกที่เขาเริ่มไปทำงาน ท่าทางเขาตื่นเต้นเล็กน้อย รินคุยเรื่องบารนีว่าดูยังโกรธๆตน ศรัณย์ปลอบให้ค่อยเป็นค่อยไปและให้ชวนเจ้าคุณบำรุงกับครอบครัวไปเที่ยวงานสมโภชด้วย

รินรับคำแล้วบอกเขาว่าให้เสนอเอากระเป๋าไปใส่รถให้แล้ว ศรัณย์นึกได้ว่าลืมแผนที่ไว้ที่ห้องโถง รินบอกว่าเก็บใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยแล้ว เขากอดหอมที่เธอช่างรู้ใจ เธอบอกเห็นเขาหมกมุ่นกับแผนที่หาค่ายเสือขาวจนแทบนอนกอด เขาอ้อนว่าตอนนี้กอดแต่เมีย เธอปัด

“หยุดเลยค่ะ กระเป๋าเงินค่ะ ใส่เงินไว้ให้แล้ว กระเป๋าอะไรไม่มีเงินเลย ทีหลังเงินหมดต้องบอกนะคะ ถ้าเกิดมีเรื่องใช้ด่วนเปิดมาไม่มีให้เขาจะทำไงคะ”

ศรัณย์ยิ้มๆบอกก็ให้มาเอาที่เมีย เพราะเมียเป็นกระเป๋าเงิน เป็นปิ่นโต เป็นที่นอน เป็นที่รัก รินตัดบทเอาสร้อยพระสวมให้เขาพร้อมกำชับห้ามลืมอีก เขาพนมมือไหว้พระ บอกมีพระองค์นี้ มีพรของเธอ ต่อไปตนจะปลอดภัย รินพยักหน้ายิ้มให้

รินยืนโบกมือส่งศรัณย์นั่งรถออกไป อรุณยืนมองเศร้าๆ พอเธอหันมาเจอก็แปลกใจ เขาบอกมาสักพักคุยกับเสนอ ถึงรู้ว่าเธอจดทะเบียนกับศรัณย์แล้ว รินเห็นใจบอกตนเป็นน้องสาวเขามาตลอดเหมือนบารนีและบุรณี ความสุขของตนจะเป็นความสุขของเขาด้วย อรุณจำต้องรับคำ ในขณะเดียวกัน นริศพาดวงสวาทมาเที่ยวสถานลีลาศ เห็นเธอหัวเราะมีความสุขขึ้นก็ดีใจ เขาสัญญาจะทำงานหาเงินมาซื้อวังคืนให้ได้ ภายในสถานลีลาศมีพนักงานบริษัทของชรัตน์แฝงตัวเที่ยวอยู่ด้วย สองสาวสมรกับโฉมนั่งเม้าท์พวกไฮโซ แล้วก็เม้าท์เรื่องนริศเป็นคุณชายถังแตกขายวัง สมรบอกว่าดวงสวาทเป็นเพื่อนสมัยเรียน น่าสงสารที่มาแต่งกับคุณชายสิ้นเนื้อประดาตัว

พอดีนริศเดินไปห้องน้ำ สมรจึงเข้ามาทักทายดวงสวาท แล้วถามว่าทำไมยอมให้นริศขายวัง ดวงสวาทหน้าเสียแต่ยังวางท่าเริ่ดเชิด อวดว่าตอนนี้กำลังร่วมทุนสร้างห้างสรรพสินค้าหลายล้าน วุ่นวายจนไม่ค่อยได้ พักผ่อนแล้วตัดบทหันมาถามเรื่องของสมรบ้าง สมรบ่นว่าไปเที่ยวต่างประเทศเลยพลาดงานแต่งก๊กเจ้าคุณบำรุง แล้วเริ่มนินทาตามนิสัยว่ามีข่าวหลุดออกมาว่าจู่ๆครอบครัวนี้ก็ประกาศว่ามีลูกสาวสามคนทั้งที่แต่ก่อนมีแค่สองคน แต่ใครๆก็รู้ว่าเป็นเด็กในบ้านที่เก็บมาเลี้ยง แล้วบราลีก็เปลี่ยนชื่อเป็นบารนีเฉยเลย ดวงสวาทตาวาวกับข่าวนี้มาก

