ตอนที่ 37
ตอนที่ 11 ตัวเมืองเมืองชิงเหอ
ภาคที่ 2 ตระกูลซือแห่งตำบลชิงเหอ
“เอ๋” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามอง ลูกธนูแน่นขนัดยิงมาทางตน หัวธนูทุกดอกล้วนสะท้อนประกายโลหะเย็นเยียบ แหวกอากาศมา อานุภาพยิ่งใหญ่นัก
“ไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบเอาด้ามหอกสองด้ามในกล่องเครื่องมือที่สะพายอยู่ออกมาอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว
ด้ามหอกทั้งสองยาวถึงเมตรกว่า พวกมันร่ายรำอยู่ในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสบายๆ ม้าย่ำหิมะโผนทะยานรวดเร็วยิ่ง ดังนั้นลูกธนูที่มาถึงตรงหน้าจริงก็มีเพียงสิบกว่าดอกเท่านั้น เพียงด้ามหอกร่ายรำดังฉับ ฉับ ฉับ ลูกธนูแต่ละด้ามนั้นก็ล้วนหักกระเด็นไป ขนาดม้าก็ยังไม่ถูกลูกธนูเลยสักดอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระโจนลงจากม้าย่ำหิมะแล้วพุ่งตรงขึ้นไปยังภูเขา ขณะเดียวกันนั้น หอกทั้งสองก็รวมเป็นหนึ่ง
“เป็นกระดูกแข็ง ถอยเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ต้านลูกธนูเหล่านั้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำเอาหัวหน้าใหญ่ที่อยู่ข้างบนตกใจ เขารู้แล้วว่าต่อกรด้วยไม่ได้ง่ายๆ
ฟิ้ว
“หัวหน้า”
“ไม่ดีแล้ว”
“ไปยุ่งกับหายนะใหญ่เข้าให้แล้ว”
หัวหน้าใหญ่และคนอื่นๆ ทั้งหลายนั้น รวมทั้งโจรเหล่านั้นต่างก็ตระหนกตกใจ
พวกเขามองไปยังเบื้องล่างด้วยความตื่นตระหนก หนุ่มน้อยชุดดำที่กระโจนลงจากม้าคนนั้นแปรเป็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ฟ้า แม้จะต้องผ่านแผ่นผาสูงชัน แต่ความเร็วนั้นก็ทำให้พวกเขาใจสั่นและเข่าอ่อน ทำให้พวกเขาหวาดหวั่น เร็วเกินไปแล้วจริงๆ พวกเขาอยู่บนภูเขาสูง จะอย่างไรก็ห่างจากด้านล่างเกือบสองร้อยเมตรเชียวนะ
อีกทั้งทางเขาลาดชันนั้นปีนยาก ตามหลักแล้วพวกเขาควรจะมีเวลาเพียงพอจะถอยหนีได้
แต่ความจริงแล้วความเร็วที่หนุ่มน้อยชุดดำด้านล่างพุ่งขึ้นมานั้นน่ากลัวโดยแท้ หินและต้นไม้เหล่านั้นล้วนไม่ใช่อุปสรรค ทางเขาสูงชันก็ไม่ใช่อุปสรรคเล่นกัน ความเร็วที่เขาเผ่นโผนอยู่ในป่าเขานั้นยังเร็วกว่าความเร็วของม้าย่ำหิมะที่โจนทะยานอยู่บนทางหลวงเสียอีก เร็วเสียจนโจรบางคนยังมองร่างที่แท้จริงของเขาไม่ชัด เห็นเพียงเงาสีดำเลือนรางสายหนึ่งเท่านั้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน พบผู้แกร่งกล้าชั้นสมญาคนหนึ่งเข้าได้อย่างไรกัน” หัวหน้าใหญ่พลันรู้สึกเหมือนศีรษะจะระเบิดขึ้นมา เหงื่อก็พลันชุ่มเสื้อผ้า สองขาก็อ่อนแรง “ความเร็วบนภูเขายังรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้ ย่อมต้องเป็นชั้นสมญาแน่ อัศวินจันทร์เงินไม่รวดเร็วถึงเพียงนี้อยู่แล้ว จะดีร้ายอย่างไรข้าก็มองเห็นเงาร่างอัศวินจันทร์เงินได้ชัด ต้องสู้กันได้สักยก”
“เมืองชิงเหอมีชั้นสมญาทั้งหมดเพียงไม่กี่คน โผล่ออกมาจากที่ใดกัน โผล่ออกมาจากที่ใดกันแน่”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ไม่ ไม่…”
หัวหน้าใหญ่ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดตรงหน้านี้ อารมณ์ต่างๆ ทั้งสิ้นหวัง หวาดกลัวพลุ่งพล่านสับสนปนเปกันไปหมด เขาไม่มีความคิดจะต้านทานใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความห่างชั้นนั้นมากเกินไปเสียแล้ว
อัศวินดาวตกและอัศวินจันทร์เงินอาจจะยังพอสู้กันได้สักครา...
แต่อัศวินจันทร์เงินเผชิญหน้ากับชั้นสมญา โดยทั่วไปแล้วล้วนถูกสังหารในกระบวนท่าเดียว ต่อให้เป็นปรมาจารย์เวทย์ชั้นจันทร์เงิน...เมื่ออยู่ต่อหน้าชั้นสมญาแล้ว ขนาดเวทมนตร์ก็ยังร่ายไม่ออกเลย
จะเห็นได้ว่า...
ชั้นสมญานั้นแกร่งกล้าเพียงใด นี่เป็นตัวแทนของขีดสุดของคนธรรมดา คนเดียวมีแรงเท่ากับทั้งกองทัพโดยแท้ เมื่ออัศวินดาวตกอยู่ต่อหน้าชั้นสมญา ก็ไม่มีแรงต่อสู้กลับแม้แต่น้อย
“ไว้ชีวิตด้วยเถิด ไว้ชีวิตด้วยเถิด ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วยเถิด” หัวหน้าใหญ่ร่างบึกบึนโหดร้ายพลันคุกเข่าลงอย่างแรง ขอจงไว้ชีวิตด้วยเถิด
ปัง
เงาหอกสายหนึ่งพลันวาดผ่านไป หัวหน้าใหญ่เผยสีหน้าตื่นตระหนกแต่กลับต้านทานใดๆ ไม่ทันทั้งสิ้น เงาหอกนี้วาดไปถูกทรวงอกเขาเต็มๆ ปัง ทรวงอกกลายเป็นโพรงใหญ่ อวัยวะภายในแหลกสลายสิ้น ขณะเดียวกันก็ลอยคว้างไปกระทบกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปราวกับถุงทรายที่แตกออก หัวหน้าใหญ่ร่วงล้มลง เลือดสดๆ ถูกพ่นออกมาจากปาก ดวงตาเบิกกว้างกลอกกลิ้ง สิ้นชีวิตไปเช่นนี้เอง
“หนีสิ”
“รีบหนีสิ” เหล่าหัวหน้าคนอื่นๆ รวมทั้งเหล่าโจรล้วนเป็นบ้าไปแล้ว รีบหนีกระจัดกระจายไปทั้งสี่ทิศในทันที นี่ราวกับจะเป็นฉากที่ชีวิตต่างระดับได้พบกัน อีกฝ่ายแม้จำนวนจะมากกว่า ทว่าแต่ละคนนั้นล้วนขวัญผวาจนขึ้นสมอง มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น...หนี
สวบ สวบ สวบ
เร็วเกินไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงรวดเร็วนัก โดยเฉพาะในสายตาของบรรดาคนที่ถูกมัดนั้น เห็นเงาเจ็ดแปดสายราวกับมีตงป๋อเสวี่ยอิงเจ็ดแปดคนพุ่งหอกออกไปในเวลาเดียวกัน ความเร็วของพวกโจรนั้นช้าจนไม่มีทางต้านทานอะไรได้ทัน ที่จริงแล้วแม้จะต้านทานได้ก็ไร้ประโยชน์ ฉึก ฉึก ฉึก...ทั้งหัวหน้าที่เป็นอัศวินชั้นดาวตกอีกสองคน ทั้งนักเวทย์ชั้นฟ้าที่พยายามร่ายเวทมนตร์ออกมาในขณะหนึ่ง…แต่ละคนล้วนถูกหอกยาวแทงทะลุร่าง
สำหรับเวทมนตร์นั้นเล่า เวทมนตร์ที่แปรเป็นดาบคมกริบอันน่าขันนี้ เมื่อหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงร่ายรำนั้น ก็กลายเป็นกระแสอากาศแรงดันสูงดันเอาเวทมนตร์นั้นพัดกระจายหายไป แม้แต่ด้ามหอกก็ยังไม่มีทางกระทบโดน
เขาสังหารโจรไปสามสิบกว่าคนในคราเดียว
เหล่าโจรหนีกระจัดกระจายไปทั้งสี่ทิศอย่างสุดชีวิต บางคนพุ่งตรงลงจากเขา บางคนพุ่งตรงขึ้นเขา สรุปแล้วคือทุกทิศทุกทาง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ได้ตามอีกต่อไปแล้ว อย่างไรเสียพวกโจรที่แกร่งกล้าที่เป็นแกนสำคัญของกองโจรนั้นก็สิ้นใจหมดแล้ว พวกโจรกระจอกที่หลงเหลืออยู่นั้นคงก่อเรื่องอันใดไม่ได้
“เอ๋” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองซากของหัวหน้าโจรทั้งหลายนั้น บัดนี้เขาสัมผัสโลกภายนอกได้อย่างละเอียดลออยิ่ง เขาเดินอยู่ข้างซากศพอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่ากำไลแขนของหัวหน้าใหญ่นั้นเป็นวัตถุเวทมนตร์อารักษ์
ด้ามหอกสะกิดไปคราหนึ่ง
เคร้ง
กำไลแขนถูกแรงกระทบจากปลายหอกทำเอาหลุดจากแขนร่วงลงมาในทันใด จากนั้นเมื่อปลายหอกเกี่ยวขึ้นมา กำไลก็ลอยเข้าสู่มือของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ใต้เท้าช่วยชีวิตด้วย”
“ใต้เท้า ช่วยพวกเราด้วยเถิด” บรรดาคนที่ถูกมัดอยู่นั้นสวมอาภรณ์สวยงามราคาแพง ทั้งคนชรา วัยกลางคน และหนุ่มสาวคู่หนึ่งล้วนมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง พวกเขากลัวว่าหลังจากสิ่งมีชีวิตที่แกร่งกล้านี้จากไปแล้ว โจรเหล่านั้นจะจับตัวพวกเขาไป
“ฉับ ฉับ ฉับ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไป หอกยาวร่ายรำตามสบาย คมมีดบางคมกริบตรงปลายหอกวาดผ่านเชือก คนสิบกว่าคนนั้นเป็นอิสระในพริบตา
“ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้” ชายชราหนวดขาวคนหนึ่งคำนับเขาด้วยความเคารพ จากนั้นก็พูดเสียงต่ำ ออกคำสั่งให้คนอื่นด้านข้าง “เก็บของมาให้หมด นำมามอบให้ใต้เท้าเสีย”
“ขอรับ”
พ่อค้าเหล่านี้ล้วนสมองไวนัก รีบไปเก็บรวบรวมของมีค่าในสินค้าที่พวกโจรปล้นชิงไปและของมีค่าอื่นๆ เช่นตั๋วเงินที่ซากศพของพวกโจร รวมทั้งธนูทลายดาวจำนวนมาก ตำลึงทองและตั๋วเงินมากมายมากองไว้ด้วยกันเป็นกองใหญ่
“ใต้เท้า นี่คือของที่พวกโจรทิ้งไว้ สินค้าเหล่านี้พวกเราก็ขอมอบให้ใต้เท้า ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้”ชายชราหนวดขาวพูดพลางโค้งคำนับ
ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองแวบหนึ่ง
ตั๋วเงินปึกหนานั้นย่อมมีค่ามากมายแน่นอน ที่สำคัญคืออัศวินชั้นดาวตกแห่งแปดอินทรีหยกเย็นอีกสองคนนั้นล้วนไม่มีวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ มีเพียงเงินและสิ่งของติดตัวมาบ้างเท่านั้น
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตั๋วเงินปึกหนาไว้แบบเลยตามเลยมูลค่าของมันก็น่าจะได้แปดเก้าหมื่นตำลึงทองแล้ว “ส่วนของอื่นนั้นพวกท่านเก็บไว้เถอะ ธนูทลายดาวก็เอาไปด้วย ไม่แน่ว่าพวกท่านอาจจะยังพอรักษาชีวิตตนเองได้ แล้วกองวาณิชของพวกท่านที่ถูกปล้นเล่า ม้าของพวกท่านเล่า”
“คนอื่นล้วนตายหมดแล้ว ม้าก็ถูกทิ้งไว้ข้างหน้าโน่น แปดอินทรีหยกเย็นไม่สนใจม้าพวกนั้นอยู่แล้ว” ชายชราหนวดขาวตอบ
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “เร็วหน่อยแล้วกัน ข้าจะนำพวกท่านออกจากหุบเขาของภูเขาหยกเย็นนี่ พอออกจากหุบเขา ข้าก็จะไม่สนพวกท่านแล้ว”
“ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณใต้เท้า” ชายชราหนวดขาวคุกเข่าแล้วโขกศีรษะกับพื้น คนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงอย่างตื้นตัน ภูเขาหยกเย็นมีโจรยึดครองอยู่มากมาย ในหมู่พวกเขานั้น คนชราก็ชรา คนอ่อนวัยก็อ่อนวัย หากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว พวกเขาคงยากที่จะออกจากภูเขาไปโดยยังมีชีวิตอยู่
“เร็วหน่อย หากช้าแล้วข้าจะไม่รอพวกท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโจนทะยานลงไปแล้ว ความสูงจากพื้นเกือบสองร้อยเมตรแต่เขาก็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ทะยานลงไปถึงพื้นด้านล่างในคราเดียว ปัง พื้นดินสะเทือนคราหนึ่ง ทว่าเข่าของเขาไม่งอเลยแม้แต่น้อย
“ยังพอไหว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลองหลอมวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ที่ได้มานี้ดู พื้นที่เล็กกว่าที่ท่านแม่ให้มาอยู่รอบหนึ่ง “ตั๋วเงินของหัวหน้าโจรเหล่านี้รวมกันแล้วก็มากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทองแล้ว ปราการเมืองศิลาหิมะของข้ากำลังขาดแคลนเงิน บัดนี้กลับได้เงินก้อนใหญ่เช่นนี้มา”
หลายปีมานี้แม้จะขายของเช่นขนเสือดาวเงาเงินออกไป ได้มาเกือบหนึ่งแสนตำลึงทอง แต่ในปีที่น้องชายได้บรรลุเป็นนักเวทย์อย่างแท้จริงนั้น ตนก็ได้มอบวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ที่ค่อนข้างดีและคทานักเวทย์อีกอันให้ คทานักเวทย์ ที่ไม่แพงนักก็มีราคาห้าพันกว่าตำลึงทอง ถึงอย่างไรพลังของน้องชายก็ยังอ่อนแอนัก คทานักเวทย์ที่ยอดเยี่ยมนั้นเขาก็ไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้เต็มที่ แต่พื้นที่ในวัตถุเวทมนตร์อารักษ์นั้นใหญ่นัก ราคากว่าห้าหมื่นตำลึงทองทีเดียว พื้นที่มากกว่าของท่านแม่ถึงหนึ่งรอบใหญ่
เมื่อพลังของตนถึงชั้นสมญานั้น เกราะในกายได้กลายเป็นเกราะคุ้มกันแปรธาตุขั้นสอง อย่างน้อยเมื่อประมือห้ำหั่นกับชั้นสมญานั้น ก็สามารถปกป้องร่างกายไม่ให้ได้รับอันตรายได้
รองเท้าและเสื้อผ้าก็ไปแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุแปรธาตุต่างๆ แต่ของพวกนี้ราคาค่อนข้างถูก สิ่งเดียวที่ค่อนข้างแพงก็คือเกราะชั้นในที่ราคาสูงถึงสามหมื่นตำลึงทอง
ดังนั้นในยามนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิง จึงเงินขาดมืออยู่บ้าง
พลังชั้นสมญาเต็มเปี่ยม…
