ตอนที่ 36
บทที่ 10 ทางไกลหมื่นลี้
ภาคที่ 2 ตระกูลซือแห่งตำบลชิงเหอ
วันต่อมา ท้องฟ้ายังสว่างรำไร
จงหลิง ถงซาน ชิงสือและข่งโยวเยวี่ยมาส่งตงป๋อเสวี่ยอิง。
“ท่านอาจง ปราการเมืองทางนี้คงต้องมอบให้เป็นหน้าที่ท่านแล้ว”ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“วางใจเถิด เสวี่ยอิง” จงหลิงพูด เวลาหกปีผ่านไปจงหลิงก็ไม่ได้ให้เวลาผ่านไปโดยไร้ค่า ในที่สุดเขาเองก็ได้ก้าวเข้าสู่ชั้นดาวตกแล้ว
“ท่านพี่ ต้องระวังด้วย” ชิงสือพูด ในความทรงจำของเขานั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับท่านพ่อท่านแม่หลงเหลืออยู่แล้ว หลายปีมานี้มีเพียงพี่ชายดูแลมาตลอด ดังนั้นจึงผูกพันกับพี่ชายค่อนข้างมาก
“ท่านพี่เสวี่ยอิง ข้ารอท่านกลับมานะ” ข่งโยวเยวี่ยก็ตะโกนบอก
“ฮ่าฮ่า...”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขี่ม้าย่ำหิมะพลางหัวเราะร่า “ย่าห์”
ฟิ้ว
ม้าย่ำหิมะเปิดกีบเท้าเริ่มทะยานออกไปในทันที ความเร็วเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หายวับไปในสุดทางเขาอันไกลลิบ
……
เขาไปยังเมืองอี๋สุ่ยแจ้งใต้เท้าซืออานให้ทราบก่อน ใต้เท้าซืออานก็รีบส่งข่าวให้หอภูผามังกรแห่งตำบลชิงเหอ ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เริ่มเร่งตรงไปยังตำบลชิงเหอโดยไม่หยุดฝีเท้าม้า
ตำบลชิงเหอ มีอาณาเขตกว่าหมื่นลี้
ระยะห่างจากปราการเมืองของแดนอินทรีหิมะไปยังตำบลชิงเหอ ในแนวเส้นตรงก็หกพันลี้โดยประมาณ ทั้งยังต้องมีบางที่ต้องอ้อมหลบหลีกภูเขาใหญ่ คดเคี้ยวไปมา ระยะทางจริงเกรงว่าจะเกินหมื่นลี้
“ย่าห์ ย่าห์”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสวมชุดสีดำทั้งร่าง สะพายกล่องอาวุธ ขี่ม้าย่ำหิมะอยู่
ม้าย่ำหิมะโผนทะยาน รวดเร็วดั่งเงา
สัตว์มารม้าย่ำหิมะ เป็นม้าสัตว์มารขั้นสาม นับว่าดีที่สุดในบรรดาม้าทั้งหมดแล้ว หากเหนือกว่านี้ก็เป็นสัตว์มารอื่นแล้ว แต่ม้านั้นเกิดมาก็ถนัดวิ่งทะยาน ม้าสัตว์มารขั้นสาม...หากพูดถึงเพียงความเร็วแล้วไม่แพ้สัตว์มารขั้นสี่เลย ที่จริงแล้วด้วยพลังชั้นสมญาของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ขี่ม้าย่ำหิมะนั้นช่าง “ต่ำต้อย” เกินไป พลังของเขานั้น หากเผยออกมา เกรงว่าคงมีพลังที่ยิ่งใหญ่ส่งสัตว์มารขั้นห้ามาให้ขี่ อาจถึงขั้นสัตว์มารมีปีกเสียด้วยซ้ำ
“ตึง ตึง ตึง”
ม้าย่ำหิมะโจนทะยานคราหนึ่ง พื้นปฐพีก็สั่นไหว เงาร่างสายหนึ่งทะยานแวบผ่านไป
มันโจนทะยานอยู่หนึ่งชั่วยามก็ไปได้ถึงเก้าร้อยลี้ หากใช้เกราะทิ่มแทงสักครั้ง เกรงว่าแม้แต่อัศวินชั้นฟ้าก็คงไม่กล้าขวาง แต่ว่าราคาของมันนั้นสูงถึงสองพันตำลึงทอง ม้าย่ำหิมะยี่สิบตัวก็สามารถซื้อแดนใต้อาณัติอย่างแดนอินทรีหิมะได้แล้ว ดังนั้นตระกูลทั่วไปจึงทำใจซื้อไม่ลง หลายปีมานี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ขายขนเสือดาวเงาเงินและวัตถุอื่นแล้ว จึงทำใจซื้อม้าย่ำหิมะมาห้าตัว
“หยุดก่อน หยุดก่อน ข้างหน้าคือภูเขาหยกเย็น”หน้าหุบเขาใหญ่แห่งหนึ่งมีเหล่าพ่อค้ารวมตัวกันอยู่ เมื่อเห็นอัศวินคนหนึ่งโจนทะยานมาแต่ไกล จึงตะโกนเสียงแหลมขึ้นทันที
“สหายเอ๋ย หยุดก่อน พวกเราข้ามภูเขาหยกเย็นไปด้วยกันเถอะ”
“ภูเขาหยกเย็นอันตรายนะ”
พ่อค้าเหล่านี้และเหล่าผู้คุ้มกันของพวกเขาล้วนอ้าปากตะโกน
ฟิ้ว
ม้าย่ำหิมะไม่ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นเงาสายหนึ่งแวบผ่านไป
“บ้าไปแล้ว”พ่อค้าและผู้คุ้มกันเหล่านั้นล้วนตกตะลึงกันถ้วนหน้า
“อัศวินคนนี้คงบ้าไปแล้วกระมัง เขาคิดว่าขี่ม้าย่ำหิมะแล้วก็จะผ่านไปได้อย่างนั้นหรือ”
“สถานที่เช่นภูเขาหยกเย็นนี้สามารถฝืนบุกเข้าไปได้หรือไร”
……
“ภูเขาหยกเย็นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่บนหลังม้านั้นสัมผัสได้ถึงสิ่งรอบข้างได้ละเอียดเพียงใด แน่นอนว่าย่อมได้ยินเสียงตะโกนของพ่อค้าเหล่านั้นอยู่แล้ว “ภูเขาหยกเย็น เป็นทางที่จำเป็นต้องผ่านเพื่อตรงไปยังตัวเมืองตำบลชิงเหอ ภูเขาหยกเย็นและหุบเขาทำลายล้างนั้นมีแกนเชื่อมต่อกัน ได้ยินมาว่าในภูเขาหยกเย็นนั้นมีโจรยึดครองอยู่ไม่น้อย มักจะปล้นชิงพ่อค้าที่ผ่านไปมาเป็นประจำ ชื่อเสียงของโจรเหล่านี้ฉาวโฉ่ยิ่งกว่ากองมีดโค้งแห่งเมืองอี๋สุ่ยของข้าเสียอีก”
กองวาณิชโดยทั่วไปแล้วมักรวมตัวกันขึ้นมา เมื่อรวมกันได้จำนวนคนมากเพียงพอแล้วค่อยข้ามภูเขาหยกเย็นไปด้วยกัน
แต่สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงเล่า
ทั้งตำบลชิงเหอ ที่ข่มขวัญได้ก็มีเพียงเหล่าพลังรบชั้นสมญาพวกนั้นเท่านั้นเอง แต่ก็แค่ข่มขวัญได้เท่านั้น ใครจะแพ้ใครจะชนะต้องลองสู้กันจึงจะรู้ แค่กองโจรน่ะหรือ ก็แค่ไก่กาเท่านั้น
”ฟิ้ว”
ม้าย่ำหิมะเผ่นโผนดั่งลม พื้นปฐพีสั่นไหวเล็กน้อย การเคลื่อนไหวเอิกเกริกนักจนรู้สึกได้แต่ไกล
“บุรุษชุดดำนี่มีที่มาอย่างไรกัน กล้าขี่ม้าบุกเดี่ยวเข้ามาในหุบเขาภูเขาหยกเย็นเช่นนั้นหรือ”
“หาที่ตายหรือ”
“พี่ใหญ่ พวกเราจะลงมือหรือไม่”
“ลงมือบ้าบออะไร กระดูกแข็งเช่นนี้พวกเราอย่าเสี่ยงอันตรายเลย ส่งต่อให้ “แปดอินทรีหยกเย็น”ไปขบเถอะ” พวกโจรบางคนเห็นผู้ขี่ม้าทะยานมาเพียงลำพังแต่ไกล หลายคนเลือกที่จะปล่อยไป เหล่าโจรเองก็ต้องคำนึงถึงอันตรายและผลประโยชน์เช่นกัน
โผนทะยานมารวดเดียวหลายสิบลี้ ก็มาถึงช่วงกลางของหุบเขาใหญ่ในภูเขาหยกเย็น
บนภูเขาสูงนั้นมีสมุนโจรที่สวมเกราะสีเขียวอยู่กลุ่มใหญ่ โจรทั้งหมดราวร้อยกว่าคน แต่พวกเขามีอาวุธพร้อมสรรพ โจรสามัญแทบทุกคนล้วนสะพายธนูยักษ์อันหนึ่ง ...ก็คือธนูทลายดาว หัวหน้าโจรทั้งแปดที่คุมอยู่นั้นมีท่าทีไม่ธรรมดา นี่ก็คือแปดอินทรีหยกเย็นที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของภูเขาหยกเย็นนั่นเอง
