ตอนที่ 40
ตอนที่ 14 ข่มขวัญคุกคาม
ภาคที่ 2 ตระกูลซือแห่งตำบลชิงเหอ
บนพื้นหญ้าว่างเปล่าของหอภูผามังกรแห่งเมืองชิงเหอ มีเรือบินสีขาวเงินความยาวราวยี่สิบสามสิบเมตรจอดอยู่ บนเรือบินนั้นมีลวดลายเวทมนตร์อยู่
“ขึ้นเรือบินกันเถิด” เจ้าหอหยวนอู่พาพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้ามาถึงที่แห่งนี้
“เป็นเรือบินที่สวยงามนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตาลุกวาว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือบิน ก่อนหน้านี้เพียงแต่เคยได้ยินเท่านั้น “ว่ากันว่าเรือบินแปรธาตุลำหนึ่งอย่างต่ำก็เกินหนึ่งแสนตำลึงทอง ผู้แกร่งกล้าชั้นสมญาทั่วไปหรือพลังอันยิ่งใหญ่บางคนจึงจะคู่ควร”
ซือไป่หรงตวัดมองตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าหอหยวน เรือบินแปรธาตุลำนี้ ทั้งลำเป็นทองคำเงินธาตุน้ำ ตัวลำล้วนแต่เป็นกระจกสี เกรงว่าคงต้องห้าแสนตำลึงทองกระมัง”
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าตระกูลซือต้องหาซื้อจากพวกปรมาจารย์แปรธาตุ แต่หอภูผามังกรของเรานั้นได้ทางหอบัญชาการรวมส่งมาให้ พวกเราไม่ต้องจ่ายเงิน อีกทั้งเรือบินแปรธาตุนี้ยังเป็นเรือบินที่ปรมาจารย์แปรธาตุภายในหอบัญชาการรวมของแคว้นหลอมขึ้นมาเอง ต้นทุนต่ำนัก ราวสามแสนตำลึงทองก็ได้แล้ว” เจ้าหอหยวนอู่พูด
การคาดคะเนของซือไป่หรงล้มเหลว แต่สีหน้าเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง เขาอุทานอย่างตกตะลึงว่า “ยอดเยี่ยมนัก ข้าเตรียมจะซื้อเรือบินแปรธาตุลำหนึ่ง สามารถซื้อจากหอภูผามังกรได้หรือไม่”
“ได้ แต่ราคาก็ใกล้เคียงกับข้างนอก” เจ้าหอหยวนอู่ยิ้มพูด “ขายให้ท่านในราคาทุนไม่ได้หรอก บรรดาปรมาจารย์แปรธาตุก็ต้องหาเงินเช่นเดียวกัน”
“ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง”
นักเวทย์อวี๋จิ้งชิวขึ้นเรือบินไปก่อนแล้ว นางชิงชังรำคาญซือไป่หรงมาตลอด ก็เพราะซือไป่หรงมักจะโอ้อวดและใช้ตระกูลมาบีบบังคับผู้คนอยู่เป็นประจำ ยามนี้พูดมามากมายถึงเพียงนี้ก็ไม่ใช่เพื่อโอ้อวดว่าเขามีปัญญาซื้อเรือบินได้หรอกหรือ อวี๋จิ้งชิวคารวะอาจารย์เป็นศิษย์ในสำนักปรมาจารย์เวทย์เหนือธรรมดา สิ่งที่นางใฝ่หาก็คือหวังว่าจะได้สำเร็จเป็นเหนือธรรมดาเช่นเดียวกับอาจารย์
นี่สิจึงจะเป็นพลังที่แท้จริง โอ้อวดหรือ บีบบังคับหรือ ช่างตื้นเขินเกินไปแล้ว
“ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ขึ้นเรือบินไปแล้ว ซือไป่หรงไม่มีผู้ฟังตนโอ้อวดแล้ว จึงขึ้นเรือบินไปพร้อมกับเหลียงยงทหารคุ้มกันใต้บังคับบัญชาและถังสงผู้ที่เขาชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้
“ขอให้เดินทางตลอดปลอดภัย”
เจ้าหอหยวนอู่ยืนมองอยู่บนพื้นหญ้าไกลลิบ
ฟิ้ว
เรือบินลอยตรงขึ้นสู่ฟ้าอย่างรวดเร็ว ไต่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากไต่ระดับขึ้นมาถึงความสูงกว่าพันเมตรแล้ว จึงค่อยบินออกไปไกลด้วยความเร็วสูง ยิ่งบิน ยิ่งสูง ยิ่งไกลออกไป...ไม่นานนักก็หายวับไปกับขอบฟ้า
……
ในลำเรือบิน
ในลำเรือล้วนทำขึ้นจากกระจกสีโปร่งแสง สามารถเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้อย่างชัดเจน ในกระจกสียังสามารถเห็นสีสันได้ ช่างวิจิตรงดงามโดยแท้
“ท่านทั้งหลาย”
ยอดฝีมือของหอภูผามังกรสองคนที่รับผิดชอบบังคับเรือบินมองมาทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิง บุรุษที่สวมเกราะสีขาวเงินพูดขึ้นว่า “ที่พวกท่านจะไปปราการเมืองตระกูลหลูแห่งเมืองชวีไท่นั้น วางแผนว่าจะเข้าโจมตีในตอนกลางคืนหรือว่าตอนกลางวันหรือ หากเป็นตอนกลางวันแล้ว เรือบินก็จะใช้ความเร็วสูงสุดมุ่งตรงไป เพียงสองชั่วยามก็ถึงแล้ว ถ้าหากไม่รีบร้อนแล้ว เรือบินก็จะขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่ค่อนข้างช้า คาดว่าจะไปถึงในยามราตรี”
“จะเข้าโจมตีในยามกลางวันหรือยามราตรี ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน” เสียงของอวี๋จิ้งชิวไพเราะน่าฟังยิ่ง “หลูหวายหรูผู้นั้นเป็นนักเวทย์ชั้นดาวตก ทั้งยังเป็นยอดฝีมือด้านการแปรธาตุ ในเมื่อที่นั่นเป็นสถานที่สำคัญอันเร้นลับ ดังนั้นเขาย่อมติดตั้งพวกยันต์มนตราเตือนภัยไว้จำนวนมาก พอพวกเราเข้าไป...ก็จะถูกค้นพบได้ทันที”
“จิ้งชิวเป็นนักเวทย์ชั้นจันทร์เงิน ในเมื่อนางบอกว่ามียันต์มนตราเตือนภัย แล้วเราจะถูกค้นพบ เช่นนั้นก็ต้องถูกค้นพบเป็นแน่” ซือไป่หรงพูด “ในเมื่อล้วนต้องต้องถูกค้นพบ เช่นนั้นก็เข้าโจมตีในยามกลางวันเถอะ ยิ่งเร็วยิ่งดี”
“พวกเราไม่รีบร้อน เช่นนั้นก็เป็นยามราตรีเถิด” อวี๋จิ้งชิวพูด “ยามราตรีเมื่อเหล่าทหารของปราการเมืองตระกูลหลูเปลี่ยนเวรหรือเตรียมกินข้าว ก็ล้วนผ่อนคลายขึ้นมาก หากเทียบกันแล้ว ยามกลางวันเข้มงวดกว่า ส่วนยามราตรีนั้นฟ้ามืด หากพบกับกลไกหรือยันต์มนตราแล้วจะยุ่งยากกว่า”
“จิ้งชิวช่างเฉลียวฉลาดจริง” ซือไป่หรงกล่าว
“ดี เช่นนั้นเป็นยามราตรีก็แล้วกัน” คนของหอภูผามังกรที่รับผิดชอบควบคุมเรือบินทั้งสองตัดสินใจโดยพลัน ที่จริงแล้วหากใช้ความเร็วที่เนิบช้าขับเคลื่อน สำหรับเรือบินแล้วจะประหยัดเชื้อเพลิงได้มากที่สุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกจากห้องลำเรืออย่างรวดเร็ว เขาเดินมายังดาดฟ้าของเรือบิน
“รู้สึกไม่เหมือนกันจริงๆ”
บนดาดฟ้าเรือลมค่อนข้างแรง
แต่เพราะการออกแบบรูปร่างเรือบิน ลมแทบจะพัดโชยอยู่เหนือเรือบินแล้วก็ผ่านไป ลมบนดาดฟ้าเรือเบากว่าด้านนอกมากแล้ว
“ฟิ้ว...” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือแล้วจับลูกกรงเรือบิน มองไปยังก้อนเมฆที่ลอยละล่องอยู่รอบด้าน มองไปยังพื้นดินกว้างไกลสุดตาใต้ก้อนเมฆที่ประเดี๋ยวก็หายประเดี๋ยวก็ปรากฏ ทิวทัศน์ช่างงดงามเสียจริง เขารู้สึกจิตใจสงบและเป็นสุข
“ติีง ติีง ติีง” มีคนเดินออกจากห้องลำเรือมายังดาดฟ้าเรืออีกแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันมามองแวบหนึ่ง ผู้ที่เดินออกมาก็คือซือไป่หรงผู้มีท่าทีเย็นชาผู้นั้น ซือไป่หรงสวมอาภรณ์หรูหรายิ่ง ท่าทางเหมือนคนชั้นสูง เขาก็เดินมาข้างลูกกรงแล้วมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกเช่นกัน “แม้จะได้เห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่ได้ชมทิวทัศน์บนเรือบินก็ไม่เลวเลยจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิง นี่คงเป็นครั้งแรกที่เจ้าอยู่บนเรือบินกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้สนใจเขา
“ข้ารู้ว่าเจ้า ตงป๋อเสวี่ยอิงมาจากเมืองอี๋สุ่ย บิดามารดาเจ้าถูกตระกูลม่อหยางจับตัวไป เจ้ายังมีน้องชายคนหนึ่งชื่อตงป๋อชิงสือใช่หรือไม่” ซือไป่หรงพูดอย่างสบายๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมองไปทางเขา
“ในเมืองชิงเหอไม่มีเรื่องที่ตระกูลซือของข้าไม่รู้” ซือไป่หรงมองเขา “อยากจะทำลายตระูลเล็กๆ อย่างตระกูลตงป๋อของเจ้า สำหรับตระกูลซือของเราแล้วเป็นเรื่องง่ายดายนัก ดังเช่นในตระกูลตงป๋อของพวกเจ้ามีมนุษย์กึ่งสัตว์อยู่สองตัว ตัวหนึ่งเป็นสิงห์ ตัวหนึ่งเป็นพญางูหกกรใช่หรือไม่ ในมนุษย์กึ่งสัตว์มีพวกโจรก่อกบฏมิใช่น้อย หาเหตุผลเอาสักข้อ บอกว่าในตระกูลตงป๋อของเจ้าซ่องสุมโจรก่อกบฏ ตระกูลตงป๋อของเจ้าก็จบสิ้นแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าถูกทำลายจุดตันเถียน จุดชี่ไห่ ก็เป็นอัศวินไม่ได้แล้ว น้องชายเจ้าก็จะถูกทำลายพลังเวทย์เช่นกัน...ให้พวกเจ้าไปเป็นทาส เจ้าว่าเป็นอย่างไรเล่า”
ซือไป่หรงพูดอย่างสบายๆ ยิ่งนัก
แต่การคุกคามในคำพูดนั้นช่างร้ายกาจนัก
ธรรมดาแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านจะยุ่งเกี่ยวกับลูกหลานตระกูลใหญ่เหล่านี้จริงๆ แต่ในยามนี้คำพูดของซือไป่หรงทำให้ในใจเขามีเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมา โดยเฉพาะน้องชายเขา ตั้งแต่เล็กนั้นเขาเห็นน้องชายเติบโตขึ้นมา คอยปกป้องดูแลมาตลอด แต่นี่กลับบอกว่าจะให้น้องชายไปเป็นทาสเช่นนั้นหรือ
“ซือไป่หรง” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากพูด
“หืม” ซือไป่หรงมองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ เขาคุ้นชินกับการที่ตระกูลเหล่านั้นก้มศีรษะต่อหน้าตระกูลซือของพวกเขา “สำนึกผิดแล้วหรือ ขอเพียงวันนี้เจ้ายอมก้มหัวรับผิดต่อพวกเรา เมื่อกลับไปก็ส่งเงินห้าหมื่นตำลึงทองมา ข้าจะทำเหมือนเรื่องระหว่างเราไม่เคยเกิดขึ้น”
“ซือไป่หรง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีคนบอกว่าเจ้าเป็นเจ้าทึ่มบ้างไหม”
ซือไป่หรงตะลึงค้าง “เจ้า…”
“เจ้าเป็นเจ้าทึ่มจริงๆ เด็กสามขวบยังฉลาดกว่าท่านอีก”ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครั้งนี้พวกเราไปยังเมืองชวีไท่เพื่อจะไปโจมตีแท่นบูชาเทพปีศาจเทพมารองค์หนึ่งที่อยู่ในเมืองชิงเหอของพวกเรา พวกเราทั้งห้าร่วมมือกันก็ยังคงเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตดังเดิม ในยามนี้เจ้ายังมาคุกคามข้าอย่างทึ่มทื่อรึ ข่มขวัญข้ารึ ต่อให้ข้าก้มหัวให้ชั่วคราว เกรงว่าข้าก็ยังคงมีความเจ็บแค้นในใจอยู่ดี เมื่อถึงเวลาโจมตีปราการเมืองตระกูลหลูนั้น ในยามคับขันข้าลอบทำร้ายเจ้าสักครา ไม่แน่ว่าเจ้าก็อาจต้องทิ้งชีวิตน้อยๆ ไป”
“ต่อให้เจ้าจะคุกคามข้า ข่มขวัญข้าจริง จะดีร้ายอย่างไร ก็รอภารกิจเสร็จสิ้นก่อนเถอะ”
“ตอนนี้เจ้าข่มขวัญข้า นอกจากจะให้ข้าเจ็บแค้นเจ้า ก็เหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อื่นใดแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “เจ้าว่าเจ้าใช่เจ้าทึ่มหรือเปล่าเล่า”
“เจ้า...เจ้า...” สีหน้าซือไป่หรงไม่น่ามองขึ้นมา “เจ้าไม่กลัวข้าจริงๆ…”
“ช่างหัวเจ้าสิ แต่เจ้าต้องยอมรับผลที่ตามมา บางทีผลที่ตามมาอาจจะไม่ดีเหมือนที่เจ้าคิดฝันไว้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าเดินไปทางห้องลำเรือ เขาคร้านจะพูดอะไรไร้สาระกับเจ้าทึ่มนี่อีกต่อไปแม้แต่คำเดียว
เดิมทีตนมาร่วมภารกิจครั้งนี้ก็เพื่อที่จะสั่งสมประสบการณ์บ้าง
หลังจากครั้งนี้ไป ตนก็จะกระตือรือร้นไปขอคำสั่งสำริด รับภารกิจชั้นสำริดแล้ว ต้องรู้ไว้ด้วยว่า อำนาจที่พลังรบชั้นสมญามีนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หน่วยงานกฎหมายต่างๆ ดังเช่นกองทหารรักษาเมืองนั้นล้วนไม่มีสิทธิ์เผชิญหน้ากับเขา ที่จริงแล้วถึงอยากจะเผชิญหน้ากับเขา เหล่าคนธรรมดาก็ยากที่จะคุกคามพลังรบชั้นสมญาคนหนึ่งได้ ดังนั้นต่อให้พลังรบชั้นสมญาทำความผิ ด ก็มีหอภูผามังกรเท่านั้นที่จะตัดสินได้”
ดังนั้นตระกูลซือจึงคุกคามพลังรบชั้นสมญาไม่ได้ ในหมู่ชั้นสมญาเองนั้นมีคุณสมบัติที่จะเจรจากันอย่างเท่าเทียม
แน่นอนว่าซือเหลียงหงนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ราวอันดับที่ห้าร้อยของทั้งรายนามภูผามังกร หากไม่มีความจำเป็นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่อยากเป็นอริกับซือเหลียงหง
“เจ้า...เจ้า…” ซือไป่หรงมองไปที่แผ่นหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังเข้าไปในลำเรือ โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถึงกับกล้าเมินข้า ถึงกับกล้าเมินข้า ประเสริฐนัก ประเสริฐนัก ฝากเอาไว้ก่อนเถิด รอผ่านพ้นภารกิจครั้งนี้ไปก่อน ข้าต้อง...”
“เอ๊ะ”
ซือไป่หรงหน้าเปลี่ยนสี “ไอ้เด็กสมควรตายนี้ คงไม่ลอบทำร้ายข้าตอนทำภารกิจจริงๆ หรอกใช่ไหม”