แต่กลับยินดีเพราะเงินแสนกว่าตำลึงทอง หากให้ผู้แกร่งกล้าชั้นสมญาคนอื่นรู้เข้าคงจะต้องถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่ ชั้นสมญานั้นมีสถานะสูงส่งเพียงใด
……
หลังจากพาคนสิบกว่าคนที่โชคดีรอดจากความตายออกจากหุบเขาของภูเขาหยกเย็นมาได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป ม้าย่ำหิมะเร่งความเร็วออกไป
เขาโผนทะยานมาตลอดทาง พอตกดึกก็ค้างคืนใน “เมืองหวงหลง” คืนหนึ่ง
เช้าตรู่วันต่อมาเขาก็เร่งเดินทางต่อ จนยามพลบค่ำก็มาถึงตัวเมืองเมืองชิงเหอในที่สุด
“สองวันเต็มๆ ในที่สุดก็ถึงแล้ว นี่ก็คือตัวเมืองเมืองชิงเหอหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตาออกไปไกล ไกลออกไปนั้นมีคูเมืองอันยิ่งใหญ่ทอดออกไปไกลสุดลูกหูลูกตากำแพงเมืองทำจากหินสีเทาขาว ด้านบนมีร่องลึกนับไม่ถ้วนเป็นประจักษ์พยานของประวัติศาสตร์อันยาวนานกำแพงเมืองสูงถึงร้อยเมตร...สูงราวภูเขาจริงๆ
บนกำแพงเมืองอันสูงใหญ่นี้ ทุกหนึ่งลี้ล้วนมีลูกลมสีดำตั้งอยู่ บนลูกกลมนั้นมีลวดลายสีทอง ทั้งคูเมืองอันยิ่งใหญ่นั้นมีพลังที่ไร้รูปร่างชนิดหนึ่งแผ่ซ่านออกมา แน่นอนว่าคนธรรมดาคงจะสัมผัสไม่ได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นสัมผัสกลิ่นอายต่างๆ ได้ละเอียดลออยิ่งจึงสามารถรู้สึกได้
ตัวเมืองเมืองชิงเหอ มีผู้อาศัยอยู่ประจำกว่าล้านคน มีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าอาณาจักรหลงซานเสียอีก
ที่จริงแล้วประวัติศาสตร์ของแว่นแคว้นและตัวเมืองเมืองนั้น โดยทั่วไปแล้วล้วนยาวนานยิ่ง ราชวงศ์ต่างๆผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมา แต่คูเมืองอันเก่าแก่เหล่านี้กลับเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ยุทธศาสตร์เวทมนตร์ต่างๆก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นแว่นแคว้นนั้นยิ่งแล้วใหญ่ มีผู้อาศัยอยู่ประจำกว่าร้อยล้านคน ความใหญ่โตโอ่อ่าของคูเมืองนั้นราวกับเป็นรัฐที่เป็นเอกราชทีเดียว ว่ากันว่าพลังของเทพยดาก็ไร้ทางทำลายการป้องกันต่างๆ ของแว่นแคว้นได้
“ช่างเปิดหูเปิดตาเสียจริง ข้ารู้สึกว่าหากยุทธศาสตร์เวทมนตร์ของทั้งเมืองชิงเหอล้วนปะทุออกมา อานุภาพของลูกกลมที่ปะทุออกมานั้น เกรงว่าคงจะสามารถทำลานข้าได้ในพริบตาเดียว นี่คือพลังเหนือธรรมดาโดยแท้จริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ แต่เขากลับไม่รู้ว่า หากพลังยุทธ์เหล่านี้ปะทุขึ้นมา จะต้องสิ้นเปลืองอย่างน่าตกใจเพียงใด
“เข้าเมือง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขี่ม้าย่ำหิมะแล้วก็เข้าไปในตัวเมืองเมืองชิงเหออันโอ่อ่า