ในหมู่พวกเขามีชั้นดาวตกสามคน นักเวทย์ชั้นฟ้าสองคน ทั้งยังมีอัศวินชั้นฟ้าสามคน ทุกคนล้วนนับว่ามีวิธีการมากมายจึงได้ชื่อว่า “แปดอินทรี”
ฮ่าฮ่า วันนี้ได้อะไรมาไม่น้อย กองวาณิชกองนี้ยังถือว่ามีดีอยู่มากโข”ขณะนี้โจรเหล่านี้อารมณ์ดียิ่ง ด้านข้างยังมีคนที่ถูกจับเป็นอีกสิบกว่าคน คนอื่นในกองวาณิชล้วนตายไปเสียสิ้น เหลือเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ในหมู่พวกเขานั้นมีคนชรา วัยกลางคน ทั้งยังมีหนุ่มสาวอายุน้อยคู่หนึ่ง หนุ่มสาวอายุน้อยคู่นั้นพิงเข้าหากัน แววตาเต็มไปด้วยความตืนตระหนกและสิ้นหวัง พวกเขาต่างก็กังวลถึงชะตาในอนาคตของตน
“ไป กลับไปพักผ่อนเสียหน่อย ตรวจดูความเป็นมาของพวกมัน ไม่แน่ว่าอาจได้เงินค่าไถ่มากขึ้นอีก”
“หัวหน้าทุกท่าน รีบดูเร็ว อัศวินชุดดำคนหนึ่งมาโน่นแล้ว”
“ขี่ม้าย่ำหิมะ เพียงคนเดียวเท่านั้นเอง”
เหล่าลูกน้องสมุนโจรรายงานทันที
หัวหน้าแปดคนมองลงไปยังที่ไกลๆ ไกลออกไปในหุบเขา มีคนขี่ม้าทะยานเข้ามาเพียงลำพัง
“เพียงคนเดียวก็กล้าบุกเข้ามาอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ว่าดูถูกภูเขาหยกเย็นของพวกเราหรอกหรือ พี่ใหญ่ ลงมือไหม” อินทรีเจ็ดคนล้วนมองตรงไปยังพี่ใหญ่ของพวกเขา
หัวหน้าใหญ่ของแปดอินทรีหยกเย็นทอดสายตาไปยังเบื้องล่าง เขาขมวดคิ้วมองดู “ยอดฝีมือชั้นสมญาของตำบลชิงเหอก็มีเพียงแค่คนเดียว แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงโด่งดัง ข้าล้วนรู้จักหน้าตาคร่าวๆ องพวกเขา อีกทั้งพวกเขาคงไม่ตกต่ำถึงขั้นขี่แค่ม้าย่ำหิมะหรอก หนุ่มน้อยชุดดำคนนี้...ดูแล้วยังอายุน้อยนัก สะพายกล่องอาวุธอยู่ คงจะเป็นหอกยาว ผู้ใดกันหนอ ไม่เคยได้ยินเลย หรือว่าจะเป็นอัศวินจันทร์เงิน”
“พี่น้องทั้งหลาย ขึ้นธนู ทดสอบมันดูเสียหน่อย”หัวหน้าใหญ่ออกคำสั่ง “หากกระดูกขบยากเกินไป พวกเราก็ไปกันเถอะ ถ้าหากมันพลังอ่อนแอสักหน่อย ก็กินมันเสีย”
“ขอรับ”
ทันใดนั้นโจรทั้งหมด รวมถึงหัวหน้าใหญ่เองก็ล้วนหยิบธนูยักษ์หรือธนูขึ้นมา
โจรธรรมดาใช้ธนูทลายดาวก็สามารถปล่อยอานุภาพอันทรงพลัง ธนูทลายดาวเพียงพอต่อการเจาะทำลายพลังการต่อสู้ที่คุ้มกายอัศวินชั้นดาวตก แต่อัศวินชั้นดาวตกทั้งสามเช่นหัวหน้าใหญ่และคนอื่นนั้น พวกเขาเหมาะจะใช้ธนูมากกว่า เพราะธนูของอัศวินชั้นดาวตกนั้นเพียงพอต่อการคุกคามชีวิตของอัศวินจันทร์เงิน อาศัยลูกธนูเหล่านี้...เพียงพอต่อการตัดสินพลังของหนุ่มน้อยชุดดำข้างล่างนั่นแล้ว
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ธนูของพวกเขานั้นแท้จริงแล้วไปยั่วยุเอาสิ่งมีชีวิตแบบใดเข้า
“ปล่อย” หัวหน้าใหญ่ออกคำสั่ง
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว...
ลูกธนูแน่นขนัดยิงมาจากที่สูงบนภูเขาใหญ่ตรงลงมาข้างล่าง ตรงมายังตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังเร่งเดินทางอยู่