ตอนที่ 9
ไชยสิงห์จะบอกความจริงเรื่องพิธีสยุมพรแต่นาคีก็ใจสลายเสียแล้ว ไม่อยากรับรู้หรือได้ยินอันใดอีก และตั้งท่าจะถอยหนี แม่ทัพหนุ่มพยายามรั้งไว้
“ฟังข้าก่อนแม่นางไม้ ข้ารักเจ้าคนเดียว รักเท่าชีวิต ไม่เคยคิดนอกใจเจ้าเลย ไม่แม้แต่จักชายตาแลหญิงอื่น”
“พอที...ความรักระหว่างท่านกับข้าไม่มีวันเป็นจริงได้ ลาก่อนไชยสิงห์”
นาคีกลับถึงถ้ำใต้บาดาลในเวลาต่อมา ร้องไห้สะอึก สะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ ท้าวศรีสุทโธนาคสงสารและเวทนาหลานสาวมากแต่ก็ทำได้แค่ปลอบให้ทำใจ
“ข้าเตือนเจ้าแล้ว นาคกับมนุษย์ไม่มีวันที่จักสมหวังกันได้”
“หลานรักเขาเจ้าปู่ รักจนหมดหัวใจ หลานตัดใจ จากเขาไม่ได้”
“เจ้ากำลังหูหนวกตาบอด แยกไม่ออกระหว่างความรักกับความหลง ความหลงคือการยึดติด ส่วนความรักคือการสละความมืดบอดเห็นแก่ตัว หากรู้ว่ารักแล้วต้องพลัดพราก เจ้ายังจักรักอยู่หรือไม่”
“เขาเป็นลมหายใจของหลาน ไม่ว่าจักเกิดอันใดขึ้น หลานก็ยังรักเขา”
ท้าวศรีสุทโธนาคถอนใจยาว เหนื่อยใจกับความรั้นของหลานสาวเหลือเกิน “ตัดใจเสีย เอาน้ำตาเจ้าล้างใจให้ใสหมดจด เมื่อจิตสงบ ตื่นจากความลุ่มหลงมัวเมา แล้วเจ้าจักมองเห็นธรรม...ปู่เตือนเจ้าได้เท่านี้”
ภาพในนิมิตเลือนหายไปแล้ว คำแก้วหลุดจากภวังค์ น้ำตารื้นด้วยความสะเทือนใจเมื่อรับรู้ว่าแท้จริงตนก็คือพญานาคีในชาติที่แล้ว...
คณะตามหาเหล็กไหลกลับถึงดอนไม้ป่าในวันต่อมา...กำนันแย้มกับบุญส่งวุ่นวายกับการช่วยหมออ่วมเตรียมพิธีตีดาบเหล็กไหลด้วยร้อนใจอยากล้างแค้นเจ้าแม่นาคี ส่วนกอรีบกลับบ้านไปดูลำเจียก แล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นลูกสาวคนเดียวกอดก่ายเปลือยเปล่ากับทศพลอย่างไร้ยางอาย!
กอจะเอาเรื่องเต็มที่ แต่ทศพลซึ่งยังอยู่ใต้มนต์ดำของเมืองอินทร์สัญญาจะรับผิดชอบลำเจียก และตัดสินใจกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านคำแก้วในวันเดียวกันนั่นเอง คำแก้วช้ำใจมาก พยายามยื้อและฟื้นความทรงจำให้แต่อำนาจมนต์ดำก็ทำให้เขาหมางเมินเหมือนเดิม
พิมพ์พรกับเจิดนภาเฝ้ามองอาการประหลาดของทศพลแล้วสงสัยว่าลำเจียกอาจซ่อนของทำคุณไสยไว้ในบ้าน เลยแอบเข้าไปค้นแล้วก็เจอจนได้...ตุ๊กตาฝังรูปฝังรอยถูกซุกไว้ใต้หมอน!
ooooooo
ตุ๊กตาฝังรูปฝังรอยของเมืองอินทร์ถูกพิมพ์พรจับแยกจากกัน หักเป็นสองท่อนและกระทืบให้แหลกในเวลาต่อมา ส่งผลให้ทศพลซึ่งพลอดรักกับลำเจียกที่ท่าน้ำหมดสติ พร้อมๆกับลำเจียกที่ถูกคุณไสยย้อนเข้าตัว ดิ้นพราดทุรนทุรายจนชบากับซ่อนกลิ่นต้องหิ้วปีกไปหาเมืองอินทร์ให้ช่วยทำพิธีเอาของออก
ส่วนทศพลถูกแก๊งเพื่อนแบกกลับไปหาคำแก้วที่บ้าน อาการหน้าตาหมองคล้ำ ตาโหลเหมือนถูกคุณไสยทำให้คำแก้วร้อนรนด้วยความเป็นห่วง เชษฐ์หนุ่มธรรมะธัมโมประจำกลุ่มแนะให้เอาน้ำล้างเท้าบุพการีมารักษาแทนน้ำมนต์จากวัดที่อยู่ห่างจากดอนไม้ป่าไปหลายชั่วโมง
สุภัทรทำหน้าไม่เชื่อเมื่อคำแก้วมาขอน้ำล้างเท้า แม้จะห่วงลูกชายคนเดียวมาก แต่เพราะเป็นคนเชื่อเรื่องเหตุและผลมาตลอด เลยอยากให้ไปโรงพยาบาลในเมืองแทน คำแก้วรีบบอกว่าอาการของทศพลไม่ใช่ความเจ็บป่วยเพราะโรคภัยปกติ หมอแผนปัจจุบันคงรักษาไม่ได้ ด็อกเตอร์หนุ่มเลยต้องยอม แต่ไม่วายถามด้วยความอยากรู้
“เธอรักลูกชายฉันมากหรือ”
คำแก้วพยักหน้ารับ สุภัทรยิ้มตอบด้วยความเอ็นดู
“ไอ้พลมันหัวดื้อยิ่งกว่าฉัน เธอคิดว่าจะดูแลมันได้ไหม”
“จะพยายามค่ะ”
“ฉันฝากเจ้าพลด้วยนะหนูคำแก้ว”
เป็นอันว่าสุภัทรยอมรับคำแก้วเป็นลูกสะใภ้ เส้นทางความรักของหนุ่มเมืองกรุงกับสาวบ้านนอกจึงลงเอยด้วยดี เช่นเดียวกับน้ำล้างเท้าของสุภัทรที่ได้ผล ทศพลทุเลาจากอาการถูกคุณไสยจนหายเป็นปกติในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
คำแก้วดีใจกว่าใครที่ทศพลหายเป็นปกติ แต่กระนั้นก็ยังกระเง้ากระงอดด้วยความหึงหวง
“ผู้ชายคนไหนเห็นลำเจียกก็จ้องตาเป็นมันกันทั้งนั้น ฉันเป็นผู้หญิงด้วยกันยังอดชมลำเจียกไม่ได้”
“ผู้หญิงอย่างลำเจียกอาจสวยต้องตาเมื่อแรกเห็น แต่สำหรับคนที่เป็นคู่ครอง เป็นเมีย เป็นแม่ของลูก พี่ขอผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน รู้สึกเย็นใจเมื่ออยู่ใกล้เหมือนคำแก้วดีกว่า”
“แต่คำแก้วทำให้พี่เดือดร้อน ถ้าพี่ไม่แต่งงานกับคำแก้วคงไม่เป็นแบบนี้”
“เป็นเพราะความไม่รู้จักพอของคนพวกนั้นต่างหาก”
“ถ้าพี่ยังอยู่ที่นี่ต่อก็ต้องเดือดร้อนใจไม่จบไม่สิ้น”
“ถึงยังไงพี่ก็จะอยู่ที่นี่จนกว่าคำแก้วจะหมดรักพี่แล้ว”
“คำแก้วไม่มีวันหมดรักพี่ แต่คำแก้วไม่อยากเห็นพี่เป็นอะไรไปอีก พ่อพี่ก็คงคิดไม่ต่างจากคำแก้ว”
“พ่อเคยเป็นห่วงพี่ด้วยเหรอ”
“พ่อห่วงพี่จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ที่พี่รอดจากคุณไสยของต่ำพวกนั้นมาได้ก็เพราะท่าน”
ooooooo
ทศพลกับคำแก้วกลับมารักกันจี๋จ๋าเหมือนเดิม พิมพ์พรได้แต่มองตามด้วยความแค้นใจที่ความดีความชอบของตนไม่มีใครรู้ เจิดนภารำคาญเลยแนะนำส่งๆให้เพื่อนสาวลองทำเสน่ห์แบบลำเจียกจะได้สมรัก พิมพ์พรก็บ้าจี้ทำตามแต่ก็ไม่ได้ผลเพราะไม่ได้รู้วิธีทำอย่างจริงจัง
ฝ่ายลำเจียก...ก็ปางตายเพราะถูกคุณไสยย้อนเข้าตัว กว่าเมืองอินทร์จะช่วยได้ ชบากับซ่อนกลิ่นก็แทบกลั้นใจตายด้วยความเป็นห่วง หมอผีจากนาคหนีเจ็บใจมากที่คุณไสยถูกใครไม่รู้ทำลาย ลำเจียกเลยเสนอให้ทำเสน่ห์อีกรอบจะได้กู้ชื่อเสียงคืนแต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะเธอจะเป็นอันตราย
“ไม้ตะพดกลดนาคของข้าก็ป่นปี้หมดแล้ว ขอเวลาให้ข้าตั้งหลักสักหน่อย ข้าไม่ปล่อยนังงูผีไว้แน่!”
ความจริงจากปากคำแก้วทำให้ทศพลคิดได้ ยอมละทิฐิไปหาพ่อถึงบ้านพัก สุภัทรดีใจมากที่เห็นหน้าลูกชายคนเดียวแต่ยังปากแข็งทำมึนตึงเหมือนเคย
“หายบ้าแล้วเหรอ”
“ครับ...ผมมันทั้งบ้า ทั้งโง่ ทั้งอวดดีอย่างที่พ่อว่าไว้ไม่มีผิด”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว ยังไม่สายถ้าแกจะกลับตัวเสียใหม่”
“ที่ผ่านมาผมเอาแต่ตั้งแง่ประชดพ่อ ทำร้าย จิตใจพ่อสารพัดเพราะผมคิดว่าพ่อไม่เคยรักใครนอกจากตัวเอง แต่ผมเพิ่งรู้ว่าผมคิดผิด ถ้าไม่มีพ่อ ผมคงไม่ได้มายืนตรงนี้ ผม...ขอโทษ...ยกโทษให้ผมนะครับพ่อ”
พูดจบก็ทรุดตัวกราบเท้า สุภัทรถึงกับอึ้ง น้ำตาคลอด้วยความซึ้งใจ “ลุกขึ้นเถอะ...ฉันอยากจะโกรธแกให้ได้จริงๆสักครั้ง แต่ฉันก็ทำไม่ได้เพราะคนที่สมควรโดนโกรธที่สุดและไม่น่าให้อภัยก็คือตัวฉันเอง”
ถึงคราวทศพลชะงักบ้าง ไม่เคยได้ยินพ่อขอโทษและโทษตัวเองมาก่อน
“ฉันเป็นพ่อแต่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อที่ดี ฉันละเลยครอบครัว เอาแต่บ้างาน แม้แต่วันที่แม่แกตาย ฉันก็ไม่ได้มาดูใจ แต่ไม่ใช่ฉันไม่เสียใจ เพราะฉันเสียใจ ถึงเอาแต่เข้มงวดกับแก ฉันอยากชดเชยเวลาที่ฉันละเลยแก อยากให้แกได้สิ่งดีที่สุดโดยไม่เคยสนใจเลยว่าแกต้องการมันรึเปล่า”
ความในใจของพ่อทำให้ทศพลถึงกับน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ
“ยิ่งแกดื้อรั้น ฉันก็ยิ่งอยากเอาชนะ แต่สิ่งที่ฉันได้กลับมาคือสายตาที่แกมองฉันเป็นคนอื่น ถ้าฉันไม่เอาแต่บังคับ แกคงมีความสุขมากกว่านี้ แกจะยกโทษให้พ่อที่ไม่เอาไหนอย่างฉันได้ไหม”
ทศพลยิ้มให้พ่อทั้งน้ำตา หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็โผกอดกันเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่เคย
กอดกันเลยนับตั้งแต่แม่ของทศพลตาย คำแก้วนั่งยิ้มข้างๆ อิ่มปลาบปลื้มใจเหลือเกินที่สองพ่อลูกคืนดีกัน
จบเรื่องพ่อลูกก็เป็นคราวลูกสะใภ้บ้าง แต่ไม่ทันเอ่ยปาก สุภัทรก็ตัดบทลูกชายยิ้มๆ
“เอาเถอะ...ฉันบังคับแกมามากแล้ว ในเมื่อแกอยากเลือกชีวิตของตัวเอง ฉันก็จะไม่บังคับขืนใจแกอีก”
“หมายความว่าพ่อยอมรับคำแก้วเป็นสะใภ้แล้วใช่ไหมครับ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ในเมื่อหนูคำแก้วทำให้ฉันเห็นแล้วว่าความรักมันมีอานุภาพมากแค่ไหน”
ooooooo
ปัญหาครอบครัวคลี่คลายด้วยดี แต่สุภัทรกับ ทศพลก็ต้องเจอศึกหนักเวลาต่อมา เมื่อกอมาร้องแรก แหกกระเชอ ประจานลูกชายคนเดียวของด็อกเตอร์หนุ่มคนดัง
“เจ้าข้าเอ๊ย...มาดูน้ำหน้ามัน ไอ้พวกคนเมืองพวกนี้ มันหลอกย่ำยีลูกฉัน ได้กันไม่ทันข้ามวันมันก็ทิ้ง คนเลวๆ แบบนี้อย่าปล่อยให้อยู่รกดอนไม้ป่าเลย...จริงไหมวะ”
ทศพลยืนกรานว่าเขามีเมียคนเดียวคือคำแก้ว ลำเจียกเลยถึงกับเต้นผาง
“ไหนคุณทศพลบอกว่ารักลำเจียกคนเดียวไง”
“ผมไม่เคยรักผู้หญิงอย่างคุณ ไม่เคยเลยแม้แต่จะคิด”
ลำเจียกทั้งเจ็บทั้งอาย กอก็เสียหน้า โวยให้ทศพลรับผิดชอบ สุภัทรรู้ทุกอย่างและไม่อยากประจานกลับให้เรื่องลุกลามเลยพยายามจะช่วยไกล่เกลี่ย
“เรื่องนี้ลูกชายฉันไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ นายกอพาลำเจียกกลับไปเถอะ ถ้าไม่อยากอับอายไปกว่านี้”
“ทำไมข้าต้องอายด้วย คนที่ต้องอายคือลูกชายเอ็งต่างหาก เป็นพ่ออย่าให้ท้ายลูกจนไม่ลืมหูลืมตาสิโว้ย คอยดูนะ...วันนี้ถ้าข้าเอาเลือดหัวเอ็งออกไม่ได้ ข้าก็ไม่ใช่ ลูกคนล่ะวะ!”
กอจะทำร้ายทศพล คำแก้วเลยเข้าขวาง ลำเจียกเห็นดังนั้นก็ปรี่จะช่วยเอาเรื่อง แต่คนงามบ้านดอนไม้ป่าก็ต้องหน้าเสีย เมื่อพิมพ์พรโผล่มาเปิดโปงวีรกรรมของเธอเสียก่อน
“ผู้ชายที่แกได้มาเพราะทำเสน่ห์ใส่เขา แบบนี้ถ้าจะนับว่าเป็นผัว...ป่านนี้เธอคงมีผัวครบทุกตำบลแล้วสินะ!”
ลำเจียกถึงกับผงะ ละล่ำละลักแก้ตัวว่าไม่เป็นความจริง แต่ก็ต้องหน้าซีดเมื่อเจิดนภาโยนซากหุ่นฝังรูปฝังรอยมาตรงหน้า พร้อมกับแฉว่าค้นเจอใต้หมอนในบ้านของเธอ!
หลักฐานมัดตัวแน่นหนาทำให้กอพูดไม่ออก โกรธจัดที่ลูกสาวคนเดียวทำงามหน้าจนต้องตบสั่งสอน
“พ่อ! ตบฉันทำไม”
“ตบให้เอ็งหายโง่ไง ข้าห้ามนักห้ามหนาไม่ให้ยุ่งกับของต่ำๆพวกนั้น เอ็งยังกล้าขัดคำสั่ง แค่ผู้ชายคนเดียว เอ็งถึงกับกล้าเอาชีวิตเข้าแลกเลยรึไง”
ลำเจียกหน้าเสีย โต้เสียงอ่อย “ก็ฉันรักเขา”
“แล้วสุดท้ายมันรักเอ็งไหมล่ะ เสนอตัวให้มันถึงที่แต่โดนมันไล่มายังกับหมูกับหมา เอ็งไม่อายแต่ข้าอายโว้ย อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนแล้ว”
“ถ้านังพิมพ์พรไม่เข้ามาแส่ ป่านนี้ฉันคงทำสำเร็จไปแล้ว”
“สำเร็จกับผีน่ะสิ ไม่ตายโหงก็บุญแล้ว เอ็งแหกตาดูสารรูปตัวเองตอนนี้ซิ เหมือนศพเดินได้เข้าไปทุกวัน”
จบคำก็ลากตัวไปส่องดูสภาพทรุดโทรมในตุ่มน้ำ ลำเจียกถึงกับอึ้ง แค้นใจแทบกระอักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ กอมองอาการลูกสาวคนเดียวด้วยความสมเพช และกุมขมับเมื่อรู้ว่าแหวนพิรอดสลายไปแล้ว
“กูอยากจะบ้า อยู่ดีไม่ว่าดีไปหาเรื่องนังเจ้าแม่ แหวนพิรอดก็หายไปแล้ว ทีนี้จะเอาอะไรมาคุ้มกบาลวะ!”
ooooooo
ความหวังเดียวของลำเจียกคือเมืองอินทร์ และหมอผีก็ล้างแค้นให้ทันใจด้วยการใช้ใบขนครุฑกำราบเจ้าแม่นาคีอีกรอบ คำแก้วถูกใบไม้ปักคาอก ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด คำปองเลยต้องรีบพาไปรักษาที่เทวาลัยเจ้าแม่นาคี
กลิ่นดอกมะลิวัลย์ลอยมาตามลมทันทีที่สองแม่ลูกถึงเทวาลัย คำปองหมดสติก่อนตามด้วยคำแก้ว พร้อมกับกายทิพย์ของเจ้าแม่นาคี ปรากฏตัวหลังจากนั้น และสวดทำพิธีดึงใบขนครุฑจากตัว
เมืองอินทร์รับรู้ได้ด้วยญาณพิเศษ ยิ่งเห็นหลักฐานเป็นใบขนครุฑไหม้เป็นจุณตรงหน้า ยิ่งมั่นใจ
“นังผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่ไม่ว่าเอ็งจะเป็นงูหรือผีสางจำแลงมา ข้าก็จะปราบให้ได้ ...นังคำแก้ว!”