พอนริศกลับมาที่โต๊ะ เธอก็บอกว่าอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้...คืนนั้นเธอขอให้นริศไปนอนห้องรับแขกโดยอ้างว่าไม่สบาย แต่พอเช้ามืดเธอก็แอบหนีไปปักษ์ใต้ โดยไม่บอกใครในบ้าน

มาถึงบ้านที่ปักษ์ใต้ เห็นจิ้มลิ้มเอาเสื้อผ้าตนมาใส่ก็ชี้หน้าเอ็ด จิ้มลิ้มยกมือไหว้ขอโทษบอกกำลังจะไปเที่ยวงานสมโภชศาลประจำอำเภอ เห็นคุณแก้วกับคุณนายปลัดแต่งตัวสวยจึงแต่งบ้าง ดวงสวาทคิดแผนร้ายในทันที

ooooooo

บริเวณลานจัดงานสมโภชศาลประจำอำเภอมีเวทีลิเกป่า มีการออกร้านทั้งอาหารและขนม ผู้ว่ากับคุณหญิงพิมคุยกับเจ้าคุณบำรุง เพ็ญแขและแก้ว ว่า ชาวบ้านไม่ได้สนุกอย่างนี้มานาน แก้วยกมือไหว้ท่วมหัวขอให้เสือขาวตายไปแล้วตามคำร่ำลือ นายอำเภอบอกได้วางกำลังไว้รอบ

คุณหญิงพิมชี้ให้ดูศรัณย์กับรินที่ดูหนุงหนิงกันน่าเอ็นดู ทั้งสองโอบกอดกระซิบกันชี้ชวนให้ดูรอบงาน

กลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่ศรัณย์ระเบิดรถเสือขาว กรูกันมาชื่นชม ส่วนใหญ่เป็นหญิงสูงวัย ศรัณย์จึงแนะนำว่ารินเป็นภรรยา ป้าคนหนึ่งโพล่งขึ้น

“โอ้ย...รู้ค่ะ เขาลือกันว่าปลัดพิฆาตนารีมีเมียสอง”

ศรัณย์สะดุ้งยิ้มแหยๆด้วยความเกรงใจริน “หาเรื่องให้ผมแล้วไหมล่ะครับป้า เมียเดียวเท่านั้นแหละครับ คนนี้คนเดียว”

“แหม สูงใหญ่แข็งแรงกำลังวังชาขนาดนี้ กี่คนก็ช่างแกเถอะค่ะ ถือว่าทำทานนะคะคุณนาย ขอกอดทีนะ คุณปลัด” ป้าเข้ากอด ศรัณย์ดึงรินมากอดขวางเป็นเกราะกำบัง

“โอว ไม่ได้ครับไม่ได้...หล่อนก็หัวเราะอยู่ได้ สามีทั้งคนจะแบ่งคนอื่นหรือไง”

สาวสูงวัยทั้งกลุ่มแย่งกันจะกอดศรัณย์อย่างสนุกสนาน เขาร้องว่าตนกอดเมียได้คนเดียว รินเอาแต่หัวเราะ ในใจมีความสุข

บุรณีกับอรุณพาบารนีเดินดูของกินมากมาย แต่เธอยังหน้าเศร้าเดินเหมือนคนไม่มีหัวใจ สุดท้ายก็ขอไปนั่งพัก อรุณจึงตามไปดูแล ชรัตน์ได้ทีเข้ามาชวนบุรณีคุย

“รักเป็นพิษ น่าเห็นใจนะครับ เหมือนที่เช็คสเปียร์กล่าวว่า จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ”

บุรณีแย้งว่านี่เป็นกลอนของสุนทรภู่ ชรัตน์เหวอ แล้วกล่าวกลอนอีกบท “ความเอยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน แรกเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี”

บุรณีบอกอันนี้แหละเช็คสเปียร์ พระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 แปลจากเวนิสวาณิช ชรัตน์ยิ้มแหยๆ อ้างว่าสับสนแล้วถามเธอเริ่มตรงไหน หญิงสาวงง เขาทำหน้ากรุ้มกริ่ม “ความรักไง เมื่อจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่”

“เรียนไม่เก่ง ความรู้ไม่ค่อยมีเพราะมัวแต่เจ้าชู้นี่เอง เฮ้อ...เสียดายเวลา” บุรณีส่ายหน้าเดินหนีไปดื้อๆ ชรัตน์ทึ่งกับสาวคนนี้ยิ่งขึ้นทุกวัน ที่เธอสามารถโต้ตอบไม่มีเขินอาย

ชายหนุ่มเดินตามมานั่งดูลิเกป่าข้างบุรณี แต่ก็แสดงความเปิ่นออกมาจนได้ หญิงสาวอธิบายเป็นฉากๆ ทำให้ชรัตน์ต้องยอมรับว่าเพราะการเป็นนักอ่านของเธอจริงๆที่ทำให้รู้ทุกอย่างในโลก ฉลาดแบบนี้ใครจะกล้าจีบ บุรณีสวนว่าก็คนฉลาดด้วยกัน เขาตาโตช่างทันคน เธอย้ำรู้แบบนี้ก็อย่าเสียเวลามาจีบ ไปหาลูกหลานท่านผู้ว่าจะดีกว่า ชรัตน์โวย

“เห็นผมเป็นอะไร เอาน่าถึงผมจะเรียนน้อยไปนิด เพราะรักสนุกไปหน่อย แต่ผมก็มีความดีอย่างอื่นนะ เช่น...เอ...อะไรบ้างนะ...สักวันเถอะ คุณจะเห็นความดีด้านอื่นของผม”

บุรณีขำบอกให้เขาพยายามเข้า ตนจะรอดูชายหนุ่มสมองกลวงไปไม่ถูกเอาเลย...ทั้งสองมานั่งร่วมโต๊ะกับศรัณย์ ริน อรุณและบารนี มีชาวบ้านเข้ามาทักทายศรัณย์ไม่ขาดสาย อีกโต๊ะเป็นโต๊ะผู้ว่า ภรรยา แก้ว เจ้าคุณบำรุง เพ็ญแขและนายอำเภอ ทุกคนมองศรัณย์อย่างชื่นชม

พอเพลงรำวงดังขึ้น โชติเข้ามาดึงศรัณย์กับรินให้ออกไปร่วมวงกับท่านผู้ว่าและผู้ใหญ่คนอื่นๆ...มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาคุยกับบารนีว่าได้ไปงานแต่งงานของเธอ แล้วถามถึงพณิช บารนีหน้าเสียบอกติดงานที่ปีนัง อรุณเห็นเข้ามาแทรกชวนบารนีออกไปรำวง เหลือชรัตน์กับบุรณี เขาจึงชวนเธอออกไปบ้างแต่เธออ้างกลัวจะคิดว่าเป็นบุพเพสันนิวาสอีก เขารีบบอกว่าเป็นมารยาท

ด้านรินแซวศรัณย์ว่ารำได้เก้งก้างมาก เขาโวยตนเป็นเด็กวัดทำไมจะรำวงไม่เป็น รินแย้งบุคลิกเขาเป็นลูกผู้ดีเป็นคุณหนู ถึงอย่างไรเขาก็เป็นศิวะเวทย์ให้มั่นใจในตัวเองไว้

“ศิวะเวทย์ที่พอใจจะเป็นแค่ปลัดจนๆ ไม่มีทางกลับไปเป็นคุณหนูอีกแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่ามีผู้ใหญ่มาเยอะ ฉันพาหล่อนหนีกลับบ้านไปนานแล้ว ไปนอนกอดกันสองคนสนุกกว่าเยอะ”

รินค้อนอายๆไม่รู้เลยว่ากำลังจะมีเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิต...ดวงสวาทยิ้มเหยียดแอบมองอยู่ อีกคู่คือบารนีที่บ่นว่าอยู่ถึงนี่ยังมีคนถามถ้ากลับพระนครคงเป็นขี้ปากชาวบ้าน อรุณอยากปลอบแต่พูดไม่เป็นบอกพรุ่งนี้ไม่สาย ชีวิตไม่เที่ยง มีตั้งหลายคนที่แต่งงานใหญ่โตแล้วหย่าร้าง บารนีสะเทือนใจเดินร้องไห้ออกไป รินเห็นบอกศรัณย์และอรุณว่าจะไปปลอบเอง ศรัณย์เดินไปหาชรัตน์ ทั้งสองเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ ศรัณย์เปรยว่าบารนีคงโกรธตนมากไม่พูดไม่จาด้วยเลย ชรัตน์เห็นสร้อยพระที่คอเพื่อนห้อยออกมาก็ตาโพลงรีบขอดู

