icon member

ทองเนื้อเก้า

ตอนที่ 14

แลทนเห็นสภาพน่าเวทนาของวันเฉลิมต่อไปไม่ไหว ความขาดสติทำให้คิดแผนร้ายวางยาเบื่อลำยองจะได้ตายจากไปไม่เป็นภาระลูกชายและน้องๆอีก แต่ปอดันเห็นขวดยาเบื่อเสียก่อน หญิงชราจึงต้องซ่อนในตู้กับข้าว ลำดวนผ่านมาเห็นแต่ไม่คิดมาก เข้าใจว่าแม่คงเอามาดักจับหนูธรรมดาเลยปล่อยทิ้งไว้ที่เดิม

ลำดวนเข้าไปเยี่ยมพี่สาวคนโตหลังจากนั้น แผลพุพองตามตัวและน้ำเหลืองไหลเยิ้มทำให้สะอิดสะเอียนจนต้องเมินหน้าหนี ไม่เข้าใจว่าหลานชายทนได้ยังไง วันเฉลิมเช็ดตัวให้แม่อย่างใจเย็นพร้อมเปรยเสียงเบาแต่หนักแน่น

“ให้ยิ่งกว่าน้ำเหลืองน้ำหนองผมก็ทนได้ครับเพราะคนป่วยคนนี้เป็นแม่ของผม”

ลำดวนส่ายหน้าปลงๆ จนใจจะห้ามปรามเพราะรู้ดีว่าหลานรักแม่มากแค่ไหน ได้แต่เตือนให้ทำความสะอาดตัวเองหลังทำแผลให้แม่ กลัวติดเชื้อโรคจะเดือดร้อนกันใหญ่ เมื่อมาเจอแม่หน้าบ้านก็อดบ่นไม่ได้เพราะสงสารหลาน

“เวรแท้ๆ ไม่รู้พี่ลำยองจะอยู่ทรมานคนอื่นเขาทำไม ตายๆไปซะจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว”

แลนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยินอะไร แต่ในใจสับสนเพราะสิ่งที่คิดจะทำ วันเฉลิมดูแลแม่เรียบร้อยจึงมาลายายไปนอนบ้านปั้นเพราะต้องช่วยลำยงขนของแต่เช้า แลไม่พูดอะไรเพราะกำลังเครียดถึงแผนร้ายที่วางไว้ ส่วนลำดวนเห็นหลานหน้าอมทุกข์เลยปลอบให้ทำใจเพราะอาการลำยองไม่น้อยแล้ว

“แม่เอ็งมีแต่ทรงกับทรุด หมอเขายังบอกเลยว่าไม่มีทาง เอ็งเลิกหวังเถอะไอ้วัน เหนื่อยกายเปล่าๆ ทำงานตัวเป็นเกลียว ได้กี่บาทก็กลายเป็นค่ายาแม่เอ็งหมด สงสารตัวเองบ้างเถอะ”

วันเฉลิมเข้าใจที่น้าบอกทุกอย่างแต่ดูดายทิ้งแม่ให้ทรมานจนตายไม่ได้ สุดท้ายความกังวลแปลกๆก็ทำให้เปลี่ยนใจกลับไปค้างกับแม่แทน ลำดวนได้แต่มองตามปลงๆ...เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมเสียทีไอ้วันเอ๊ย

ฟากแลถือกระป๋องยาเบื่อหนูไปหาลำยองในห้อง เสียงร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจบอบช้ำของหญิงชราไม่น้อย แต่ความทุกข์ระทมของหลานก็ทำให้เศร้าใจไม่ต่างกัน

“กูผิดเองที่เลี้ยงมึงไม่ดี กูมันโง่ที่ส่งเสริมมึงแต่ทางที่ผิด มึงอย่าเป็นห่วงผูกคอลูกมึงอีกต่อไปเลยนะอีลำยอง ปล่อยลูกให้มันมีอนาคตดีกว่านี้เถอะ” แลกำกระป๋อง ยาเบื่อหนูแน่น มองลูกสาวคนโตด้วยแววตาแน่วแน่ “มันคงไม่เจ็บปวดกว่าที่มึงเป็นอยู่เท่าไหร่หรอก ชีวิตมึงกูเป็นคนให้กำเนิด มันไม่ผิดหรอกที่กูจะเป็นผู้ทำลายเสียเอง”

แลจะลงมือแต่วันเฉลิมดันกลับมาก่อน หญิงชราจึงหมดโอกาสต้องนอนตาค้างทั้งคืน ความทรงจำในอดีต สมัยลำยองเพิ่งแตกเนื้อสาวหวนคืนในหัว ทั้งเรื่องวางแผนจับสันต์ เสียงทะเลาะกับปั้นและสิน ภาพลำยองกินยาดองเป็นครั้งแรกและวันที่ลำยองไปดูดวงกับพ่อปู่ว่าเป็นนางฟ้ากลับชาติมาเกิด หญิงชรานั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ ปวดใจเหลือเกินเมื่อตระหนักว่าหายนะทั้งหมดของลูกสาวคนโตโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง!

ooooooo

ความรู้สึกผิดเวียนวนในหัวจนแลตัดสินใจเด็ดขาดจะทำตามแผนเดิมอีกครั้ง หญิงชรารอจนเช้ามืดเพื่อรอโอกาสทองตอนวันเฉลิมไปช่วยลำยงขนของที่ตลาด ชามข้าวคลุกไข่เจียวผสมยาเบื่อพร้อมแล้วในมือแต่เธอยังมือสั่น เมื่อเข้าไปหาลูกสาวในห้องแล้วต้องตะลึงเพราะลำยองนอนลืมตามองมาเหมือนคนปกติทุกอย่าง

สาวขี้เมาไม่ร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวด แต่กลับถามถึงลูกชายคนโต แลตอบเสียงเรียบ

“มันไปช่วยนังลำยงจ่ายตลาดตอนเช้า สายหน่อยมันก็ไปรับไอติมมาเร่ขาย...หาเงินมาซื้อยาให้เอ็งนั่นแหละ” ลำยองสะเทือนใจ น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความรู้สึกบางอย่าง แลเมินหน้าหนีเพราะกลัวจะใจอ่อน รีบหยิบชามข้าวส่งให้ลูกสาว “เอ็งกินข้าวซะ ไอ้วันมันต้มข้าวเจียวไข่ให้ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”

ลำยองจะตักกิน แลเบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นลูกสาวชักต่อหน้าต่อตา แต่ลำยองกลับส่งชามคืนดื้อๆ บอกจะรอวันเฉลิมกลับก่อน แลชะงัก สติและมโนธรรมหวนคืนมาเมื่อเห็นแววตาไร้พิษสงของลูกสาว สุดท้ายเลยต้องโยนชามข้าวทิ้งขยะแล้วปล่อยโฮหลังบ้านเพราะความรู้สึกผิด...อีลำยอง...กูทำมึงไม่ลง!

แลไปสงบสติอารมณ์ครู่ใหญ่จึงกลับมาดูลูกกับผัว แต่ต้องใจหายวาบเมื่อเห็นชามข้าวคลุกยาเบื่อหายไปจากถังขยะเสียแล้ว หญิงชราถลาไปดูในบ้านแล้วต้องเย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นปอนอนชักกระตุกน้ำลายฟูมปากตรงกลางบ้าน วันเฉลิมกลับมาทันจึงรีบไปตามน้าๆที่ร้านปั้น ทุกคนตกใจแทบสิ้นสติไม่คิดว่าปอจะหลงขนาดนี้

“กูไม่ได้ตั้งใจ...กูไม่ได้ตั้งใจ”

แลกอดปอร้องไห้คร่ำครวญแทบขาดใจ ลำยองได้แต่มองนิ่งๆเหมือนไม่รับรู้อะไร ส่วนชดจะพาพ่อตาไปหาหมอแต่ไม่ทันเพราะชายชราหมดลมหายใจเสียก่อน แลกรีดร้องเสียงดังราวกับมีใครมากระชากดวงใจ

“ไม่...ไอ้ปอ มึงต้องไม่ตาย กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ”

งานศพปอถูกจัดอย่างเรียบง่ายและเสร็จสิ้นหลายวันแล้ว แต่แลยังเซื่องซึมไม่พูดจากับใครจนทุกคนเป็นห่วง แม้แต่ลำยองก็มองแม่ด้วยแววตาสั่นระริก เสียใจไม่น้อยแต่ช่วยอะไรไม่ได้ สุดท้ายสาวขี้เมาจึงตะเกียกตะกายคลานออกจากบ้านด้วยใจมุ่งมั่น กว่าแลจะรู้ตัวว่าลูกสาวหายไปก็เมื่อวันเฉลิมพาสันต์มาเยี่ยมแม่ แลหน้าซีด วิ่งตามหาลูกสาวทั่วบริเวณบ้านแต่ไม่พบแม้แต่เงา

“นี่มันหายไปไหน สภาพแย่ขนาดนั้น มันจะหายไปได้ยังไง นี่กูทำอะไรผิดอีกหรือเปล่า กูทำอะไรผิดอีกไหม”

แลโวยวายเหมือนคนเสียสติ สันต์พยายามปลอบให้ใจเย็นเพราะลำยองคงไปไหนไม่ได้ไกล วันเฉลิมร้อนใจเป็นห่วงแม่ สันต์ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนบอกสองยายหลานว่าพอรู้แล้วว่าเมียเก่าน่าจะอยู่ที่ไหน...

เวลาเดียวกันที่โรงลิเกเก่าท้ายตลาด ลำยองคลานไปนอนบนเวทีด้วยความทุลักทุเล ความเจ็บปวดแล่นผ่านทั่วร่างเพราะแผลพุพองและเลือดซึ่งเริ่มไหลออกจากทวารต่างๆ ภาพความทรงจำตอนเจอสันต์ครั้งแรกย้อนคืนในหัว เธอหลงรักเขาตั้งแต่แรกเห็นเพราะประทับใจในความหล่อ...และคิดว่ายังคงรักอยู่จนถึงวันนี้

ลำยองดึงตัวเองจากอดีตแสนหวาน น้ำตาไหลพรากเพราะความรู้สึกผิดถาโถม ความเจ็บภายนอกเทียบไม่ได้กับความปวดร้าวภายใน เสียงลูกชายลอยจากไหนไม่รู้เรียกชื่อเธอลั่น ไม่กี่อึดใจต่อมาจึงเห็นเขาอยู่ตรงหน้าประคองเธอไว้ในอ้อมแขน สันต์ถลันมานั่งข้างๆ ลำยองมองหน้าลูกแล้วเลื่อนสายตาไปทางผัวเก่า ปากบางแต่ซีดเซียวค่อยๆพูดออกไปว่าคิดถึง สันต์จับมือเธอไว้ด้วยความสะเทือนใจ สภาพเมียเก่าน่าหดหู่จนพูดไม่ออก

ลำยองชักกระตุกอย่างแรงจนตัวงอเป็นที่น่าเวทนา วันเฉลิมร้องไห้โฮด้วยความสงสารแม่ สาวขี้เมาชักกระตุกอีกหลายครั้ง ตาเหลือกขึ้นข้างบนจนเหลือแต่ตาขาว วันเฉลิมกอดแม่แน่นและพยายามรวบมือเธอให้ประสานกันที่อก

“นึกถึงพระพุทธคุณเข้าไว้ครับแม่ นึกถึงพระพุทธคุณเข้าไว้ครับ”

ลำยองเกร็งไปทั้งตัว เสียงลูกชายคนโตยังวนเวียนข้างหู กระซิบให้นึกถึงพระพุทธคุณเข้าไว้ ภาพความทรงจำตั้งแต่วันเฉลิมลืมตาดูโลกและวีรกรรมแม่ดีเด่นของเธอวิ่งวนในหัวไม่หยุด น้ำตาไหลพรากที่ไม่เคยเห็นความดีของลูกจนกระทั่งนาทีนี้ สาวขี้เมายกมือสั่นเทาแตะแก้มลูกเป็นครั้งแรกและยิ้มให้บางๆ วันเฉลิมน้ำตานองและพยายามรวบมือแม่ให้กุมพนมที่อกอย่างไม่ลดละ ลำยองยิ้มให้ลูกเป็นครั้งสุดท้ายและค่อยๆหมดลมหายใจไปในที่สุด

ooooooo

การจากไปของลำยองทำให้ทุกคนเศร้าโศกมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะวันเฉลิม ร้องไห้ไม่หยุดจนทุกคนเป็นห่วง งานศพของสาวขี้เมาถูกจัดอย่างเรียบง่าย โดยมีคนในครอบครัวของแลกับปั้นมาร่วมงานทุกคืนด้วยความเต็มใจ ปั้นถือธูปไปไหว้ศพหน้าโรงและพึมพำลาอดีตลูกสะใภ้ตัวแสบเสียงเศร้า

“หมดเวรหมดกรรมเสียทีลำยองเอ๊ย ข้าอโหสิกรรมให้เอ็งนะ อะไรที่เคยล่วงเกินกัน ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจขอให้แล้วกันไป อย่าให้ผูกพันไปในชาติไหนๆอีกเลย”

ปั้นปักธูปลงกระถาง สันต์ขยับมาไหว้บ้างภาพเมียเก่าในกรอบทำให้น้ำตาคลอด้วยความสะเทือนใจ

“ไม่ต้องทรมานอีกต่อไปแล้วนะลำยอง พี่ขอให้ลำยองได้ไปในที่สงบ”

สันต์ปักธูปแล้วมองหาลูกชาย เห็นนั่งหน้าซึมที่มุมหนึ่งจึงไปคุยด้วย หลวงลุงปิ่นตามไปสมทบและพยายามปลอบให้ลูกศิษย์คนโปรดทำใจเพราะความตายเป็นเรื่องธรรมดา

“แล้วเอ็งจะเอายังไงไอ้วัน เอ็งจะมัวนั่งนิ่งไม่รับรู้อะไรไม่ได้นะ อีกสองวันจะเผาแม่เอ็งแล้ว ตัวเอ็งจะเอายังไง”

วันเฉลิมส่ายหน้าไม่รู้ หลวงลุงปิ่นได้แต่ถอนใจ สันต์ทนไม่ได้ต้องพูดกับลูกชายตรงๆ

“วัน...ชีวิตลูกไม่ได้จบพร้อมแม่เขาหรอกนะ คิดถึงวันข้างหน้าของตัวเองบ้าง”

“วันจะอยู่กับยาย หาเลี้ยงยายกับน้องๆครับ”

สันต์อึ้ง เทวีตัดสินใจให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันเพื่อรอเรียนต่อ วันเฉลิมยังนิ่งและค่อยๆหันมาทางหลวงลุง

“หลวงลุงครับ...วันอยากบวชอีกครั้งครับ พรุ่งนี้ให้วันบวชหน้าศพแม่ได้ไหมครับ”

หลวงลุงยิ้มและลูบหัวเด็กชายเบาๆ สัมผัสอ่อนโยนนั้นทำให้วันเฉลิมน้ำตาร่วง ความเสียใจเพราะแม่ตายยังคงอยู่ แต่ชีวิตเขาต้องเดินต่อไปข้างหน้า...ขอให้แม่ไปสู่สุคติด้วยเถอะครับ

ด้านแล...ไม่ยอมไปงานศพลูกแม้แต่วันเดียว วันๆหมกตัวอยู่ในห้องมืดสลัว โยกตัวไปมาเหมือนคนเสียสติ

“กูผิดเอง กูเลี้ยงมึงมาไม่ดี กูอยากให้มึงตายห่าจะได้ปลดห่วงหลานกูจากนรก แล้วมึงก็ตายจริงๆอีลำยอง แต่ทำไมมึงไม่ชิงตายก่อนหน้านี้ พ่อมึงจะได้ไม่ต้องรับกรรม กูไม่ได้ตั้งใจนะไอ้ปอ กูไม่ได้ตั้งใจให้มึงตายเลย”

แลหัวเราะสลับร้องไห้ราวกับคนบ้า ความรู้สึกผิดในส่วนลึกทั้งเรื่องลูกเรื่องผัวทำให้สะเทือนใจจนไม่เป็นผู้เป็นคน สันต์มาเยี่ยมพร้อมกับลำยงบ่ายวันเดียวกัน เห็นสภาพอดีตแม่ยายแล้วได้แต่ถอนใจ

“ตั้งแต่พ่อตายก็เป็นแบบนี้แหละพี่สันต์ พอพี่ลำยองตายอีกคนอาการก็หนักข้อขึ้น เอาแต่ขังตัวเองในบ้านไม่ออกไปไหนแม้กระทั่งงานศพ ท่าจะเลอะตามพ่อแกไปด้วยอีกคน พี่เข้าไปดูเองแล้วกัน ฉันไปที่วัดก่อนนะ”

ลำยงออกไปแล้ว สันต์สูดลมหายใจยาวและเดินไปหาแลช้าๆ หญิงชรานิ่งไปอึดใจแล้วพยักหน้าให้เขา

“เมียเอ็ง...นังลำยอง มันตายไปแล้ว ไอ้ปอก็ตายแล้ว”

“ผมรู้แล้วครับ วันนี้บ่ายๆวันจะบวชให้แม่ของเขาครับน้าแล”

“หลานข้าต้องได้ขึ้นสวรรค์แน่ แต่ข้ายังไงก็ต้องตกนรก”

“พูดอะไรอย่างนั้นน้าแล ไม่มีใครตกนรกที่ไหนหรอก”

“ข้านี่แหละ จำที่ไอ้ปอมันกินข้าวคลุกยาเบื่อหนูได้ใช่ไหม ความจริง...ข้าตั้งใจซื้อมาเบื่อนังลำยอง” สันต์ตะลึง แลน้ำตาไหลพรากด้วยความสะเทือนใจ “ข้าตั้งใจให้มันกิน จะได้ไม่ต้องอยู่ถ่วงลูกมันให้ทนทุกข์ ข้ายอมตกนรกแต่นรกดันเอาไอ้ปอไปแทน ถ้านังลำยองมันไปเร็วกว่านี้ข้าคงไม่ต้องทำอย่างนี้”

แลร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ คร่ำครวญขอร้องให้สันต์ดูแลน้องๆของวันเฉลิมด้วยเพราะหมดอาลัยตายอยากแล้ว สันต์เข้าใจความทุกข์ใจของอดีตแม่ยายดี เห็นใจเธอไม่น้อยที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความผิดนี้ไปตลอดชีวิต

ooooooo

วันเฉลิมบวชให้แม่ในวันเผาศพ แลไม่ยอมมาร่วมงานเพราะยังรู้สึกผิด สันต์เข้าใจดีว่าสภาพจิตใจของอดีตแม่ยายย่ำแย่แค่ไหนจึงไม่ถือสา เขารับหน้าที่ขริบผมให้ลูกชายและส่งต่อให้เทวี วันเฉลิมพนมมือตั้งจิตแน่วแน่เป็นกุศลให้แม่เป็นครั้งสุดท้าย ควันไฟบนเมรุพวยพุ่งบนฟ้า ราวกับจะส่งดวงวิญญาณของลำยองไปสู่สุคติ

เณรรู้ดีว่ายายต้องทนทุกข์ทรมานกับการจากไปของโยมแม่ เช้าวันถัดมาจึงออกไปเยี่ยมถึงบ้าน แลน้ำตาคลอเมื่อเห็นชายผ้าเหลืองของหลาน ยกมือไหว้ท่วมหัวด้วยความปลื้มใจ

“เณร...ใครๆเขาพ้นเวรกรรมไปนานแล้ว แต่ยายยังต้องทรมานใจต่อไป”

“โยมยาย...บุญกุศลทั้งหมดที่เกิดจากการบวชครั้งนี้ ผมอุทิศให้โยมยายครับ”

แลอึ้ง บาปหนักในใจไม่ทำให้คาดคิดว่าหลานจะอภัย เณรยิ้มน้อยๆแล้วบอกว่ารู้มาตลอดถึงเรื่องที่ยายทำ

“โยมยายรักและหวังดีกับผมมากเกินไป ทุกคนอยากให้ผมหมดภาระทางกาย แต่มันเท่ากับเพิ่มภาระทางใจให้ผมและทุกคน เวรกรรมของโยมยายกับโยมตามีร่วมกันแค่นี้ และทุกอย่างในชีวิตผมก็เกิดจากกรรมผมเอง อนาคตของผมอยู่ที่ผ้าเหลือง ผมจะบวชให้นานและร่ำเรียนให้มากที่สุด ส่วนกุศลทั้งหมด ผมขออุทิศให้โยมยายครับ”

แลน้ำตาอาบหน้า ก้มกราบสามครั้งด้วยหัวใจปีติ หลุดพ้นจากความทรมานและปลดปล่อยบ่วงรัดใจทั้งปวง

สันต์กับเทวีมาเยี่ยมปั้นในอีกหลายวันต่อมา พยายามขอให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันแต่หญิงชราไม่ยอมไป

“แม่ไม่เหงาหรอก มีอะไรให้ทำถมไป อยู่นี่จะได้คอยใส่บาตรเณร วันพระจะได้ไปถือศีลแปดที่วัด ไม่ต้องห่วงแม่หรอก ว่างๆก็พาหลานมาหาแม่บ้างแค่นั้นก็พอ”

สันต์กับเทวีไม่เซ้าซี้เพราะเชื่อว่าแม่คงมีความสุขตามอัตภาพอย่างที่ต้องการ เหลือแต่เณรวันเฉลิมที่ทั้งสองยังห่วงเรื่องเรียนต่อ เพราะดูท่าจะไม่ยอมสึกและเรียนต่อในวิทยาลัยสงฆ์แทน เทวีพยายามบอกให้ลาสิกขาเพื่อเรียนหลักสูตรปกติ จะได้มีงานทำหาเลี้ยงน้องกับยาย แต่เณรปฏิเสธแล้วบอกว่าอาจจะบวชไม่สึกตลอดชีวิตด้วยซ้ำ

ooooooo

วันเวลาผ่านไปหลายปี พระวันเฉลิมบวชมานานจนจิตใจผ่องแผ่ว มีสติตลอดเวลา สมฤดีซึ่งโตเป็นสาวชวนยายมาใส่บาตรหน้าบ้าน วิมลมองตามพระด้วย ความชื่นใจและแจ้งข่าวว่าหลานสาวจะไปเรียนเมืองนอก

“ค่ะหลวงพี่...ดิฉันจะไปอยู่กับคุณพ่อ ท่านได้ทุนวิจัยไปค้นคว้างานที่โน่นหลายปีแล้วค่ะ”

“อีกหลายปีสินะกว่าจะได้กลับเมืองไทย หรือว่าโยมตั้งใจจะตั้งรกรากที่โน่นเลย”

“ไม่หรอกค่ะหลวงพี่ เรียนจบดิฉันก็จะกลับบ้าน บ้านดิฉันคือเมืองไทยค่ะ”

สมฤดีไปเรียนต่อนับสิบปี ส่วนพระวันเฉลิมกลายเป็นพระนักเทศน์เป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไป

วิมลแวะมาถวายสังฆทานในเช้าวันหนึ่ง ชวนพูดคุยเรื่อง สัพเพเหระเหมือนที่ชอบทำทุกๆสัปดาห์ พระวันเฉลิมถามถึงสมฤดีจึงได้ความว่ากำลังจะกลับมาและอยากเป็นครู พระวันเฉลิมยิ้มน้อยๆ...ภูมิใจที่เพื่อนวัยเด็กคิดช่วยเหลือสังคม

ด้านแล...หมั่นเข้าวัดฟังเทศน์และบำเพ็ญประโยชน์ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา พระวันเฉลิมแวะมาทักทายและบอกให้พักผ่อนบ้างเพราะแก่มากแล้ว แต่แลยังปัดกวาดเช็ดถูไม่หยุดและเปรยเสียงอ่อน

“ทั้งชีวิตที่ผ่านมาอิฉันปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไม่มีประโยชน์ อิฉันอยากจะชดเชยเวลาที่หายไปเจ้าค่ะ”

“การทำงานทุกอย่างอย่างมีสติ เท่ากับได้ฝึกปฏิบัติธรรมแล้วล่ะโยมยาย”

“สาธุ...แต่ก่อนมาวัดอิฉันแค่มาขอให้ถูกหวย แต่ตอนนี้อิฉันรู้แล้วว่าต้องการอะไร อย่างที่ท่านสอนแหละค่ะ บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป ไม่มีทางหักลบกลบหนี้กันได้ เวลาอิฉันเหลือน้อย ขออุทิศให้พระศาสนาค่ะ”

พระวันเฉลิมอนุโมทนาโยมยายและหันไปยิ้มรับสันต์กับเทวีซึ่งแวะมาถามสารทุกข์สุกดิบเหมือนเคย เมื่อทราบว่าพระจะไปเรียนต่อที่อินเดียก็ปลื้มใจมาก ยินดีเหลือเกินที่ลูกชายเดินทางสว่าง ไม่ข้องเกี่ยวอบายมุขอย่างที่นึกกลัว

“ผมอยากรู้อยากเห็นให้แน่ใจ หลวงพี่อาจารย์แนะนำว่าถ้าผมได้อยู่อินเดียสักปีสองปี ผมจะรู้ซึ้งแก่นของพระศาสนา ผมจะได้รู้แน่แก่ใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสรู้ที่นั่น และนรกที่ผมเคยอยู่...ที่แท้ไม่ใช่นรกแต่เป็นโลกธรรมดา”

“พ่อขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วย”

พระวันเฉลิมไปเยี่ยมน้องๆที่บ้านย่าบ่ายวันเดียวกัน กิจการค้าขายของลำยงกับลำดวนใหญ่โต ขายดิบขายดีจนเดินขาแทบขวิดทุกวัน อ้อยเพิ่งออกจากโรงเรียนพิเศษมาอยู่บ้าน เห็นพระแล้วยิ้มเขินเพราะชอบคนหล่อ ปั้นส่ายหัวขำๆแล้วเล่าเรื่องอ้อยว่าช่วยงานเล็กน้อยได้แต่ยังนับเลขไม่เก่ง พระหันไปยิ้มให้น้องสาว สั่งสอนให้ช่วยงานคนในบ้านแล้วเดินกลับวัด อ้อยกระโดดโลดเต้นยั้งอารมณ์ไม่อยู่เพราะดีใจที่พระหนุ่มรูปหล่อเสวนาด้วย

ooooooo

เหน่งโตเป็นหนุ่มวัยกำดัดและไปปรนนิบัติหลวงลุงปิ่นเหมือนที่เคยทำมาตลอดสิบกว่าปี ภาพเด็กๆนั่งหน้าสลอนฟังนิทานชาดกเรื่องพญาช้างเผือกด้วยความตั้งใจทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ เขาก็เคยมีสภาพแบบนี้เหมือนกัน

“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความกตัญญูพ่อแม่นำความสุขความเจริญและเกราะป้องกันภัยให้เราเสมอ”

เด็กๆเฮลั่นและร้องขอให้เล่าอีก เหน่งเห็นหลวงลุงปิ่นเหยียดขาเพราะความเมื่อยเลยพาเด็กๆออกไป

“หลวงลุงพักบ้างเถอะครับ เดี๋ยวก็ไม่สบายอีก นิทานไม่ต้องเล่าแล้ว เหนื่อยเปล่าๆ”

“ไอ้เหน่ง...เอ็งมาบังคับหลวงลุงอย่างนี้เท่ากับบังคับไม่ให้หายใจนั่นแหละ” เหน่งส่ายหน้าน้อยๆบอกว่าไม่ได้หมายความแบบนั้น “เอ็งฟังให้ดีๆ ในเมื่อหลวงลุงยังทำประโยชน์ได้ก็จะทำต่อ จะมาบังคับให้นั่งๆนอนๆ ไม่ได้โว้ย”

เหน่งไม่คิดว่าเด็กๆจะรู้เรื่องนอกจากหาเรื่องสนุกฟังเท่านั้น พระวันเฉลิมแวะมาเยี่ยมหลวงลุงพอดีเลยช่วยอธิบายให้ฟังว่าการฟังนิทานชาดกเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างไร

“ดีกว่าปล่อยไปวิ่งเล่นมั่วสุมเล่นการพนัน อย่างน้อยนิทานก็ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้ดีได้”

“ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก จะสร้างคนให้เต็มคนมันต้องสร้างตั้งแต่เป็นเด็ก เดี๋ยวนี้คนเป็นพ่อแม่มีเวลาอบรมที่ไหน อ้างแต่ต้องทำมาหากิน ขอบใจเอ็งที่เป็นห่วงหลวงลุง แต่ให้อยู่เฉยๆมันรำคาญว่ะ นอนทุกคืนมาชั่วชีวิตแล้ว อีกไม่นานก็ต้องนอนตลอดกาล จะรีบพักผ่อนไปทำไม ยังไงๆก็ได้นอนไม่ตื่นฟื้นไม่มีกันทุกคนแหละน่า”

ฟากลำยงกับลำดวนช่วยกันทำมาหากินสุดฤทธิ์ ตกกลางคืนก็ช่วยกันทำขนมขายในงานวัด โดยให้อ้อยไปช่วยด้วยจะได้ไม่อยู่เฉยๆให้เปล่าประโยชน์   อ้อยตื่นตา ตื่นใจมากเพราะไม่เคยเห็นคนเยอะแบบนี้มาก่อน โดย เฉพาะผู้ชายหล่อๆที่มีให้เห็นดาษดื่นจนแทบหัวใจหยุดเต้น ลำดวนเห็นหลานมัวเล่นหูเล่นตาก็หมั่นไส้จึงไล่ไปเล่นที่อื่น

อ้อยเตร็ดเตร่ทั่วงาน เพลิดเพลินกับการมองหนุ่มๆ รอบตัวจนเกือบลืมไปว่ามาช่วยน้าขายของ แลตามมาช่วยลูกแต่ไม่เห็นหลานก็เริ่มหวั่นใจ ตามหาเสียทั่วจนสุดท้ายไปเจอหลานสาวเดินตามกลุ่มผู้ชายวัยรุ่นต้อยๆ...กูอยากเป็นบ้าตาย...หรือว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยวะ!

ooooooo

อาการกระดี๊กระด๊าเมื่อเจอผู้ชายของอ้อยทำให้ทุกคนในบ้านเครียดหนัก ปั้นพลอยกลุ้มไปด้วยเพราะกลัวเป็นเหมือนลำยอง แลกับลำยงขอร้องให้ลำดวนช่วยดูแลบ้างแต่คงไม่ได้เรื่องนักเพราะทุกคนต่างมีภาระ

แลมองอ้อยด้วยความเวทนา “ข้าอดห่วงมันไม่ได้ยายปั้น เลือดแม่มันแรง อีกหน่อยคงเจริญรอยตามกัน”

“อย่าพูดอย่างนั้นยายแล ลำยองมันตายไปนานแล้ว เราอย่าเอาบาปไปป้ายเด็กมันเลย ฉันว่าประวัติศาสตร์มันไม่มีทางซ้ำรอยหรอกถ้าเราดูแลนังอ้อยมันดีๆ อย่าปล่อยให้ไกลหูไกลตา ยังไงก็กันเอาไว้ดีกว่าแก้ทีหลัง”

ฝ่ายเหน่งนั่งฟังเทศน์เหมือนที่ชอบทำทุกเย็น มือก็เย็บรองเท้าคู่เก่าซึ่งขาดจนมองแทบไม่เห็นสภาพเดิมอย่างคล่องแคล่วเพราะทำจนชินมือ พระวันเฉลิมผ่านมาเห็นจึงทักให้ซื้อใหม่แต่เหน่งปฏิเสธยิ้มๆ

“หลวงลุงสอนว่าเราอย่ายึดติด ท่านเล่าว่าตอนเด็กๆ รองเท้าหลวงพี่เก่ามากแต่ยังไปไหนมาไหนด้วยรองเท้าเก่าๆคู่เดียว ไอ้คู่นี้ยังพอใส่ได้ผมเลยซ่อมใส่ไปก่อนครับ”

พระวันเฉลิมปลื้มใจ เห็นฝีมือน้องไม่ธรรมดาจึงเอ่ยชมจากใจจริง เหน่งยิ้มบอกว่าชอบทำเพราะเพลินดี

“ดีแล้ว...ชอบทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ เต็มกำลังความสามารถ ความจริง...เหน่งไปเรียนต่อสายอาชีวะก็ได้นะ เรียนประกอบสายอาชีพโดยตรง วันข้างหน้าจะได้ทำกิจการของตนเองเลี้ยงชีพได้”

เหน่งหูตาเป็นประกาย ยิ่งหลวงพี่ส่งเสริมทำให้เกิดแรงบันดาลใจจะเรียนต่อ พระวันเฉลิมภูมิใจมาก สั่งสอนให้ตั้งใจและมุ่งมั่นในสิ่งที่รักและอยากทำ...ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น...จำไว้เหน่งเอ๋ย

น้องๆทุกคนของพระวันเฉลิมต่างขวนขวายและแสวงหาอาชีพในแบบที่ตัวเองถนัด มีเพียงจิตราน้องสาวคนเล็กที่พระไม่ค่อยเจอหน้านักเพราะเก็บตัวไม่ชอบพบหน้าผู้คน วันหนึ่งพระจึงแวะไปเยี่ยมและถามไถ่เรื่องอนาคตเรียนต่อ จิตราก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตาหลวงพี่แม้แต่น้อย แถมถามคำตอบคำจนลำยงรำคาญ

“เอ๊ะนังคนนี้...อะไรก็ไม่รู้ๆสักอย่าง หลวงพี่อุตส่าห์เป็นห่วงถามไถ่ อนาคตเอ็งแท้ๆนะโว้ย”

“ก็หนูไม่รู้จะเรียนไปทำไม เรียนไปก็เท่านั้น เอาดี อะไรไม่ได้หรอก นอกจากไปเป็นคนงานโรงงานแถวนี้”

“ถ้าเอ็งมีวิชาความรู้ติดตัว มีทางเลือกก็ไม่ต้องไปเป็นคนงานเขาไง” ปั้นเสริม

จิตราเงียบไปอึดใจ พระวันเฉลิมคิดว่าน้องสับสนเลยถามถึงเพื่อนคนอื่นว่าเขาเรียนต่ออะไรกัน

“ลูกอีผู้หญิงขี้เมา เอาแต่เล่นไพ่หลายผัวจนเป็นบ้าอย่างหนู หลวงพี่คิดว่ายังจะมีใครคบเป็นเพื่อนอีกเหรอ”

ขาดคำก็ลุกพรวดกลับห้อง พระวันเฉลิมมองตามอึ้งๆ เป็นครั้งแรกที่ได้ยินน้องพรั่งพรูความเก็บกดในใจ ลำยงหน้าเสียบอกว่าจิตราไม่ยอมคบใครมานานแล้ว ปั้นได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ...เวรกรรมแท้ๆเลยจิตราเอ๊ย

ความกังวลใจเรื่องจิตราไม่ทันหาย อ้อยก็ก่อเรื่องยุ่งในคืนเดียวกัน เด็กสาวแอบหนีออกจากบ้านกลางดึก แลวิ่งวุ่นตามหา ไปเจอหลานสาวตัวดีร้องรำทำเพลงกับกลุ่มวัยรุ่นในซุ้มงานวัด ปั้นแทบกุมขมับ ลำยงเลยหาทางแก้ให้อ้อยหัดทำไข่เค็มที่ชอบกินนักหนา ไม่ต้องขโมยของร้านและหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ด้วย ที่สำคัญจะได้ไม่มีเวลาไปเถลไถลตามหนุ่มเหมือนเคย

แลเบาใจเรื่องอ้อยเพราะลำยงกับลำดวนช่วยสอนงาน หญิงชราตื่นเช้าไปใส่บาตรในวันต่อมา แต่เมื่อพระให้พรกลับไม่สามารถลุกขึ้นเพราะเจ็บปวดข้อกะทันหัน และหน้ามืดเซล้มลงกับพื้นไม่เบานัก แลหายใจหอบถี่และหมดลมหายใจตรงหน้าบ้านนั่นเอง

ooooooo

ข่าวการจากไปของแลมาถึงหูลูกๆหลานๆ ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนรับมือได้ดีเพราะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระวันเฉลิมบ่อยๆเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาของชีวิตมนุษย์ แต่เหน่งยังทำใจไม่ได้ดีนักเพราะอยู่กับยายมาตั้งแต่เด็ก เมื่อพระวันเฉลิมผ่านมาเห็นสภาพน้ำหูน้ำตาร่วงของน้องจึงเทศนาให้เข้าใจสัจธรรมชีวิต

“ปลงซะเถอะเหน่ง เกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาของโลก ไม่มีใครหน้าไหนหนีพ้น ไม่เว้นแม้แต่ตัวเรา”

เหน่งพยักหน้ารับทั้งน้ำตา พระวันเฉลิมลูบหัวน้องเบาๆแล้วเข้าไปเยี่ยมหลวงลุงปิ่นในกุฏิ ช่วยปรนนิบัติโน่นนี่แทนเหน่งซึ่งกำลังทุกข์ใจเรื่องยาย หลวงลุงปิ่นมองอดีตลูกศิษย์ก้นกุฏิด้วยความเอ็นดู ปลื้มใจที่เป็นคนกตัญญูเหลือเกิน

“หลวงลุงเลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็ก เท่าที่ตอบแทนมันยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำครับ”

“ฝากด้วยนะท่าน นับวันสังคมยิ่งตกต่ำ ทางไหนที่ช่วยกันประคับประคองจิตใจเด็กรอบๆวัดนี้ไม่ให้หลงไปในทางที่ผิดได้ ท่านก็ช่วยด้วยเถอะ ให้เด็กๆได้เห็นด้วยปัญญาว่าวิถีแห่งพุทธะคือหนทางแห่งความสุขสงบโดยแท้”

“หลวงลุงไม่ต้องห่วงหรอกครับ หลวงลุงเลี้ยงดูสั่งสอนผมยังไง ผมก็จะทำอย่างนั้นครับ”

สายวันเดียวกันแป้งซึ่งร่ำรวยจากการค้ายามาถวายข้าวของมากมายให้วัด พระวันเฉลิมพยายามกล่อมให้กลับใจเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล โยมน้าชายไม่สำนึกแถมตอกกลับอย่างไม่ละอายว่าอดทนไม่พอ รอให้รวยไม่ไหว

แต่เหมือนกรรมจะไม่รอให้ชดใช้ในชาติหน้า โยมน้าชายของพระวันเฉลิมถูกมือปืนคู่อริยิงดับอนาถหน้าลานวัดนั่นเอง!

หลังจัดการเรื่องศพแป้ง...พระวันเฉลิมจึงไปเยี่ยมน้องๆในบ่ายวันเดียว ปลื้มใจไม่น้อยที่อ้อยดูมีความสุขกับการทำไข่เค็มกว่าที่คิด ลำยงกับลำดวนช่วยกันดูแลประคับประคองอย่างที่แลเคยหวัง...อย่างน้อยๆมันก็หลาน ดีกว่าปล่อยไปปุเลงๆตามผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายตีนที่ไหน แต่คนที่น่าหนักใจกว่าคือจิตรา สันต์กับเทวีซึ่งมาเยี่ยมด้วยในบ่ายวันเดียวกันพยายามเกลี้ยกล่อมให้เด็กสาวเรียนพยาบาลแต่เด็กสาวกับโพล่งออกมาเสียงกร้าว

“หนูคงทนเรียนไม่ได้เพราะหนูเกลียดคนป่วย บ้านนี้มีแต่คนป่วย ไหนจะแม่ ไหนจะตา พี่อ้อยอีก...หนูเกลียด!” พระวันเฉลิมอึ้งไปอึดใจเมื่อได้ยินความในใจของน้องสาวคนเล็ก “แม่นอนครางเป็นบ้า น้ำเหลืองเต็มตัว กลิ่นน้ำเหลือง กลิ่นขี้ กลิ่นเยี่ยวมันติดจมูกหนูถึงวันนี้ ถ้าหนูต้องเรียนพยาบาล หนูคงเป็นพยาบาลที่แย่ที่สุด”

พระวันเฉลิมมองน้องอย่างเห็นใจ ปั้นสงสารและแนะให้เรียนครูจะได้ช่วยเหลือคนอื่น จิตรายังก้มหน้าไม่รับรู้ พระวันเฉลิมจึงต้องเทศนาให้น้องสาวมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในใจที่เต็มไปด้วยอคติ

“โลกใบนี้ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกมาก มันมักเกิดจากความขี้เกียจรู้ ทุกสิ่งบนโลกนี้สอนให้เรารู้ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสอนได้คือตัวเราเอง เหมือนหนู...ที่พยายามจะไม่เข้าใจตัวเอง” จิตราก้มหน้านิ่งแล้วค่อยๆเปล่งเสียงออกมาว่าเกลียดแม่ พระวันเฉลิมส่ายหน้าน้อยๆ “หนูเกลียดแม่เพราะแม่เป็นแบบนั้น เพราะเพื่อนล้อ หนูไม่ได้เกลียดแม่จริงๆเพราะตอนแม่ป่วยหนูยังเด็ก หนูจำอะไรไม่ได้หรอก หนูเป็นทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เพื่อนล้อต่างหากล่ะ”

จิตราอึ้งไปอึดใจ พระวันเฉลิมยิ้มเมตตาและเล่านิทานเรื่องลิงกำถั่วให้ฟัง ผลจากความตะกละและความโลภทำให้เจ้าลิงน้อยถูกกับดักในกล่องล็อกมือจนไปไหนไม่ได้ ชาวบ้านต่างมารุมล้อมจะจับตัวไปฆ่าเพราะลิงน้อยก่อความวุ่นวายไปทั่วเมืองก่อนหน้านี้ จิตรานั่งฟังตาแป๋ว พระวันเฉลิมจึงถามว่าลิงน้อยควรทำเช่นไร

จิตรายิ้มและตอบเสียงใส “คลายมือที่กำถั่วออกก็หนีได้แล้วค่ะ”

“เพียงแค่คลายสิ่งยึดติดออกซะบ้าง ปัญหาจะคลี่คลาย เขาเรียกว่าปล่อยวาง บ่อยครั้งที่การปล่อยวางไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น หากเป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียว” จิตราพยักหน้ารับรู้และผ่อนคลายมากขึ้น พระจึงถือโอกาสสนับสนุนให้เรียนครูอย่างที่เทวีแนะนำ “ครูเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละไม่แพ้อาชีพอื่นหรอกนะจิตรา การเป็นครูจะสอนให้หลุดพ้นจากคำว่าไม่รู้...เหมือนหนูไง”

ooooooo

พระวันเฉลิมให้เงินเหน่งทำทุนเปิดกิจการเล็กๆทำรองเท้า ปานเพิ่งออกจากคุกและตัดสินใจกลับมาหาพ่อแม่ เหน่งมองชายแปลกหน้าอย่างไม่ไว้ใจในคราแรก แต่เมื่อพาไปหาหลวงพี่วันเฉลิมที่วัดจึงได้รู้ว่ามีน้าชายเพิ่มอีกคน ปานยกมือไหว้หลานท่วมหัว เมื่อพระบอกว่าปอกับแลตายแล้วก็ร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ

“เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีใครเอาชนะได้หรอกครับโยมน้าปาน ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งกรรม”

“น้าทำกรรมไว้กับคนอื่นเยอะ ชาตินี้คงชดใช้ไม่หมด ออกจากคุกมาสามเดือนแต่ไม่กล้ากลับบ้าน หางานทำไม่ได้เพราะพอเขารู้ว่าเพิ่งออกจากคุกก็ไม่รับ น้าเคยคิดจะไปปล้นเขาอีก แต่เมื่อนึกถึงความโหดร้ายในคุกทำให้ขยาดและตัดสินใจกลับบ้าน ว่าจะพึ่งพ่อกับแม่แกก็ไม่อยู่เสียแล้ว น้าเลยไม่รู้จะทำยังไง”

พระวันเฉลิมดีใจที่โยมน้าชายคิดได้และเกรงกลัวต่อบาป เพื่อเป็นการตอบแทนความดีจึงเสนอให้ไปช่วยงานเหน่งที่ร้านจะได้มีรายได้ไม่ต้องลักขโมยใครอีก ปานดีใจที่ได้รับโอกาส พระวันเฉลิมพลอยมีความสุขไปด้วยและพาโยมน้าไปหาลำดวนกับลำยง

ที่ร้านปั้น...ในที่สุดครอบครัวก็ได้กลับมาพร้อมหน้ากันสักที

เมื่อสมาชิกทุกคนในบ้านกลับมาพร้อมหน้า พร้อมตา พระวันเฉลิมจึงตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดียตามคำแนะนำของพระอาจารย์ สันต์กับเทวีมาเยี่ยม พยายามยับยั้งเพราะรู้ว่าโรงเรียนสงฆ์ทางโน้นยังไม่ตอบรับอย่างเป็นทางการ แต่พระยืนกรานตามความตั้งใจเดิมเพราะเชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้มีค่าและมีความหมายมากกว่าแค่การไปเรียนต่อธรรมดา สันต์ไม่อยากขัดใจลูกเลยถวายทุนการศึกษาระหว่างอยู่ที่นั่น

“ค่าใช้จ่ายที่โน่นคงไม่สูงมาก ผมกะจะลงเครื่องแล้วเดินเท้าเป็นหลัก อยากสัมผัสผู้คนให้มากที่สุด” สันต์อวยพรให้เดินทางปลอดภัยและดูแลตัวเองดีๆ “โยมพ่อไม่ต้องห่วงครับ ผมรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้เป้าหมายผมคืออะไร”

ด้านเหน่ง...กิจการรองเท้าเติบโตขึ้นจนพอมีทุนรอน ตกแต่งบ้านเก่าของยายเป็นร้านเล็กๆ ปานช่วยงานแข็งขันจนทุกคนเบาใจว่าอดีตหัวขโมยคงกลับใจได้จริงๆ พระวันเฉลิมมาเยี่ยมในวันหนึ่งและยื่นเงินให้เหน่ง

“พี่ให้ไว้ทำทุน จะได้ซื้อจักรเย็บตัวใหม่ ซื้อเครื่องไม้เครื่องมือ ซื้อหนังมาเย็บเอง ไม่ต้องรับจ้างเขาอย่างเดียว เหน่งเป็นคนมีฝีมือ น่าจะสร้างอะไรๆเป็นของตัวเองได้แล้ว” เหน่งเกรงใจไม่อยากรับแต่ขัดหลวงพี่ไม่ได้ “พี่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร อยากขอบใจเหน่งด้วยซ้ำที่รับน้าปานมาอยู่ด้วย ไม่งั้นแกคงเคว้งคว้าง”

เหน่งยกมือไหว้ก่อนรับเงินมา พระวันเฉลิมยิ้มรับน้อยๆบอกถึงความหวังสุดท้ายเกี่ยวกับน้องชาย

“วันที่เหน่งประสบความสำเร็จ พี่จะมีความสุขที่สุด สร้างตัวเองให้แข็งแรง จะได้เป็นที่พึ่งของคนอื่นต่อไป”

ooooooo

ภารกิจสำคัญอีกอย่างที่พระวันเฉลิมตั้งใจจะทำให้สำเร็จคือจัดทำหนังสือนิทานสอดแทรกธรรมะซึ่งเขียนขึ้นเอง วิมลพาสมฤดีที่เพิ่งกลับจากเมืองนอกมาถวายสังฆทานและเสนอตัวช่วยหาสำนักพิมพ์ให้ พระปลื้มใจมากและเล่าถึงแรงบันดาลใจของการเขียนนิทานว่ามาจากสมัยเด็กๆ

“อาตมาโตด้วยนิทานของหลวงลุง อยู่อย่างมีสติและรู้ตัวได้เพราะนิทานของหลวงลุงขัดเกลาจิตใจเอาไว้ อาตมาเลยเขียนนิทานสอดแทรกธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่อ่านเข้าใจง่ายให้เด็กๆได้อ่านกัน”

สันต์กับเทวีเสนอตัวช่วยด้วย เพราะเชื่อว่าหนังสือนิทานของพระจะเป็นแสงสว่างส่องใจให้ชีวิตเด็กๆหรือใครหลายคนได้ พระวันเฉลิมดีใจที่ความตั้งใจดีของตนได้รับการสนับสนุน เป็นที่มาของภารกิจต่อมาคือไปสอนหนังสือที่วิทยาลัยซึ่งสมฤดีสอนอยู่ เป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอไปเรียนต่อที่อินเดีย และที่วิทยาลัยนั่นเอง...พระจึงได้พบกับบุคคลสำคัญอีกคนในชีวิต

พระวันเฉลิมตะลึงไม่น้อยเมื่อเก็บกระเป๋าเงินของนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนร่วมชั้นได้ ภาพถ่ายและชื่อพร้อมนามสกุลในบัตรประชาชนทำให้ต้องเงยหน้ามองนักศึกษาหนุ่มตรงหน้าชัดๆ อภิชาตมีฐานะร่ำรวยเพราะที่บ้านมีกิจการโรงงานใหญ่โตมองกลับมาที่พระด้วยแววตาเฉยชา ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่มีเรื่องกับเพื่อนร่วมชั้น

“เพื่อนคุณบอกว่าบ้านคุณร่ำรวย ทำไมถึงทำตัวตก ต่ำสร้างแต่ปัญหาแบบนี้ ไม่คิดว่าพ่อแม่คุณจะเสียใจเหรอ”

“ไม่สำคัญหรอก ผมไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขา ผมมันแค่กาฝากที่เขาจะเหยียบย่ำดูถูกยังไงก็ได้”

พระวันเฉลิมส่ายหน้าน้อยๆและเทศนาธรรมอย่างใจเย็นว่าเป็นสัจธรรมชีวิต ขนาดพระศาสดาสยังถูกตำหนิ

“คิดถึงป๊าคุณให้มากๆ คุณเป็นลูกชายคนเดียว เป็นความหวังของตระกูล คุณกลับทำให้เขาผิดหวัง”

อภิชาตนิ่วหน้า แปลกใจที่พระพูดเหมือนรู้จักเขาดี พระวันเฉลิมจึงแนะนำตัวง่ายๆและบอกว่ารู้จักกับกวง

“ถ้าอย่างนั้นคุณต้องรู้สิว่าสันดานผมเป็นแบบนี้ เพราะเลือดแม่ผมมันแรง ผมมันมีแต่เลือดชั่วๆของแม่ พี่สาวทั้งสี่กรอกหูผมทุกวันว่าผมไม่ใช่สายเลือด ผมมันลูกผู้หญิงบ้าขี้เมาเอาแต่เล่นการพนันจนต้องขายลูกกิน”

พระวันเฉลิมอึ้งเมื่อได้ยินความกดดันของน้องชายต่างบิดา แต่ไม่อยากให้คิดมากเพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้

“ลูกคนบ้า ลูกขี้เมาจะเป็นอันธพาลต่อยตีชาวบ้าน เรียนไม่จบโดนไล่ออก อนาคตจะเป็นยังไงไม่รู้ สร้างความวุ่นวายให้พ่อแม่ หรือจะเป็นคนตั้งใจเรียนจนจบและช่วยพ่อแม่ทำมาหากินจนร่ำรวยมั่งคั่ง สร้างความภูมิใจให้พ่อ เขาก็เป็นลูกคนบ้า คนขี้เมาอยู่ดี อยู่ที่เขาเลือกจะเป็นลูกคนบ้าขี้เมาที่เป็นนักบุญ หรือลูกคนบ้าขี้เมาที่เป็นโจร”

อภิชาตยังร้องไห้อย่างเจ็บปวด ค่อยๆระบายความทุกข์ใจออกมาจนหมด พระวันเฉลิมได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจ

“คุณมีทางเลือกสองทาง ถ้าอยากให้คนเกลียดคุณ หัวเราะเยาะคุณตลอดไป ก็ทำตัวอย่างนี้แหละ แต่ถ้าอยากให้พวกเขาหุบปากหน้าม้านไปเอง คุณต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณมีดี...อดีตไม่สำคัญเท่าปัจจุบันหรอกคุณอภิชาต”

ooooooo

กิจการทำรองเท้าของเหน่งเป็นไปได้สวยเพราะความขยันของเจ้าของและลูกมือชั้นดีอย่างปาน พระวันเฉลิมแวะมาเยี่ยม ปานจึงถวายรองเท้าที่ตั้งใจตัดเย็บให้เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงและดูแลเขามาตลอด พระยอมรับรองเท้าแต่ปฏิเสธเงินที่น้องถวายคืนจากการลงทุนตอนเปิดกิจการใหม่ๆ

“ถ้าอยากตอบแทนก็เอาเงินไปซื้ออุปกรณ์เพิ่ม จะได้ช่วยคนเขาตกงานให้มีงานทำเพิ่มขึ้นได้”

เหน่งซึ้งใจจนน้ำตาคลอ ภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นน้องชายหลวงพี่ ความดีของพระวันเฉลิมได้รับการตอบแทนในบ่ายวันเดียวกัน เมื่อเทวีกับสันต์มาแจ้งข่าวว่าหนังสือนิทานแฝงธรรมะได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากการประกวดหนังสือเยาวชน เมื่อปั้นรู้ก็ปลาบปลื้มมากและอวดผู้คนไปทั่ว...ตายไปก็ไม่เสียดายชีวิตแล้วโว้ย!

ข่าวดีของวันเฉลิมยังไม่หมดแค่นั้น อภิชาตมาดักรอหน้าวิทยาลัยในวันถัดมา ดีใจเหลือเกินที่ได้พบพี่ชายแท้ๆ ซึ่งป๊าบอกว่าฟ้าส่งมาโปรดเขา “ชีวิตคุณลำบากกว่าผมหลายร้อยเท่าแต่คุณก็เอาตัวรอดจนได้ดิบได้ดีอย่างทุกวันนี้ แถมยังมาช่วยให้ผมตาสว่างพ้นจากหายนะอีกด้วย ป๊าฝากขอบคุณมาด้วยที่ไม่ลืมผม”

“ฟ้าไม่ได้ส่งผมมาโปรดคุณหรอก แต่เพราะคุณมีวาสนาร่วมกับผมมาแต่กาลก่อน ที่สำคัญ...คุณเป็นคนฝึกหัดได้ คุณมีปัญญาพิจารณาผิดชอบชั่วดีได้ด้วยตัวคุณเอง”

“ผมขอเรียกคุณว่าพี่ได้ไหม ให้ผมได้อุ่นใจว่าผมไม่ได้โดดเดี่ยวบนโลกนี้ตามลำพัง”

พระวันเฉลิมพยักหน้ารับ อภิชาตจึงโผกอดพระแน่นด้วยความอบอุ่นใจและคะยั้นคะยอให้เล่าเรื่องแม่

“ใครจะพูดยังไงก็ช่างเขา แต่สำหรับพี่ที่อยู่กับแม่มาตั้งแต่เกิด ได้ดูแลแม่จนนาทีสุดท้ายของชีวิต แม่เป็นผู้หญิงงดงามที่สุดในสายตาพี่ ต่อให้แม่เป็นอะไรยังไง แม่ก็คือผู้หญิงมีพระคุณสูงสุดเพราะคือผู้ให้กำเนิดเรา สัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ กี่ภพกี่ชาติกันจะมีบุญพอได้เกิดเป็นคน ระลึกไว้เท่านี้ก็พอแล้ว”

อภิชาตสงบนิ่ง ดวงตาและดวงใจเหมือนได้รับแสงสว่างแห่งธรรมและความดีงามจากหลวงพี่ พระวันเฉลิมพลอยสุขใจแล้วตัดสินใจพาน้องชายไปพบสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆที่ร้านปั้น บ้านจึงได้กลับเป็นบ้านอีกครั้งหลังจากแตกแยกไปคนละทิศละทางตั้งแต่พระวันเฉลิมจำความได้ ปั้นมองมาด้วยความพอใจ ยินดีกับหลานที่มีโอกาสพบพานความสุขความสมหวังอย่างที่รอคอยมานาน สมกับที่บำเพ็ญเพียรสะสมความดีมาตลอดชีวิต

และแล้วก็ถึงเวลาที่พระวันเฉลิมรอคอย ได้เดินทางไปดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา

“คุณค่าของการเดินทางมิได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่ระหว่างทางของการเดินทางมากกว่า ยิ่งเดินทางด้วยเท้า เราจะพบเจอสิ่งต่างๆที่เราไม่เคยได้สัมผัส”

พระวันเฉลิมใช้เวลาส่วนใหญ่เดินไปทั่วเมืองนอกเหนือจากศึกษาธรรมะ สถานะแตกต่างและสภาพอดอยากของผู้คนทำให้นึกปลงสังเวช “ด้วยหัวใจแห่งชาวพุทธ การได้สัมผัสสองฝั่งแม่น้ำคงคา ทำให้ดวงตาของเราสว่างขึ้น เราเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงออกผนวชทั้งที่เสวยสุขในพระราชวังมาตั้งแต่ประสูติ”

ภาพริมฝั่งแม่น้ำคงคาซึ่งเปรียบเสมือนมารดาแห่งชีวิตของชาวอินเดีย และภาพความทุกข์ยากของผู้คนทำให้พระถอนใจหนักหน่วง สภาพผู้คนที่นี่ลำบากแร้นแค้นมากกว่าที่เขาเคยเจอตอนเด็กๆเสียอีก

“ภาพน่าสลดหดหู่เหล่านี้ฝังแน่นในก้นบึ้งของหัวใจเรา โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความมืดสลัวและมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก เมื่อเปรียบเทียบความทุกข์ที่เราได้ผจญมาและคิดว่าตัวเองน่าสังเวชนักหนา มันเป็นเพียงภัสมธุลีเมื่อเทียบกับความทุกข์ทั้งมวลในโลกยากไร้ใบนี้”

การเดินทางไปอินเดียครั้งนี้ทำให้พระวันเฉลิมบรรลุสัจธรรมของชีวิตหลายอย่าง และสำคัญที่สุดคือความจริงว่าจุดสุดท้ายของชีวิตคือความตาย ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น พระวันเฉลิมบังเกิดความสุขใจอย่างประหลาดและเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อลาสิกขาปลดผ้าเหลืองออกจากกาย

“ตัวเรายกสูงขึ้นในฐานะผู้ทรงศีล อาศัยผ้าเหลืองว่าได้สร้างกุศลไถ่บาปให้แม่ ให้ใครได้ชื่นชมว่าอยู่ในพระศาสนา ช่วยเผยแผ่สัจธรรมของพระพุทธองค์ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยใครเลย เป็นได้แต่ภาระอีกภาระหนึ่งของทุกคน”

วันเฉลิมในชุดฆราวาสก้มกราบพระประธานแล้วเดินออกจากโบสถ์ในเวลาต่อมา ความสุขกายสบายใจจากการอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ยังคงอยู่และพร้อมฝ่าฟันกับโชคชะตาที่เหลืออย่างไม่ย่อท้อ

ooooooo

–อวสาน—

ทองเนื้อเก้า

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด