ตอนที่ 38
ตอนที่ 12 พร้อมหน้าพร้อมตา
ภาคที่ 2 ตระกูลซือแห่งตำบลชิงเหอ
ตัวเมืองเมืองชิงเหอ มีผู้อาศัยอยู่ประจำกว่าสิบล้านคน จะยิ่งใหญ่เพียงใดนั้นต้องลองจินตนาการดู แม้ถนนหลักในเมืองนั้นจะกว้างมาก แต่ม้าย่ำหิมะก็ทำได้เพียง “เดินเล่น” ไปข้างหน้าเท่านั้น จากประตูเมืองไปถึงหอภูผามังกรเป็นระยะทางแปดสิบกว่าลี้ กลับต้องใช้เวลาถึงเกือบหนึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าจวนจะมืดสนิทแล้ว
“ในที่สุดก็ถึงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองหอภูผามังกรตรงหน้า
ด้านหน้าหอภูผามังกร มีตะเกียงแก้วผลึกขนาดใหญ่ดวงแล้วดวงเล่าสองสว่าง ที่นี่โอ่โถงกว่า หอภูผามังกรของเมืองอี๋สุ่ยมาก ลำพังกำแพงของลานก็กินอาณาบริเวณถึงหนึ่งหรือสองลี้แล้ว
โดยรอบยังมีทหารกลุ่มใหญ่เดินลาดตระเวนอยู่
“ลงจากม้าเสีย” ทหารยามเกราะดำสองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูใหญ่มีท่าทีไม่ธรรมดา เกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นชั้นดาวตก
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงลงจากม้า พอพลิกมือก็ปรากฏคำสั่งเหล็กดำขึ้นมา เขาพูดขึ้นว่า “ตัวเมืองเมืองควรจะได้รับแจ้งว่าข้าจะมาแล้วกระมัง”
“ทหารยามเกราะดำคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วยิ้มพูดว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งเมืองอี๋สุ่ยใช่หรือไม่”
“เป็นข้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“พวกเราได้รับแจ้งข่าวว่าท่านจะมาตั้งนานแล้ว ม้าของท่านมอบให้ข้าเถอะ ท่านเข้าไปแล้วจะมีคนนำท่านไปยังที่พัก” ทหารยามเกราะดำช่วยจูงม้า
“รบกวนแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งม้าให้อีกฝ่ายแล้วเดินเลียบกำแพงลานอันมหึมาของหอภูผามังกรตรงเข้าประตูใหญ่ไป
ในหอภูผามังกรอันมหึมา มีต้นไม้เขียวขจีร่มรื่น ดอกไม้ใบหญ้างดงามยิ่งนัก
ตะเกียงแก้วผลึกล้วนอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ใบหญ้า แม้ว่าฟ้าจะมืดแล้วแต่ทั้งหอภูผามังกรกลับมีตะเกียงแก้วผลึกสว่างไสวแทบทุกที่
“ใต้เท้าตงป๋อ เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งมาต้อนรับ “แขกที่มาจากข้างนอกล้วนอยู่ในสวนเจียฮุ่ยทางด้านตะวันออก ในสวนเจียฮุ่ยได้จัดเตรียมลานเล็กสำหรับใต้เท้าโดยเฉพาะ ใต้เท้าอย่าออกจากสวนเจียฮุ่ยจะดีที่สุด...ส่วนสถานที่อื่นๆหรือว่าสถานที่สำคัญของหอภูผามังกรนั้น รอพรุ่งนี้เช้าจะมีคนมารับใต้เท้าไปพบท่านเจ้าหอเจ้าค่ะ”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ในหอภูผามังกร มีแผ่นหินลาดปู โดยรอบนั้นมีดอกไม้แปลกพิสดารชนิดต่างๆ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม แม้แต่บนกำแพงลานนั้นก็มีลวดลายเวทมนตร์ให้เห็นได้
เดินอยู่สักครู่ก็มาถึงประตูสวนแห่งหนึ่ง
“ที่นี่คือสวนเจียฮุ่ย” สาวใช้นำทางอยู่ข้างหน้า “ลานเล็กของใต้เท้าอยู่ด้านในเจ้าค่ะ”
“ที่นี่มีลานเยอะเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางมองไปรอบด้าน เกรงว่าคงจะมีหลายสิบลาน โดยแบ่งเป็นสองแถว ประตูล้วนแต่อยู่ตรงข้ามกัน
“ภารกิจ ของเมืองมีมากมาย จึงมักจะมียอดฝีมือจากที่ต่างๆมาเป็นประจำ วันนี้ยังนับว่าน้อยแล้วนะเจ้าคะ ในสวนเจียฮุ่ยมีผู้อาศัยอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น โดยปกติแล้วทั้งสวนเจียฮุ่ยก็ไม่พออยู่หรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มพูด “ที่นี่ก็คือที่อยู่ของใต้เท้าคืนนี้เจ้าค่ะ” นางพูดพลางผลักประตูลานเปิด
ทันใดนั้นประตูลานฝั่งตรงข้ามก็เปิดออกเสียงเอี๊ยด
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันไปมอง
ประตูลานฝั่งตรงข้ามเปิดออก ด้านในมีสาวใช้ถือถาดอาหารเดินออกมาและยังมีหญิงสาวในอาภรณ์สีเขียวกำลังเตรียมปิดประตู นางก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน แล้วก็เข้าใจได้ในทันทีว่าหนุ่มน้อยชุดดำผู้นี้คือผู้ที่จะมาเข้าอยู่ในลานเล็กฝั่งตรงข้าม
“นักเวทย์หญิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้
บนร่างของหญิงสาวในอาภรณ์สีเขียวผู้นี้มีกลิ่นอายเร้นลับเฉพาะตัวของนักเวทย์ ที่จริงแล้วนั่นคือกลิ่นอายของพลังเวทมนตร์ ทั้งยังมีความรู้สึกเย็นเยียบอ่อนจางแผ่กำจายออกมา สิ่งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงคุ้นเคยดียิ่ง ท่านแม่และน้องชายของตนถนัดเวทมนตร์ชนิดน้ำแข็ง เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ก็ถนัดเวทมนตร์ชนิดนี้ที่สุดเช่นเดียวกัน
“แต่รู้สึกว่ากลิ่นอายของนางยังเข้มแข็งกว่าไป๋หยวนจือเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ตกตะลึงในรูปโฉมของนักเวทย์สาวอาภรณ์เขียว ตกตะลึงในความอ่อนเยาว์ของนาง
น้องชายของตนเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่เขาเคยพานพบมา ส่วนนักเวทย์สาวอาภรณ์เขียวผู้นี้กลับเป็นสตรีที่งดงามที่สุดนางหนึ่งที่เขาเคยพบ ความงดงามของนางราวกับดอกบัวน้ำแข็งบนภูเขาหิมะและยังมีท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ที่จริงแล้วนั้น อย่างเมืองอี๋สุ่ยก็มีหญิงงามอยู่มากมาย เช่นโยวเยวี่ยก็นับว่าเป็นหนึ่งในสิบหญิงงามที่สุดที่ตนเคยพบมาแล้ว
แต่สิ่งที่นักเวทย์สาวอาภรณ์เขียวผู้นี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิง รู้สึกว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดคนหนึ่งในชั่วขณะนั้น เป็นเพราะว่าท่าทางของนาง ท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์นั่น
“นักเวทย์ล้วนมีสติปัญญาเปี่ยมล้น ยิ่งเป็นนักเวทย์ที่แกร่งกล้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความรู้กว้างไกลมากเท่านั้น สตรีนางนี้ดูแล้วยังอ่อนวัยถึงเพียงนี้ ทว่าเหมือนจะแกร่งกล้ายิ่งกว่าไป๋หยวนจือเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
แต่เขากลับไม่รู้ว่า
ขณะที่เขากำลังตกตะลึงเพราะฝ่ายตรงข้ามนั้น นักเวทย์สาวอาภรณ์เขียวผู้นี้ ก็ลอบรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน การรับรู้ฟ้าดินและธรรมชาติมาหลายปีนั้น...ทำให้ความสามารถของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกเก็บงำเอาไว้ข้างในมากขึ้นไปอีก กลิ่นอายยิ่งเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ซึ่งการเก็บงำและความเรียบง่ายเช่นนี้เองที่ทำให้นักเวทย์สาวอาภรณ์เขียวตกใจ “เขาไม่ใช่นักเวทย์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจิตวิญญาณกลับฝึกฝนเสียจนยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
นักเวทย์ให้ความสำคัญกับด้านจิตใจและจิตวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง
……
ทั้งสองเพียงแค่สบตากันครั้งหนึ่ง ผงกศีรษะแล้วยิ้มให้กันครั้งหนึ่งตามมารยาทเท่านั้น
“เอี๊ยด” นักเวทย์สาวอาภรณ์เขียว ปิดประตูลาน
ตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เข้าไปในลานเล็กของตนเช่นกัน
“ใต้เท้าตงป๋อ อีกสักครู่ข้าจะนำอาหารมาส่งให้ท่านนะเจ้าคะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่รบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นสาวใช้ก็ถอยจากไป
******
เช้าตรู่วันต่อมา
หลังกินอาหารเช้าเสร็จไม่นานนัก สาวใช้ของหอภูผามังกรก็มาเชิญตงป๋อเสวี่ยอิง วันนี้จะประกาศรายละเอียดของภารกิจแล้ว
ในโถงที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปในห้อง มองไปปราดหนึ่งก็เห็นชายชราผมขาวร่างบึกบึน ชายชราเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผงกศีรษะให้เล็กน้อย
“เชิญใต้เท้าหาที่นั่งสักที่นั่งลงก่อนนะเจ้าคะ รอคนครบแล้วท่านเจ้าหอก็จะมาโดยเร็วเจ้าค่ะ” สาวใช้พูด
หลังนั่งลงแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงประคองจอกชาขึ้นดื่มไปได้คำหนึ่งแล้ววางลง ด้านนอกโถงก็มีคนเดินเข้ามา นักเวทย์สาวอาภรณ์เขียวที่ได้พบเมื่อคืนนั่นเอง นางกวาดตามองคราหนึ่งก็เห็นชายชราผมขาวร่างบึกบึนและตงป๋อเสวี่ยอิง นางก็ตกตะลึงอยู่บ้าง บังเอิญจริง เมื่อคืนก็อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้าม มาวันนี้ก็ได้พบกันอีกแล้ว นางผงกศีรษะให้คนทั้งสองเล็กน้อยแล้วก็นั่งลงเช่นกัน
“เป็นนักเวทย์จิ้งชิวหรือ” ชายชราผมขาวร่างบึกบึน กลับตาเป็นประกายขึ้นมา เขาพูดขึ้นว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับนักเวทย์จิ้งชิวที่นี่ บังเอิญจริง ข้าคือถังสง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง
หอภูผามังกรมีรายชื่อบุคคลที่ยอดเยี่ยมในเมืองชิงเหอออกมานานแล้ว ตนก็เคยดูมา
ถังสงนั้นก็ช่างเถิด เขาเป็นอัศวินจันทร์เงินที่อายุกว่าหนึ่งร้อยหกสิบปีแล้ว ชราถึงเพียงนี้แล้ว ย่อมไม่มีความหวังใดที่จะบรรลุถึงชั้นสมญา
สำหรับนักเวทย์จิ้งชิวนั้น...เลิศล้ำนัก
นี่เป็นบุคคลที่เป็นอภิชาตบุตรแห่งเมืองชิงเหอ อวี๋จิ้งชิวถือกำเนิดในตระกูลสามัญ แล้วเข้าศึกษาเวทมนตร์ในสำนักลมหวน ในปีที่อายุได้ยี่สิบปีนั้นได้บรรลุเป็นนักเวทย์ชั้นดาวตก อีกทั้งถูกสำนักลมหวนตั้งให้เป็นอาจารย์สอนต่อไป ในปีที่อายุได้ยี่สิบสามนั้นได้บรรลุถึงชั้นจันทร์เงิน หากคำนวณตามข้อมูลนี้แล้ว บัดนี้อวี๋จิ้งชิวควรจะมีอายุได้ยี่สิบห้าปีเท่านั้น
อายุยี่สิบห้า แต่กลับเป็นปรมาจารย์เวทย์จันทร์เงินที่เชี่ยวชาญยิ่ง พรสวรรค์นี้ช่างน่าตกใจโดยแท้ ปรมาจารย์เวทย์เหนือธรรมดาในสำนักลมหวนรับนางเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง อายุน้อยเพียงนี้…มีโอกาสก้าวเข้าสู่ชั้นสมญากว่าเก้าส่วน
“เป็นนางนั่นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า...ทันใดนั้นด้านนอกก็มีคนเดินเข้ามาอีกสองคน
คนหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยท่าทีเย็นชา อีกหนึ่งนั้นเป็นชายชราผมดำ
หนุ่มน้อยผู้เย็นชาสวมอาภรณ์ไม่ธรรมดา อาภรณ์บนร่างสามารถทำให้กลิ่นอายรอบด้านเปลี่ยนแปลงไปได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเกราะแปรธาตุชั้นในที่ออกจะแกร่งกล้าอยู่มาก
“จิ้งชิว นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็จะอยู่ที่นี่ด้วย” หนุ่มน้อยผู้เย็นชาผู้นี้ตื่นเต้นดีใจ “ฮ่าฮ่า ครั้งนี้ข้าออกมาฝึกฝนหาประสบการณ์ จึงสุ่มเลือกภารกิจอันหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้า บังเอิญเกินไปแล้ว วาสนาที่พวกเราทั้งสองมีต่อกันนั้นไม่ใช่ธรรมดาเลย”
นักเวทย์สาวอาภรณ์เขียวขมวดคิ้วเล็กน้อย “บังเอิญจริงด้วย”
สายตาของหนุ่มน้อยผู้เย็นชากวาดมองโดยรอบ เขามองเห็นชายชราผมขาว และเห็นหนุ่มน้อยชุดดำที่อายุน้อยกว่าตนอีกคน นี่ทำให้สายตาของเขาปรากฏความไม่พอใจขึ้นแวบหนึ่ง เขาตวัดมองชายชราผมขาวร่างบึกบึนแล้วพูดตามอำเภอใจว่า “หลีกหน่อย”
“เป็นใต้เท้าไป่หรงหรือนี่” ถังสงชายชราผมขาวร่างบึกบึนหลีกทางไปอีกข้างแต่โดยดี ไม่รบกวนเขาและนักเวทย์สาว
ไป่หรงหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด ซือไป่หรงนั่นเอง
เขาเป็นถึงหนึ่งในบุคคลชั้นยอดรุ่นเยาว์ของตระกูลซือแห่งเมืองชิงเหอ ปีนี้ซือไป่หรงอายุห้าสิบกว่าปี ผู้ที่เป็นอัศวินจันทร์เงินนั้น โดยทั่วไปล้วนมีอายุขัยเกือบสองร้อยปี อายุห้าสิบกว่าปีแล้วก็ยังคงรักษาโฉมหน้าอันอ่อนเยาว์ไว้ได้ เพราะว่าเมื่อเทียบกันแล้วยังอายุค่อนข้างน้อย ดังนั้นก็มีความหวังมากว่าในภายภาคหน้าเขาจะได้เข้าสู่ชั้นสมญา ดังนั้นสถานะในตระกูลซือจึงนับว่าสูงส่งนัก
ในเมืองชิงเหอนั้น ตระกูลซือยิ่งใหญ่คับฟ้า
หากบอกว่าเจ้ามีความผิดเจ้าก็ต้องมีความผิด ดังนั้นต่อให้เป็นถังสงที่เป็นอัศวินจันทร์เงินเช่นเดียวกันก็ยังต้องประจบประแจงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ล่วงเกินมิได้ สำหรับตระกูลซือแล้วนั้น จะหาเหตุผลสักอย่างมาจับอัศวินจันทร์เงินคนหนึ่งก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย มีเพียงบรรลุถึงชั้นสมญาแล้วเท่านั้นจึงจะมีพลังกลึงเกลาความสามัญได้ มีเพียงตระกูลที่ก่อตั้งโดยชั้นสมญาจึงจะมีคุณสมบัติสนทนากับตระกูลซืออย่างเท่าเทียม
หนุ่มน้อยผู้เย็นชาจึงนั่งลงข้างนักเวทย์สาว เขานั่งเสียจนชิด “จิ้งชิวเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงมักจะหลบหน้าข้า เจ้าทำเช่นนี้ทำให้ข้าเสียใจมากเกินไปแล้ว”
พรวด
นักเวทย์สาวอาภรณ์เขียวพลันลุกขึ้นยืนแล้วออกจากที่นั่ง แต่ในห้องโถงก็เล็กเท่านี้ นางมองไปปราดหนึ่งแล้วก็เดินมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง เว้นไว้ที่นั่งหนึ่งจึงนั่งลง
“จิ้งชิว” ซือไป่หรงหนุ่มน้อยผู้เย็นชาเดินมา ทันใดนั้นเขาก็ตวัดมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆ คราหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าการที่เขาอยู่ข้างๆ นั้นเป็นอุปสรรค เขาขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “หลีกหน่อย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงประคองจอกชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของซือไป่หรงไม่น่ามองขึ้นมาในทันที
“เฮอะ” ซือไป่หรงแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่ง
“ฮ่าฮ่า ทุกคนมาถึงแล้วหรือ” เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งพัดเข้ามาจากข้างนอก ชายชราหัวโล้นอาภรณ์แดงคนหนึ่งเดินเข้ามา