ศรัณย์ถอดให้พร้อมบอกว่าเป็นของริน ท่าทางชรัตน์ตื่นเต้น รีบเอามาเทียบกับรูปภาพในที่ที่แสงสว่างเพียงพอ แล้วรีบเดินตามหาริน...ระหว่างนั้นรินกำลังปลอบบารนี แต่เธอสติแตกต่อว่าเป็นเพราะรินที่ทำให้ชีวิตคู่ตนต้องพังพินาศ รินหน้าเสีย บารนีวิ่งร้องไห้ออกไป ชรัตน์มองรินพยายามตั้งสติก่อนจะเข้าถามว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของเธอใช่ไหม ซื้อมาจากไหนหรือได้จากใคร

“ไม่ได้ซื้อค่ะ เป็นของส่วนตัวดิฉันเอง ได้มาจากแม่... เอ้อ คุณหญิงเพ็ญแขน่ะค่ะ”

ชรัตน์ถามย้ำว่าเพ็ญแขซื้อมาจากไหน รินบอกไม่ได้ซื้อ เป็นสมบัติของตนแต่เกิด เขายิ่งงงจะเอาอย่างไร “อายุของคุณนับไปนับมาก็พอดี...คุณทำท่าแปลกๆชวนให้ผมสงสัยว่าคุณเป็นแค่ลูกบุญธรรมคุณหญิงเพ็ญแขใช่ไหมครับ”

รินตกใจ ไม่ทันไรดวงสวาทโผล่เข้ามา ทั้งสองแปลกใจมาได้อย่างไร ดวงสวาทว่าตนมาได้อย่างไรไม่สำคัญเท่ากับมาทำไม และว่าวันนี้ไม่ได้มาหาศรัณย์แต่มาเพราะเธอและครอบครัว รินถามเรื่องอะไร ดวงสวาทเยาะเรื่องแบบนี้คุยสองคนไม่สนุก ให้ตามเข้าไปในงาน รินรีบเดินตามดวงสวาทไป ชรัตน์งงว่าเรื่องอะไรจึงเดินตามไปอีกคน

ดวงสวาทเดินเข้ามากลางลานรำวง ทำตัวเป็นพิธีกรประกาศว่ามีนิทานสนุกๆมาเล่าให้ทุกคนฟัง สนุกไม่แพ้ลิเกข้างนอก ทุกคนงง เสียงดนตรีของลิเกดังเข้ามาปลุกเร้า อารมณ์ให้อยากรู้ แก้วมองหน้าเพ็ญแขกับเจ้าคุณบำรุง... ดวงสวาทเริ่มเล่า

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ในวัยหนุ่มทั้งสองสัญญาจะให้ลูกชายและลูกสาวของตนมาแต่งงานกัน แต่พอถึงเวลา อีกฝ่ายสงสารลูกสาวที่ต้องไปแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนที่ยากจน ก็เลยส่งคนใช้ เอ่อ...เด็กในบ้านไปแต่งงานแทน เด็กในบ้านที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ถูกยกขึ้นมาเป็นบุตรบุญธรรมอย่างเร่งด่วน แถมยังเปลี่ยนชื่อใหม่ เปลี่ยนการแต่งตัว เปลี่ยนกิริยาท่าทางทั้งหมดก็เพื่อสร้างเรื่องหลอกลวง โกหกแม้แต่เมียของเพื่อน ลูกของเพื่อน นี่หรือคะที่เรียกว่าเพื่อนรัก บ้านบำรุงประชากิจ ข้าราชการสัตย์ซื่อแต่ใจคดจอมลวงโลก”

บุรณีโวยให้ดวงสวาทหยุด แต่เธอกลับชี้หน้ารินว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีสิทธิ์แต่งงานกับศรัณย์ เพราะไม่ใช่บำรุงประชากิจ ว่าแล้วก็เข้าไปผลักรินกระเด็น ไล่ให้ออกไปจากชีวิตศรัณย์

ooooooo

ปดิวรัดา

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด