ตอนที่ 14
“แล้วถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ทุกคนก็จะต้องเดือดร้อนอีกนะคะ อาอย่าเจอเจ้าฟ้าทิพฉายอีกเลยนะคะ ให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้เพื่อทุกคน”...
ด้านรวิปรียาแวะไปหาคุณหลวงไพรัชที่บ้าน แจ้งให้ท่านทราบถึงการตัดสินใจของตัวเองว่าจะไม่ขอเจอภาธรอีก ไม่อยากทำร้ายผีเจ้าฟ้าทิพฉายด้วยความโกรธ ไม่อยากให้เหตุการณ์เป็นเหมือนเมื่อวานนี้
“หนูรู้จักกิเลสแล้วใช่ไหม เห็นโทสะที่กำลังเผาใจเราแล้วใช่ไหม ไฟเผาใจเราจะดับก็ต้องดับที่ใจ อดทนไว้อย่าเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก” คุณหลวงเตือนสติ...
ในเวลาเดียวกัน ทรงศิริบ่นให้ชาลีฟังเป็นชุดว่าไม่อยากไปประชุมสมาคม ไม่อยากเจอหน้าคุณหญิง พันฉวีที่จ้องจะเอาเรื่องตนเอง แถมบ้านที่หนองพรายก็ขายไม่ได้สักทีจะได้เอาเงินไปจัดการเรื่องเงินของสมาคม เขาปลอบให้ใจเย็นๆ เธอเย็นไม่ไหวขอให้ช่วยกันหน่อย เขาจะช่วยอะไรได้ เงินใช้หมดไปแล้วก็ต้องหาใหม่ ทรงศิริหงุดหงิดพูดไปพูดมาไม่พ้นต้องวกกลับมาเรื่องเงิน
“ไปๆ...ไปประชุมเถอะอย่าทำให้คนอื่นผิดสังเกต เรื่องแค่นี้ตีเนียนกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็น เดี๋ยวก็จบเหมือนทุกครั้ง” พูดจบชาลีโบกมือไล่ ทรงศิริจำใจทำตามที่เขาว่า...
อีกมุมหนึ่งบนระเบียงบ้านชั้นสอง อรณีกับสารัชมองลงมาเห็นทรงศิริเดินไปขึ้นรถโดยมีประภาพรรณหิ้วแฟ้มเอกสารกับกระเป๋าของท่านเดินตาม สารัชบอกกับเมียรักว่าเตรียมบ้านใหม่พร้อมแล้ว เราย้ายออกจากที่นี่ได้ทันที เธอยังไปตอนนี้ไม่ได้คุณแม่กำลังมีเรื่อง
“ถ้าไม่ไปตอนนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีก” สารัชเห็นอรณีลังเล “เราต้องตัดสินใจนะคุณอร ถ้าห้ามไม่ได้ก็อย่าเป็นคนสมรู้ร่วมคิดทำผิดไปด้วย” คำพูดของสารัชยิ่งทำให้อรณีหนักใจ...
ทรงศิริทำตามที่ชาลีแนะนำ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่คุณหญิงพันฉวียกขึ้นมาพูดในที่ประชุม อ้างไม่รู้ไม่เห็น แถมขอหลักฐานที่หาว่าตนยักยอกเงินของสมาคม
คุณหญิงพันฉวียื่นเอกสารปึกหนึ่งไปตรงหน้า ทรงศิริกรีดนิ้วดูเอกสารเหล่านั้นแค่ผ่านๆก่อนจะยิ้มหน้าชื่น
“ฉันเซ็นเบิกจ่ายเหรอ ไม่มีลายเซ็นฉัน”
คุณหญิงพันฉวีชี้ไปที่เอกสารถึงจะไม่มีลายเซ็นของทรงศิริแต่ก็มีลายเซ็นประภาพรรณเลขาฯของเธอ ทรงศิริโบ้ยทันทีใครเซ็นก็ให้คุณหญิงพันฉวีไปเอาผิดกับคนนั้น ประภาพรรณถึงกับสะดุ้งโหยงที่โดนโยนบาป
“อย่ามาอ้างว่าคนของฉัน ฉันไม่ทำเรื่องทุจริต ฉันไม่เกี่ยวถ้าอยากหาเรื่องก็ฟ้องเลย แล้วถ้าไม่ชนะฉันจะเรียกค่าเสียหายทุกคนในห้องนี้ เอาแบบไม่ให้เหลือกระทั่งที่ซุกหัวนอนเลยคอยดู” ทรงศิริสีหน้าเอาเรื่อง
ooooooo