คำแก้วกลับถึงเรือนหอของตนหลังจากนั้น ทศพลเห็นเธอนั่งซึมก็เข้าใจว่ายังเคืองเรื่องพิมพ์พร คำแก้วส่ายหน้าปฏิเสธ แต่กระนั้นก็ไม่ปริปากว่ากำลังกังวลเรื่องความลับของตนมากกว่า
“เราเป็นผัวเมียกันนะคำแก้ว มีอะไรไม่ต้องปิดบัง”
“พี่ยังเชื่อใจในตัวคำแก้วอยู่ใช่ไหม”
“โธ่...นึกว่าเรื่องอะไร”
“พี่ไม่สงสัยเหรอว่าความจริงที่คุณพิมพ์พรพูดคืออะไร”
ทศพลจำได้ว่าพิมพ์พรกล่าวหาคำแก้วว่าเป็นงูบริวารของเจ้าแม่นาคี แต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
“พี่จะสงสัยทำไม ในเมื่อพี่รู้อยู่แล้วว่าความจริงมันเป็นยังไง ถึงใครจะพูดยังไง พี่ก็ไม่มีวันเชื่อว่าคำแก้วจะเป็นอย่างที่ใครต่อใครพากันกล่าวหา กว่าเราจะผ่าน อุปสรรคมาได้มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วนี่พ่อก็ยอมรับความรักของเราแล้ว เราจะยอมแพ้เพียงแค่เพราะคำพูดของคนอื่นที่ไม่หวังดีกับเราเหรอ...”
แต่ถึงสามีจะเชื่อใจแค่ไหน คำแก้วก็ไม่หายเครียด นอนกระสับกระส่ายทั้งคืนเพราะคิดไม่ตกเรื่องตัวเอง และกลางดึกคืนนั้นเองก็เกิดนิมิตพิเศษถึงเรื่องราวในอดีตชาติ ต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว เมื่อนาคีได้รู้ว่าไชยสิงห์คนรักหนุ่มต้องเข้าพิธีสยุมพรกับกรรเจียกธิดาคนโตของพระเจ้านิรุทธราชแห่งมรุกขนคร
ไชยสิงห์ทุกข์ใจมากที่ทำให้นาคีหัวใจสลาย จนไม่มีแก่ใจจะสนใจเรื่องใดทั้งสิ้น พิมพาวดีเฝ้ามองเขาด้วยความเสน่หา และเมื่อเห็นเขาอยู่ตามลำพังก็ปรี่ไปชวนคุย
“วันพรุ่งเจ้าต้องเข้าพิธีสยุมพรกับเจ้าพี่กรรเจียกแล้ว เหตุไฉนถึงได้มานั่งอกไหม้ไส้ขมเพียงลำพังเยี่ยงนี้เล่า”
“ระหว่างหัวใจกับการค้ำจุนบ้านเมือง องค์หญิงจักเลือกสิ่งใด”
“ไม่น่าถาม เป็นใครก็ต้องคิดถึงตัวเองก่อนทั้งนั้น”
“หากข้าไม่เข้าพิธีสยุมพร เมืองปัตตนครก็จักต้องมีภัย”
“หากเจ้ายังคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองมิได้ แล้วจักคิดอ่านกอบบ้านกู้เมืองได้เยี่ยงไร”
ไชยสิงห์นิ่วหน้าคิดตาม พิมพาวดีลอบยิ้มสะใจ เดาไว้แล้วว่าเขาคงไม่เต็มใจเข้าพิธีสยุมพรกับพี่สาวต่างมารดา
“เจ้าก็รู้...เจ้าพ่อข้ากระหายสงคราม ต้องการแผ่แสนยานุภาพไปทั่วทั้งสิบทิศ คิดรึว่าหากเจ้ายอมเป็นสวามีเจ้าพี่กรรเจียกแล้ว บ้านเมืองของเจ้าจักรอดพ้นจากการศึกไปได้”
“ตราบใดที่ยังตกเป็นเชลยเยี่ยงนี้ ข้าคงมิอาจช่วยผู้ใดได้แม้แต่สหายของข้าเอง ข้ายังไม่มีปัญญาจะช่วย”
“หากข้าช่วยให้เจ้ากับสหายของเจ้าหนีไปได้ เจ้าจักให้สิ่งใดตอบแทนน้ำใจข้าเล่า...”
ooooooo
กรรเจียกไม่ได้สำเหนียกถึงแผนร้ายของน้องสาวต่างมารดา มัวตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับที่จะได้เข้าพิธีสยุมพรกับแม่ทัพหนุ่มจากปัตตนคร...ชายหนุ่มที่ตนหลงรักตั้งแต่แรกเห็น
พิมพาวดีเริ่มแผนชิงตัวไชยสิงห์จากอกพี่สาวต่างมารดา ด้วยการให้เขาพร้อมกับเสนาบดีทั้งสี่ปลอมตัวเป็นนางกำนัล ช่วยกันยกเสลี่ยงพาเธอออกนอกเมือง โดยอ้างกับนายทหารเฝ้าประตูว่าจะไปบูชาท้าวศรีสุทโธนาค
เมื่อออกนอกประตูเมืองมาได้ ไชยสิงห์กับเสนาบดีทั้งสี่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักรบและเตรียมหนีกลับปัตตนคร แต่ไม่ทันขยับก็ต้องชะงัก เมื่อพิมพาวดีขอค่าตอบแทนบุญคุณด้วยการพาเธอหนีไปด้วย!
ไชยสิงห์ไม่มีทางเลือก ต้องพาพิมพาวดีไปด้วย สร้างความโกรธแค้นให้แก่พระเจ้านิรุทธราชมาก เมื่อรู้ว่าธิดาคนเล็กหายไป แถมพิธีสยุมพรของธิดาคนโตก็ล่มกลางคันอีกต่างหาก
“เมืองปัตตนครจักต้องทัณฑ์ถูกตอบสนองให้สาสมเป็นเท่าทวี กูหายอมให้เกียรติยศเจ้าเหนือหัวมรุกข-นครต้องมาถูกหยามลงดังนี้!”
กรรเจียกไม่ได้เป็นห่วงชะตากรรมของน้องสาวต่างมารดาเลย พิษรักแรงหึงทำให้กราดเกรี้ยวจนขาดสติ
“พิมพา...เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์รักเจ้า เมตตาเจ้าดุจพี่น้องท้องเดียวกัน อีน้องแพศยา...เลี้ยงไม่เชื่อง เจ้ากล้าทรยศหักหลังข้าได้ลงคอ ข้าต้องอับอายขายหน้าไพร่ฟ้าจนแทบแทรกแผ่นดินหนีก็เพราะเจ้า เกิดชาติหน้าฉันใด ขออย่าได้ร่วมเชื้อเครือเดียวกับเจ้าอีกเลย อีสันดานงูเห่า...
ข้าจักขอผูกเวรเป็นอริกับเจ้าทุกชาติทุกภพ!”
พูดจบก็ดึงปิ่นปักผมจะฆ่าตัวตาย แต่กระนั้นก็ไม่วายจองเวรข้ามภพข้ามชาติ
“ชาตินี้เจ้าแย่งไชยสิงห์ไปจากข้า ชาติหน้าข้าก็จักแย่งไชยสิงห์ไปจากเจ้า”
ขุนวังหรือชาตินี้ก็คือกอวิ่งมาดูเพราะถูกนางกำนัลไปตาม พยายามจะช่วยชีวิตกรรเจียก แต่ก็ไม่ทันแล้ว ธิดาคนโตของพระเจ้านิรุทธราชปักปิ่นปักผมเข้าที่หัวใจตายคาที่!
คำแก้วดึงตัวเองจากภวังค์ นิมิตบอกเล่าเรื่องราวในอดีตเลือนหายไปแล้ว แต่เธอยังใจเต้นแรงด้วยความตกใจ เมื่อได้รู้ว่าเวรกรรมจากอดีตชาติได้ตามมาหลอกหลอนในชาตินี้แล้ว
“พี่คือแม่ทัพไชยสิงห์...ต้นเหตุที่ทำให้คำแก้ว พิมพ์พรและลำเจียกต้องมาประสบชะตากรรมร่วมกัน เจ้าประคู้ณ ขออย่าให้ชาตินี้ต้องมีใครต้องมีอันเป็นไปเหมือนชาติที่แล้วเลย...”
ooooooo
คำอ้อนวอนของคำแก้วคงไม่เป็นผล เพราะพวกกำนันแย้มไม่ได้ลดละความแค้นตามไปด้วย ช่วยกันคนละไม้ละมือกับกอและบุญส่ง ให้หมออ่วมทำพิธีตีดาบจากเหล็กไหลจนเสร็จสมบูรณ์
และระหว่างทำพิธีในป่าช้านั่นเอง พวกกำนันแย้มก็ได้เจอเมืองอินทร์ซึ่งมากบดานรอเวลาล่าเจ้าแม่นาคี หมออ่วมเขม่นหมอผีจากต่างเมืองมากและตัดสินใจท้าดวล
“หากเอ็งปราบเจ้าแม่นาคีได้ ข้าจะยอมก้มหัวให้ แต่ถ้าเอ็งแพ้ เอ็งต้องเลิกเล่นอาคมตลอดชีวิต”
เมืองอินทร์ยอมรับคำท้าอย่างไม่กลัวเกรง หมออ่วมหมั่นไส้มากแต่ต้องเก็บอาการไว้ ต่างจากบุญส่งกับกำนันแย้ม มองมาทางหมอผีต่างเมืองอย่างเลื่อมใสและเชื่อมั่นว่าจะต้องช่วยจัดการเจ้าแม่นาคีได้แน่
คำแก้วไม่สนใจเรื่องดาบเหล็กไหลและการตามล่าของเมืองอินทร์ มัววิตกกังวลกับสภาพแท้จริงของตนเองที่นับวันก็ยิ่งเด่นชัด อย่างเช่นวันนี้ที่เธอมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆเหมือนกำลังจะลอกคราบ!
เป็นครั้งแรกในชีวิตของคำแก้วที่ได้เห็นกับตาว่าตัวเองเป็นงูและลอกคราบได้ งูเขียวเพื่อนรักหรือเลื่อม-ประภัสกับฉัตรสุดาก็ทำหน้าที่กำจัดหลักฐาน ลากคราบงูของเจ้าแม่นาคีไปทิ้งเหมือนเคย
ทศพลเกือบตื่นมาเห็นเธอลอกคราบเลยคิดว่าตัวเองตาฝาด ต่างจากวันชนะกับประกิต เห็นเต็มสองตาในเช้าวันต่อมาว่าคำแก้วมีแววตาเหมือนสัตว์ร้ายยามจ้องลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟัก
คำแก้วก็รู้ดีถึงความผิดปกตินั้นและอดอึดอัดใจไม่ได้ต้องไประบายกับแม่เหมือนเคย
“แม่...หมู่นี้ฉันเป็นอะไรไม่รู้ บางทีฉันก็รู้สึก
ไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนกำลังจะกลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน”
คำปองพอเดาได้ว่าลูกสาวเป็นอะไรแต่ก็พูดไม่ได้เต็มปาก นอกจากปลอบให้ตั้งสติ
“หมั่นสวดมนต์ รักษาศีลห้าอย่าให้ขาด ศีลจะช่วยให้ใจสงบ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ถูกยั่วยุได้ง่าย”
“เวลาถูกยั่วให้โกรธ ฉันจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เวลาแม่โกรธ แม่ทำยังไง”
“แม่ก็ระงับความโกรธไงลูก ฝืนต้านแรงโกรธที่อยู่ในใจ ไม่ให้มันบีบบังคับเราให้ทำเรื่องร้ายๆ”
“ความโกรธมันเหมือนสัตว์ร้ายที่อยู่ในใจ ฉันจะสู้กับมันได้ไหมแม่”
“เอ็งต้องเข้มแข็ง ใช้ธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ผู้อยู่ในศีลในธรรมย่อมพบเจอแต่ความสุขความเจริญ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระอย่าให้ขาด คุณพระคุณเจ้าจะได้ช่วยปกปักรักษา”
คำแก้วพยายามจะทำตามแม่บอกแต่อาการแปลกๆ ของเธอก็ไม่พ้นสายตาแก๊งเพื่อนของทศพลไปได้ โดยเฉพาะวันชนะกับประกิตที่เชื่อฝังใจว่าคำแก้วต้องเป็นบริวารเจ้าแม่นาคีแน่
แต่ถึงกระนั้น...แก๊งเพื่อนก็ไม่กล้าบอกทศพลเพราะกลัวถูกโกรธ ทศพลเองก็ไม่ได้ติดใจอาการน่าสงสัยของพวกเขาเพราะกำลังหมกมุ่นกับภารกิจของทัศนัยที่ทิ้งไว้ให้เขากับสุภัทรและเพื่อนๆสานต่อ
ooooooo
หลังทำพิธีตีดาบเหล็กไหลและแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งหมู่บ้าน หมออ่วมก็ตัดสินใจกำหนดวันกำจัดเจ้าแม่นาคี
“นังเจ้าแม่นาคีมีฤทธิ์กล้าแข็งในวันที่เกิดสุริยคราส และอ่อนกำลังลงในวันที่เกิดจันทรคราส รอให้ถึงคืนเดือนดับเมื่อไหร่ ดาบข้าได้บั่นคอนังเจ้าแม่นาคีแน่!”
วัชระปราการหรืองูใหญ่สีน้ำตาลทองบริวารหนุ่มผู้จงรักของเจ้าแม่นาคีเห็นท่าไม่ดี เลยวางแผนซ้อนแผน ลอบเข้าบ้านกำนันแย้ม หมายลวงทุกคนว่าจะขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่แท้จริงแล้วเพื่อยั่วยุให้ทุกคนแตกคอกัน
การปรากฏตัวของวัชระปราการทำให้ทุกคนแตกตื่น หมออ่วมเชื่อแน่ว่าทำให้งูใหญ่บาดเจ็บสาหัส แต่ไม่รู้เลยว่ากอจะฉวยโอกาสนั้นขโมยดาบเหล็กไหลมาเก็บไว้กับตัวเพราะความโลภและเห็นแก่ตัว
พวกกำนันแย้มประสาทเสียมาก โดยเฉพาะหมออ่วม วิ่งวุ่นตามหาแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา ส่วนกอก็ตีหน้าตายทำไม่รู้เรื่องและแอบกลับมาชื่นชมดาบเหล็กไหลที่ซ่อนไว้ในบ้าน เมื่อลำเจียกเห็นก็ตกใจมาก
“พ่อขโมยมาทำไม ถ้าหมออ่วมรู้ เอาพ่อตายแน่”
“ก็ข้าไม่มีทางเลือกแล้วนี่หว่า แหวนพิรอดเอ็งก็ทำหาย เราก็ต้องหาอะไรไว้ป้องกันตัวสิวะ เกิดนังเจ้าแม่ออกอาละวาดขึ้นมา เราจะเอาอะไรไปสู้กับมัน ไอ้หมออ่วมมันมีวิชาอาคมป้องกันตัว มันไม่ตายง่ายๆหรอก”
“แต่ขโมยของเขา มันบาปนะพ่อ”
“อย่าเรียกขโมยเลย เรียกสมบัติผลัดกันชมดีกว่า ข้าอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงเสี่ยงชีวิตไปเอาเหล็กไหลมา ดาบนี่ข้าก็สมควรได้เป็นเจ้าของด้วย!”
ความละโมบของกอทำให้แผนของวัชระปราการสมบูรณ์ แต่ก็ต้องแลกกับบาดแผลฉกรรจ์ ฉัตรสุดาก็รู้ถึงแผนการนี้ดีและเฝ้าดูแลอาการงูหนุ่มด้วยความเป็นห่วง
“ท่านยอมเสี่ยงชีวิตก็เพื่อให้พวกมันเห็นอิทธิฤทธิ์ของดาบเหล็กไหลแล้วบังเกิดความโลภ”
“ใช่...สุดท้ายพวกมันก็แตกคอกันเพราะความโลภบังตา”
“อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดสุริยคราส ความปรารถนาของเจ้าแม่ที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ใกล้จะเป็นจริงแล้ว”
“ตราบใดที่ดาบเหล็กไหลนั่นยังไม่ถูกทำลาย เราก็ยังวางใจไม่ได้”
“ดาบเหล็กไหลมีอานุภาพมากนัก เราจักป้องกันเจ้าแม่เยี่ยงไรดี”
“ชีวิตข้าเป็นของเจ้าแม่ ข้ายอมตายเพื่อปกป้อง เจ้าแม่”
ooooooo
หนึ่งในภารกิจสำคัญที่ทัศนัยทิ้งไว้ให้ลูกศิษย์และรุ่นพี่ที่เคารพสานต่อคือซ่อมเทวรูปเจ้าแม่นาคี แต่เพราะเทวรูปจมอยู่ใต้น้ำไปแล้ว เลยเหลือแค่ส่วนหงอนไว้ให้ชาวคณะศึกษา
สุภัทรหยิบมาตรวจสอบตามที่สัญญาลูกชายไว้ แล้วก็ต้องตกใจแทบผงะ เมื่อสัมผัสถึงพลังบางอย่าง
“หงอนนั่นเหมือนมีพลังงานไฟฟ้าในตัวเอง คล้ายสิ่งมีชีวิตพวกปลาไหลไฟฟ้าหรือกระเบนไฟฟ้า”
ทศพลได้ยินเสียงพ่อร้องก็รีบมาดู เมื่อทราบเรื่องก็นิ่วหน้าไม่อยากเชื่อ “อาจารย์ทัศนัยก็เคยบอกผมแบบนี้เหมือนกัน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ ในเมื่อเทวรูปไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เป็นแค่รูปปั้นหินธรรมดา”
“แล้วถ้าฉันบอกแกว่าหงอนนี่คือหงอนของสิ่งมีชีวิต...แกจะเชื่อไหม ฉันเจอชั้นเซลล์ที่เหมือนเซลล์มนุษย์ เนื้อสารของชิ้นส่วนนี่ไม่ใช่หินแต่เป็นชิ้นส่วนมนุษย์ที่แข็งเป็นหิน...เหมือนมัมมี่”
ทศพลถึงกับอึ้ง ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ชิ้นส่วนนี้ผมได้มาจากเทวรูปที่ครึ่งบนเป็นคน ครึ่งล่างเป็นงู พ่อคงไม่คิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตแบบนี้จริงๆใช่ไหมครับ”
“ครึ่งคนครึ่งงูงั้นเหรอ หรือว่าจะเป็น...พญานาค”
นอกจากส่วนหงอนที่เหมือนจะไม่ใช่รูปปั้นธรรมดาแล้ว แผ่นจารึกโบราณทั้งสองครึ่งซึ่งเต็มไปด้วยอักขระโบราณก็ทำให้ทุกคนต้องแปลกใจ และแม้ว่าจะไม่มีใครเชี่ยวชาญพอจะอ่านได้ แต่ก็หมายมั่นปั้นมือจะต้องพยายามอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะสุภัทร ตั้งใจไว้แล้วจะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณในแถบนี้ให้ได้บทสวดเป็นภาษาโบราณบนแผ่นจารึกทำให้คำแก้วเกิดอาการร้อนๆหนาวๆ และพลั้งมือทำถ้วยชามแตกโดยไม่ตั้งใจ แก๊งเพื่อนของทศพลเฝ้าจับสังเกตอยู่แล้ว และคืนนั้นก็ปรึกษากันจะพิสูจน์ความจริง
เชษฐ์ซึ่งคุ้นเคยกับหนังสือธรรมะและตำราพุทธศาสนามากกว่าคนอื่น แนะนำตามที่รู้
“ตามพุทธประวัติบอกว่าพญานาคจะกลับคืนร่างเดิมด้วยเหตุห้าประการ ได้แก่ เกิด ตาย เสพสังวาส ออกหากิน แล้วก็นอนหลับ ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์ถึงได้มีพุทธบัญญัติห้ามพญานาคเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา”
และก็ด้วยเหตุนี้เอง แก๊งเพื่อนของทศพลเลยตัดสินใจจะพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับคำแก้วในคืนนั้น!
ทศพลมัวคร่ำเคร่งกับการศึกษาภาษาโบราณบนแผ่นจารึก ไม่ได้สนใจแก๊งเพื่อนจะจ้องจับผิด ส่วนคำแก้วรู้ดีว่าสามีคงทราบความจริงเกี่ยวกับตนสักวัน เลยเสนอให้เขากลับกรุงเทพฯไปเรียนต่อให้จบ
“การเรียนไม่จำเป็นต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยก็ได้ มีหลายเรื่องที่ตำราก็ไม่ได้สอน ต้องเรียนรู้เองจากชีวิตจริง”
“แต่ถ้าพี่พลได้เรียนจนจบ พี่จะได้เป็นเจ้าคนนายคนมีงานมีการดีๆ ไม่ต้องทำไร่ไถนา เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่อย่างทุกวันนี้ บางทีคำแก้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเราไม่รู้จักกัน พี่น่าจะมีอนาคตที่ดีกว่า”
“อนาคตของพี่พี่เลือกแล้ว ขอแค่มีคำแก้วอยู่กับพี่ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง จะลำบากยากแค้นแค่ไหนพี่ก็พร้อมยอมรับมัน พี่ไม่เคยเสียใจเลยสักนิดที่ตัดสินใจใช้ชีวิตกับคำแก้ว”
คำแก้วปลื้มใจมาก นอนกอดสามีอย่างสุขใจ โดยไม่รู้เลยว่าจะถูกแก๊งเพื่อนของทศพลบุกมาจับผิดถึงห้องนอน แล้วทั้งหมดก็ต้องเบิกตาโพลง เมื่อเห็นคาตาว่าทศพลนอนกอดกับงูเผือกตัวใหญ่มีหงอนแดง!
ooooooo
สมมาตรกับเชษฐ์ซึ่งเชื่อมาตลอดว่าคำแก้วถูกใส่ร้ายถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเจอความจริงคาตาว่าภรรยาคนสวยของเพื่อนรักเป็นงูเจ้าแม่นาคี วันชนะกับประกิตได้ทีประกาศกร้าวจะบอกเรื่องนี้กับทศพล
“จะรักกันมาแต่ชาติปางไหน แต่ยังไงงูก็คืองู สัญชาตญาณงูไว้ใจได้ที่ไหน วันดีคืนดีเกิดหิวหน้ามืดขึ้นมา ผัวก็ผัวเถอะ เขมือบลงท้องได้หมด ถึงตอนนั้นความรักก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“ถึงพวกแกบอกไปไอ้พลก็ไม่เชื่อหรอก มันรักคำแก้วขนาดนั้น” เชษฐ์อดแย้งไม่ได้
“ฉันไม่อยากปล่อยให้ไอ้พลมันอยู่กินกับงูแบบนี้ว่ะ ยังไงก็ต้องลองเตือนมัน จะเชื่อหรือไม่ก็ให้มันตัดสินเอง”
แต่จนแล้วจนรอด แก๊งเพื่อนก็ไม่มีโอกาสบอกความจริงกับทศพล แถมถูกสายตาแข็งกร้าวของคำแก้วสอดส่องตลอด จนต้องล้มเลิกความตั้งใจและปล่อยให้เป็นเรื่องของบุญและกรรมเก่า...
หมออ่วมคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วพบว่ากอมีท่าทางน่าสงสัย ยิ่งนึกถึงคำพูดแปลกๆครั้งล่าสุดที่เจอกัน ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือหัวขโมยดาบเหล็กไหล และเพื่อแก้แค้นเลยใช้ยาพิษผสมเหล้าให้กิน
กอไม่รู้เรื่อง ทำมึนมาสังสรรค์บ้านกำนันแย้มเหมือนเคย แล้วก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย ลิ้นแข็ง หัวใจเต้นแรงและมีอาการสั่นเหมือนคนบ้า หมออ่วมแสยะยิ้มร้าย สาปแช่งเสียงเข้ม
“ดาบเล่มนี้เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ มันผู้ใดก็ตามที่ขโมยดาบไป มันผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไปทันตาเห็น!”
กอหน้าซีดกลัวตาย สารภาพหมดเปลือกว่าเป็นคนขโมยดาบ หมออ่วมโกรธมาก ขู่ให้เอามาคืน หากไม่อยากตายเพราะยาพิษ
คืนเดียวกันนั่นเอง...คำแก้วก็รู้เรื่องดาบเหล็กไหลจากเลื่อมประภัสกับฉัตรสุดาหรืองูเขียวเพื่อนรัก เลยตัดสินใจไปขอให้แม่ช่วย คำปองถึงกับพูดไม่ออกเมื่อลูกสาวมาขอร้องให้ไปขโมยดาบจากบ้านกอ
“ฉันแค่อยากให้แม่แอบเอามา อย่าให้เขารู้”
“นั่นแหละ...ถึงจะไม่ได้เอามาเป็นของตัวก็ได้ชื่อว่าขโมยอยู่ดี แกก็รู้ว่าแม่ไม่อยากทำผิดศีล มันบาป”
“ถึงยังไงฉันก็ต้องชิงเอามันมาก่อนที่จะถึงวันจันทร์ดับ ถ้าฉันแตะต้องดาบนั่นได้ ฉันคงลงมือไปนานแล้ว”
“ดาบนั่นมันสลักสำคัญอะไรนักหนา เอ็งถึงอยากได้มันนัก”
“หมออ่วมจะเอาดาบเหล็กไหลนั่นมาฆ่าฉัน!”
ด้วยความรักลูก คำปองเลยยอมเสี่ยงตายไปขโมยดาบเหล็กไหลที่บ้านกอ แต่ก็ถูกพวกกำนันแย้มที่จะมาเอาดาบคืนจับได้ก่อน เลยถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อล่อคำแก้วออกมาแทน
พิมพ์พรสาแก่ใจมากเมื่อรู้เรื่องคำปองจากบุญส่ง และบุกไปหาคำแก้วถึงบ้านเพื่อแจ้งข่าวร้าย คำแก้วไม่รอช้ารีบตามไปช่วยแม่ แต่ไม่ทันแก้มัด หมออ่วมก็โผล่มาพร้อมดาบเหล็กไหลในมือ
“ข้าปล่อยนังคำปองแม่เอ็งแน่ แต่หลังจากที่ดาบเหล็กไหลของข้าได้กุดหัวเอ็งซะก่อน...นังคำแก้ว!”
คำปองเห็นลูกสาวถูกหมายหัวก็โมโหเลือดขึ้นหน้า แหวลั่นแบบไม่กลัวเกรงอีกต่อไป
“ลูกข้าไม่ได้เป็นปีศาจ พวกเอ็งต่างหากที่เป็นปีศาจในร่างมนุษย์”
“ชาวดอนไม้ป่าล้มตายเป็นเบือก็เพราะมีปีศาจงูกาลีบ้านกาลีเมืองอย่างลูกมึง ถึงเวลาแล้วที่ลูกมึงต้องชดใช้”
กำนันแย้มประกาศกร้าว คำแก้วกลัวแม่เป็นอันตรายเลยจะสละชีวิตตนเองเพื่อจบปัญหาและกรรมเก่า
“แม่จ๋า...ชาตินี้ลูกบุญน้อย เกิดมาไม่ทันได้ทดแทนพระคุณ ไว้ชาติหน้าลูกจะขอกลับมาทดแทนคุณแม่นะจ๊ะ”
คำปองน้ำตาไหลพราก อ้อนวอนเสียงสั่น “คำแก้ว... ไม่นะลูก กำนัน หมออ่วม อย่าทำอะไรลูกฉันเลย ฉันเป็นแม่ตั้งท้องมันมา มันจะเป็นงูเป็นเงี้ยวไปได้ยังไง ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าฉันเถอะ”
“อย่าร้องขอความปรานีจากพวกมันเลยจ้ะ ถ้าพวกมันอยากได้ชีวิตของฉันนักก็เอาไปเถอะ ฉันยอม”
ooooooo
คำแก้วถูกดาบเหล็กไหลฟันต่อหน้าต่อตาคำปอง เลือดและเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของลูกสาวยังก้องในหัว จนแม้เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เธอก็ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียลูกสาวคนเดียว
ทศพลเป็นคนต่อมาที่ได้รู้เรื่องคำแก้วและตัดสินใจบุกไปเอาเรื่องพวกกำนันแย้มถึงบ้าน
“พวกแกมันไอ้ฆาตกร รวมหัวกันฆ่าคำแก้ว!”
“อุวะ! ชาวบ้านเขารู้กันทั่วทั้งดอนไม้ป่าว่าเมียมึงเป็นนางพญางู มึงยังโง่เง่าดักดานอยู่อีก”
“ไม่จริง...พวกแกใส่ร้ายคำแก้ว ฉันอยากจะรู้นักว่าจิตใจพวกแกทำด้วยอะไร พวกแกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
บุญส่งพยายามกล่อมให้เชื่อว่าคำแก้วเป็นงูและสมควรตายเพื่อความปลอดภัยของคนในดอนไม้ป่า แต่ทศพลก็ไม่สนใจ จะล้างแค้นให้คำแก้วท่าเดียว จนกำนันแย้มโมโหเงื้อไม้ตะพดจะสั่งสอน แต่พิมพ์พรก็มาขวางไว้
ทศพลถูกพิมพ์พรลากตัวออกไปหลังจากนั้นและเกลี้ยกล่อมให้เขากลับกรุงเทพฯด้วยกัน
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะอยู่ที่นี่ คำแก้วอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้”
“นังคำแก้วมันตายไปแล้ว พิมพ์เห็นกับตาตอนที่หมออ่วมเอาดาบเหล็กไหลฟันมันฟุบลงกับพื้น”
“ไม่จริง...ถ้าคำแก้วตาย ไหนล่ะศพของคำแก้ว”
“เมื่อไหร่พลจะยอมรับความจริงสักที นังนั่นมันเป็นปีศาจ พลไม่มีวันรักกับมันได้”
“เลิกพูดเรื่องนี้สักที ผมไม่อยากฟัง ถ้าพิมพ์อยากกลับกรุงเทพฯก็กลับไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับผม!”
ไม่ใช่แค่พิมพ์พรกับพวกกำนันแย้มที่พยายามบอกทศพลว่าคำแก้วเป็นงู แม้แต่แก๊งเพื่อนของเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นมากับตา แต่ทศพลก็ไม่เชื่อและหวิดมีเรื่องชกต่อยกับวันชนะอยู่แล้ว ถ้าสมาชิกแก๊งคนอื่นจะไม่ห้ามไว้
ด้านหมออ่วม...มัวลำพองใจว่าฆ่าคำแก้วหรืองูเจ้าแม่นาคีสำเร็จ เลยไปเย้ยหยันเมืองอินทร์ถึงป่าช้า และทวงคำสัญญาจะให้อีกฝ่ายเลิกเล่นอาคมตลอดชีวิต
“ไหนเอ็งบอกข้ามาซิว่าเอ็งกำจัดมันยังไง”
“ข้าก็เอาดาบเหล็กไหลฟันสะพายแล่งนังคำแก้วน่ะสิวะ”
เมืองอินทร์ส่ายหน้า สีหน้าดูถูกปนสมเพช “โง่แล้วยังอวดฉลาด...จะฆ่านังปีศาจให้ตาย ต้องรอให้มันกลายร่างเป็นงูก่อนโว้ย ไม่อย่างงั้นมันจะถอดดวงจิตย้ายออกไปสิงร่างอื่น”
“นังคำแก้วมันกระเสือกกระสนไปตายที่กลางทุ่ง กำนันส่งคนให้โยนศพทิ้งลงหน้าผา มันจะไม่ตายได้ยังไง”
“คนที่เอ็งฆ่าคือร่างของนังคำแก้ว ส่วนนังงูผีมันก็ย้ายร่างหนีลงดิน พวกเอ็งน่ะหลงกลมันแล้ว”
หมออ่วมเริ่มลังเล ระแวงว่าเจ้าแม่นาคีจะไม่ตายจริง โดยไม่รู้เลยว่าการคาดการณ์ของเมืองอินทร์เป็นจริงทุกอย่าง คำแก้วหรือเจ้าแม่นาคียังไม่ตายแต่ก็อาการเพียบหนัก นอนหายใจรวยรินอยู่ในถ้ำใต้เทวาลัย
ooooooo
สภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ของเจ้าแม่นาคีทำให้เหล่าบริวารวิตกกังวลมาก โดยเฉพาะคนสนิทสาวทั้งสอง เลื่อมประภัสกับฉัตรสุดาใจไม่ดีเลย เมื่อเห็นว่าผิวหนังตามตัวของเจ้านายสาวเริ่มขึ้นเกล็ดเหมือนงู
เลื่อมประภัสน้ำตาคลอด้วยความสงสารเจ้านายสาว “ร่างกายของเจ้าแม่กำลังกลับคืนตามสัญชาติเดิม อานุภาพดาบเหล็กไหลรุนแรงกว่าที่ข้าคิด ข้าเกรงว่าเจ้าแม่จักทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
“ข้าถวายโอสถแทบทุกขนานแล้ว แต่อาการเจ้าแม่ก็ยังไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุด”
“มีแต่ท่านท้าวศรีสุทโธนาคเท่านั้นที่จักทรงช่วยเจ้าแม่ได้”
วัชระปราการงูบริวารหนุ่มผู้จงรักก็เฝ้าระแวดระวังไม่ห่าง อาสาไปตามท้าวศรีสุทโธนาคให้ แต่เลื่อมประภัสก็ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เพราะรู้ดีว่าพญานาคผู้ยิ่งใหญ่แห่งลุ่มน้ำโขงกำลังบำเพ็ญเพียรในนครพรหมประกายโลกซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่อนุญาตให้งูบริวารอย่างพวกเธอรุกล้ำกล้ำกราย
แต่วัชระปราการก็ไม่ยอมแพ้ ตั้งใจจะเฝ้าจนกว่าท้าวศรีสุทโธนาคจะเห็นใจ เช่นเดียวกับทศพลที่ปักใจมั่นว่าภรรยาคนสวยยังมีชีวิต และเขาก็จะอยู่ที่นี่เพื่อรอเธอ สุภัทรสงสารและเห็นใจลูกชายคนเดียวมากแต่ก็ทำได้แค่ปลอบให้ทำใจและทำตามเจตนารมย์ของคำแก้วที่อยากให้เขาไปเรียนต่อให้จบหากเธอเป็นอะไรไป
“ผมไม่มีวันลืมคำแก้วได้หรอก ต่อให้นานแค่ไหน ผมก็ไม่ลืม”
“แกเป็นซะแบบนี้ หนูคำแก้วจะไปสู่สุคติได้ยังไง”
“จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำแก้วตายแล้ว จิตใจพวกมันทำด้วยอะไรถึงฆ่าคนเหมือนผักปลา”
“ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดน่ากลัวไปกว่ามนุษย์หรอก หาเหตุฆ่าแกงกันได้ ถึงขนาดใส่ร้ายป้ายสีกันก็เอา...”
คณะนักศึกษาจากกรุงเทพฯตัดสินใจออกจากดอนไม้ป่าในวันต่อมา แก๊งเพื่อนของทศพลลำบากใจมากที่ต้องทิ้งเพื่อนหนุ่มไว้ตามลำพัง เช่นเดียวกับพิมพ์พรที่ตัดสินใจไปเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะอยู่รอคำแก้วที่นี่”
“เมื่อไหร่พลจะยอมรับความจริงซะทีว่านังคำแก้วมันเป็นงู”
“สาแก่ใจคุณแล้วใช่ไหมพิมพ์ คำแก้วถูกใส่ร้ายว่าเป็นงูจนถูกพวกชาวบ้านฆ่าตาย นี่ใช่ไหมสิ่งที่คุณต้องการ”
“ถึงพลจะโกรธจะเกลียดพิมพ์ แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ คำแก้วมันตายไปแล้ว แต่พิมพ์ยังอยู่นะคะ เมื่อไหร่พลจะเห็นความรักที่พิมพ์มอบให้พลเสียที”
ทศพลนิ่งเงียบไม่ตอบสนอง พิมพ์พรหรือพิมพาวดีในอดีตชาติจึงตัดสินใจจะปลุกปล้ำเขาเอง
“พิมพ์รักพลนะคะ”
“แต่ผมไม่ได้รักคุณ แล้วก็ไม่มีวันที่จะรักคุณได้”
พูดจบก็ผลักเธอออกแล้วหมุนตัวเข้าบ้าน ทิ้งพิมพ์พรให้กระฟัดกระเฟียดคนเดียว และอดไม่ได้ต้องไประบายกับเจิดนภาอย่างเหลืออดถึงความซื่อจนโง่ของทศพล
“นี่อย่าบอกนะว่าเธอวิ่งโร่ไปหาทศพลถึงบ้านน่ะ”
พิมพ์พรพยักหน้ารับ เสียหน้ามากจนไม่มีแก่ใจจะเก็บอาการ เจิดนภาถึงกับตบอกผาง
“ฉันจะเป็นลม! อกนังเจิดจะแตก เป็นสาวเป็นนางไปให้ท่าเขาถึงที่ คนอื่นรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ก็ฉันอยากให้พลลืมนังคำแก้วไวๆนี่”
“เรื่องมันยังแดงๆอยู่ เมียตายทั้งคนให้เวลานายทศพลทำใจบ้างสิ”
“ฉันจะทำยังไง พลถึงจะตัดใจจากนังนั่นได้สักที”
“กลับไปอยู่กรุงเทพฯ เดี๋ยวก็ตัดใจได้เองแหละ ผู้ชายน่ะลืมง่ายจะตายไป ขี้คร้านจะลืมกระทั่งชื่อนังคำแก้ว!”
ooooooo
ข้อสันนิษฐานของเจิดนภาไม่จริงแม้แต่น้อย เพราะนอกจากทศพลจะไม่ลืมคำแก้ว ยังไม่คิดปันใจให้พิมพ์พรหรือผู้หญิงอื่นอีกต่างหาก
“ผมรักคุณไม่ได้หรอกพิมพ์ หัวใจผมยกให้คำแก้วไปหมดแล้ว”
และกลางดึกคืนนั้นเอง ทศพลซึ่งนอนกอดหมอนที่คำแก้วเคยหนุนก็เกิดนิมิตถึงอดีตชาติ เป็นเหตุการณ์คู่ขนานเหมือนที่เขาเพิ่งประสบ เมื่อพิมพาวดีบุกถึงตัว จะขอเขาเป็นผัวเพื่อตอบแทนที่พาหนีจากมรุกขนคร
“องค์หญิงเป็นธิดาขององค์นิรุทธราช ข้าหาคู่ควรไม่”
พิมพาวดียิ้มร้าย หว่านล้อมเสียงหวาน “หากเจ้ายอมเป็นของข้า ข้าจักเกลี้ยกล่อมให้กองกำลังจากหัวเมืองประเทศราชที่กระด้างกระเดื่องมาช่วยเจ้ากู้ทัพรับศึกมรุกขนคร”
ไชยสิงห์หรือทศพลในชาตินี้เริ่มลังเล ศึกบ้านเมืองถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่เรื่องหัวใจก็ละเลยไม่ได้ พิมพาวดีใจร้อน เมื่อเห็นเขานิ่งก็เร่งรัด
“จะมัวลังเลอะไรอยู่เล่า ปัตตนครมีไพร่พลน้อยนิด หากไม่มีทัพหนุนจากหัวเมืองอื่น ลำพังแค่มรุกขนคร ยกทัพมาหยิบมือ เมืองของเจ้าก็ราบเป็นหน้ากลองแล้ว ข้าช่วยเจ้าได้นะไชยสิงห์”
พูดจบก็โถมตัวหา หวังใช้เสน่ห์และกลิ่นกายสาวมัดใจ แต่ไชยสิงห์ก็ไม่ใจอ่อนหรือหวั่นไหว
“อย่า! ข้ามีคนรักอยู่แล้ว”
“วิสัยบุรุษจะมีเมียมากกว่าหนึ่งก็หาใช่เรื่องเสื่อมเสีย จักกลัวอันใดเล่า”
“แต่ข้าเคยให้สัตย์ปฏิญาณไว้ว่าจักรักนางเพียงคนเดียว ชีวิตนี้ข้าคงรักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากนาง เท่านั้น”
“ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าหนีมา เจ้ากล้าปฏิเสธข้างั้นเหรอ”
“ความการุณย์ขององค์หญิงข้าไม่เคยลืม แต่อย่าให้ข้าเอาศักดิ์ศรีชายชาตินักรบชดใช้กับหนี้บุญคุณครานี้เลย”
ไชยสิงห์ผละไปแล้ว ทิ้งพิมพาวดีให้ฮึดฮัดคนเดียว
“โง่เง่าที่สุด! ทำอวดดีไปเถอะ สักวันข้าจักเอาเจ้ามาเป็นของข้าให้ได้!”
กองทัพของพระเจ้านิรุทธราชใกล้บุกเมืองปัตตนครเต็มที ไชยสิงห์กับเสนาบดีทั้งสี่ มารุต อัคนี กษิติและสินธุจึงตัดสินใจไม่กลับเข้าเมืองและเตรียมรับศึกใหญ่ในป่า แต่ไม่ทันพร้อมก็ต้องตกใจแทบผงะ เมื่อได้รับข่าวร้ายว่าเมืองปัตตนครถูกกองทัพจากมรุกขนคร โจมตีจนราบเป็นหน้ากลอง!กว่าไชยสิงห์และเสนาบดีทั้งสี่จะไปถึง เมืองปัตตนครก็ถูกเผาทำลายแทบไม่เหลือซาก แม่ทัพใหญ่ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความคับแค้นใจ และเมื่อเจอท้าวปัตตราชเหนือหัวผู้ครองเมืองหรือสุภัทรในชาตินี้ถูกฟันจนยับก็จะพาหนี
“ข้าจักพาพระบาทเจ้าลี้ภัยไปให้พ้นจากพวกศัตรูเจ้าข้า”
“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจักตายที่นี่! จักตายพร้อมกับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่นี่ พวกเจ้าจงหนีเอาตัวรอดไปเถิด”
“เพลานี้ทัพมรุกขนครตีเมืองของเราแตกยับแล้ว หนีก่อนเถิดพระบาทเจ้า หนีไปที่เมืองหอแต ก่อนที่พวกมันจักตามมาทัน ไปให้พ้นภัยเถิด”
“หน้าที่ของกษัตริย์ต้องค้ำจุนบ้านเมือง ในเมื่อข้ารักษานครไว้ไม่ได้ ยังจักแบกหน้าไปที่ใดได้อีก ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าจักเกิดเวียนว่ายเป็นมดเป็นปลวก ดูแลซากเมืองของข้าอยู่ตรงนี้”
ooooooo
ไชยสิงห์กับเสนาบดีทั้งสี่ถูกแม่ทัพใหญ่แห่งมรุกขนครหรือเลื่องในชาตินี้จับตัวไปเป็นเชลยศึกเหมือนเดิมหลังจากนั้น พร้อมๆกับพิมพาวดี เพ็งกับแพนสองคนสนิทหรือเจิดนภากับรัตนาวดีในชาตินี้
เพ็งกับแพนถูกตัดสินประหารชีวิตทันทีที่มาถึงเมืองมรุกขนคร ส่วนพิมพาวดีถูกนำตัวไปเฝ้าพระเจ้านิรุทธราชหรือบุญส่งในชาตินี้ ธิดาคนเล็กถึงกับร่ำไห้ด้วยความกลัวตาย ละล่ำละลักขอชีวิต
“นังลูกชั่ว! กรรเจียกต้องฆ่าตัวตายหนีความอัปยศก็เพราะเจ้า ผีห่าตนใดมันดลใจให้เจ้าใฝ่ต่ำได้ถึงเพียงนี้”
“เจ้าพ่อ...ข้ารักไชยสิงห์ ข้ายอมไม่ได้ที่จักต้องเสียเขาไป”
“เพราะผู้ชายคนเดียวทำให้เจ้าสิ้นคิด ยอมทำผิดมหันต์เยี่ยงนี้เชียวรึ ข้าแสนอับอายไพร่ฟ้าข้าไททั้งมรุกขนครจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ด้วยมีลูกสาวแพศยากาลีอย่างเจ้า ข้าอยากจะฆ่าเจ้าให้ตายคามือนัก นังลูกไม่รักดี!”
พิมพาวดีถูกลากตัวไปขังคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ทศพลถึงได้หลุดจากภวังค์และนิมิตจากอดีต และเมื่อตื่นในเช้าวันต่อมาก็อดใจเสียไม่ได้ เพราะเรื่องราวในอดีตช่างเหมือนกับเรื่องในปัจจุบันเหลือเกิน
อิ่มเห็นคุณหนูหนุ่มที่ดูแลกันมาแต่เล็กแต่น้อยกินไม่ได้นอนไม่หลับก็เป็นห่วง พยายามปลอบให้ทำใจ
“คำแก้วจากผมไปแล้วจริงๆ ทำไมทุกคนที่ผมรักต้องทิ้งผมไปหมด ทั้งแม่ทั้งคำแก้ว ผมไม่เหลือใครแล้วป้าอิ่ม”
“โธ่...คุณหนู คุณหนูยังเหลือป้า เหลือคุณท่านที่รักและเป็นห่วงคุณหนู ไหนจะเพื่อนๆของคุณหนูอีก”
“ผมไม่เข้าใจ ผมกับคำแก้วไม่เคยสร้างความเดือดร้อน ทำไมใครต่อใครถึงคอยขัดขวางความรักของเรานัก”
“ทุกอย่างล้วนถูกบุญกรรมลิขิตไว้แล้ว คุณหนูอย่าคิดมากเลยนะคะ ถือเสียว่าเคยทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้”
ทศพลอยู่ในสภาพใจสลาย แต่กระนั้นก็ยืนกรานไม่กลับกรุงเทพฯ แก๊งเพื่อนหนุ่มๆเครียดมากและสุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่ที่ดอนไม้ป่าต่อเพราะตัดใจทิ้งกันไม่ลง
พิมพ์พรก็เป็นอีกคนที่รั้นไม่ยอมกลับ ยืนยันกับพ่อว่าจะไม่ไปไหนถ้าทศพลไม่ไปด้วย
“แกโง่รึเปล่ายัยพิมพ์ แกจะยอมทิ้งทุกอย่างเพราะผู้ชายคนเดียวเนี่ยนะ”
“พ่อ! พิมพ์บอกแล้วไงว่าพิมพ์รักเขา พิมพ์อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”
“ที่ผ่านมามันเคยรักแกบ้างไหม มันเคยสนใจใส่ใจแกหรือเปล่า ลองคิดดูซิ คนอย่างมันไม่คู่ควรกับแกเลยสักนิด มันจะดักดานอยู่ที่นี่ก็ปล่อยมันไปแต่แกต้องกลับไปกับพ่อ”
“พิมพ์จะอยู่กับพลที่นี่ พ่ออยากกลับก็กลับไปคนเดียวสิ”
ทศพลตกใจมากเมื่อรู้ว่าแก๊งเพื่อนยอมอยู่ต่อ
สุภัทรก็ยินดีไม่น้อย และถือโอกาสชวนนักศึกษาทั้งหมดให้ช่วยกันตรวจสอบเรื่องแผ่นจารึกและไขปริศนาเมืองโบราณตามความตั้งใจเดิมของทัศนัยและหนึ่งในข้อมูลสำคัญก็คือนิมิตประหลาดและความฝันของทศพลที่เขาตัดสินใจเล่าให้พ่อฟังในเวลาต่อมา
“เรื่องราวของมรุกขนครกับปัตตนคร ไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหนระบุไว้ชัดเจน แต่ผมเห็น...เห็นภาพพวกนั้นราวกับมันเกิดขึ้นตรงหน้า!”
ooooooo
ระหว่างที่สุภัทรและพวกนักศึกษาขะมักเขม้นกับการตรวจสอบข้อมูลในแผ่นจารึก พวกกำนันแย้มก็ต้องหน้าเครียดเมื่อรู้จากหมออ่วมว่างูเจ้าแม่นาคีอาจยังไม่ตาย
พวกกำนันแย้มช่วยกันตามหาแหล่งซ่อนตัวและกบดานของเจ้าแม่นาคี โดยนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าแม่นาคีจะนอนพักรักษาตัวในถ้ำใต้เทวาลัย โดยมีเลื่อมประภัสกับฉัตรสุดาดูแลไม่ห่าง
วัชระปราการออกไปตามท้าวศรีสุทโธนาคและยังไม่กลับ เจ้าแม่นาคีก็อาการไม่สู้ดี ทรุดหนักจนผิวหนังเริ่มขึ้นเกล็ดเป็นงูมากขึ้นทุกที ส่วนทศพล...แม้ไม่มีส่วนรับรู้ แต่ก็พร่ำเพ้อถึงคำแก้วแทบทุกคืน
“ไม่ว่าคำแก้วจะอยู่ไหน ขอให้รับรู้ พี่จะรักคำแก้วตลอดไป เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เราเกิดมาเป็นคู่กันอีก”
ท้าวศรีสุทโธนาครับรู้ทุกอย่างด้วยญาณพิเศษ เหนื่อยใจเหลือเกินกับความรั้นของหลานสาว แต่กระนั้นก็ดูดายไม่ได้ ต้องปลีกตัวจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาช่วยรักษาบาดแผลให้
“เจ้ายังเห็นว่าข้าเป็นปู่อยู่รึเปล่า เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายให้ข้าต้องมาคอยตามแก้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“เจ้าปู่ออกจากการบำเพ็ญฌานที่พรหมประกายโลกเพื่อมาช่วยข้า ข้าผิดไปแล้วเจ้าปู่...”
“ถ้ารู้แล้วก็อย่ากลับไปโลกมนุษย์อีก จงอยู่ถือศีลที่วังบาดาลนี่”
“เจ้าปู่...ข้ารอไชยสิงห์มานับพันปี และตอนนี้ข้าก็ได้เจอเขาแล้ว ข้าอยากใช้ชีวิตอยู่กับเขา”
“ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ข้าน่าจะสาปให้เจ้าเป็นหินไปชั่วกัปชั่วกัลป์”
“เจ้าปู่สาปข้าได้แต่กาย แต่สาปหัวใจข้าไม่ได้”
“หลานเอ๋ย...เจ้าอาจเคยเป็นเนื้อคู่กันในอดีตชาติ แต่ถ้าเจ้ามัวยึดติดกับอดีตเยี่ยงนี้ เจ้าจักหาความสุขมิได้”
เจ้าแม่นาคีนิ่งเงียบ จำนนด้วยเหตุผลแต่ยังดื้อดึงจนท้าวศรีสุทโธนาคอดอ่อนใจไม่ได้
“ถ้ามันทรมานมากนัก ข้าจักลบความทรงจำให้เจ้าเอาหรือไม่”
“ข้ายอมทนทุกข์ทรมานไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ แลกกับความสุขที่ข้าได้อยู่กับเขาเวลานี้...แค่นี้ก็พอแล้ว”
“เจ้าเลือกแล้วนาคี...เยี่ยงนั้นเจ้าก็จงรอรับชะตากรรมที่เจ้าเป็นผู้เลือกเองเถิด...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
เพราะความรักที่มีต่อทศพลหรือไชยสิงห์ในชาติที่แล้ว คำแก้วหรือเจ้าแม่นาคีจึงตัดสินใจจะกลับไปใช้ชีวิตแบบมนุษย์อีกครั้ง เมืองอินทร์ก็เหมือนจะรู้ ส่งพังพอนไฟไปปราบ แต่ก็ถูกวัชระปราการทำลายจนใช้การไม่ได้
เมืองอินทร์เจ็บใจมากที่ทำอะไรเจ้าแม่นาคีไม่ได้ แต่ก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ หมายมั่นจะหาทางใหม่ โดยไม่รู้เลยว่าเหล่าบริวารงูของเจ้าแม่ ทั้งวัชระปราการ เลื่อมประภัสและฉัตรสุดาก็เตรียมตั้งรับไว้แล้ว
“แต่ท่านท้าวศรีสุทโธนาคสั่งกำชับข้านักหนาให้พวกเราตั้งมั่นอยู่ในศีล” ฉัตรสุดายังเป็นกังวล
“อยู่ในศีล ในสัตย์แต่กลับถูกรังควานเยี่ยงนี้มันไม่ยุติธรรม” วัชระปราการประกาศกร้าว
“อีกไม่นานเจ้าแม่ก็จักเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เพลานั้นจักไม่มีมนตราอาคมใดทำอันตรายเจ้าแม่ได้อีก”
ooooooo