ตอนที่ 12

อัลบั้ม: "เอ ศุภชัย" ผู้จัดป้ายแดง ส่ง "ลิขิตริษยา" ลงจอ ช่อง 7




หลวงเดชจ้องหน้านพคาดคั้นรอคำตอบ ในขณะที่อดีตลูกน้องคนสนิทอึกอักไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

“เอ่อ ผมคิดว่าซ่อนกลิ่นกำลังพยายามจะทำให้คุณหลวงกลับมาเป็นเหมือนเดิมครับ ด้วยการ...เอ่อ”

“เอาเถอะ ถ้านพไม่สะดวกใจจะบอกก็ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากทำให้ใครอึดอัด เธอคงไม่อยากเห็นเพื่อนเดือดร้อน อีกอย่างฉันเหนื่อยที่จะรับรู้เรื่องของซ่อนกลิ่นแล้ว ทุกวันนี้ฉันบอกตามตรงว่าที่อยู่ด้วยกัน ฉันก็เต็มกลืนเหลือเกิน”

นพแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรเขาเคยเห็นหลวงเดชหลงใหลในตัวซ่อนกลิ่นเสียจนลืมภรรยาทั้งสาม จนกระทั่งวันนี้ ท่าทีของอดีตนายดูเหมือนขมขื่นกับสิ่งที่ผ่านมาถึงกับเอ่ยปากว่า

“ฉันเปลี่ยนไปแล้วล่ะนพ ทุกวันนี้ฉันคิดถึงแต่เมียทั้งสามของฉัน น่าเสียดายเหลือเกินที่ฉันรู้ตัวช้าไป ไม่รู้เวรกรรมอะไรทำให้ฉันต้องเสียเมียที่ฉันรักไปถึงสองคน”

ด้านซ่อนกลิ่นเดินวนเวียนเป็นหนูติดจั่นมีแต่ความกังวลใจ ไม่นานนักสามีเดินมาหาที่เรือนเล็กด้วยสีหน้านิ่งเฉย เธอรีบโผเข้าไปกอดออเซาะคร่ำครวญที่ถูกนพลวนลาม แต่ก็ต้องตกใจเมื่อหลวงเดชแกะมือเธอออกจากตัวและขู่ว่า

“เธอต้องขอบคุณนพที่ไม่เอาเรื่องนั่น ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดจะทำอะไรไม่ดีกับบ้านของฉันหรือกับตัวฉันอีก แต่บอกไว้ก่อนว่าเวรกรรมมีจริง อย่าริอ่านคิดอะไรต่ำๆทำเรื่องอุบาทว์ในเรือนนี้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่เรือนเล็กฉันก็จะไม่ให้อยู่”

ซ่อนกลิ่นหน้าเจื่อนคาดไม่ถึงว่าสามีระแคะระคายในเรื่องนี้ถึงขนาดกล้าขู่ตน ชะรอยคาถามหาเสน่ห์คงหมดความขลังนับตั้งแต่หมอพรสิ้นชีพ เธอครุ่นคิดหาหนทางเอาตัวรอด...

หลังกลับจากเรือนหลวงเดช ดวงตาเห็นนพนั่งทอดถอนใจเหมือนมีเรื่องที่ยังคิดไม่ตก เธอสอบถามสามีว่ามีเหตุอะไรทำให้ไม่สบายใจเช่นนี้ นพยิ้มแห้งๆตอบภรรยาว่า

“ความจริงพี่ควรจะบอกคุณหลวงไปตามตรงว่าซ่อนกลิ่นกำลังพยายามจะใช้คุณไสยมนต์ดำทำให้คุณหลวงกลับมารักเหมือนเดิม แต่อีกใจพี่ก็นึกสงสารซ่อนกลิ่น ยังไงก็เคยเป็นเพื่อนกันมาแต่เล็ก พี่ทำผิดมากไหม”

ดวงตาฟังแล้วละเหี่ยใจแนะนำสามีว่าควรหมั่นไปดูแลหลวงเดชและเตือนซ่อนกลิ่นให้เลิกทำผิดคิดร้ายกับหลวงเดช นพเห็นคล้อยตามสีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิดหนัก ขณะนั้นซ่อนกลิ่นเองก็รู้สึกว่าภัยใหญ่กำลังจะเข้ามาเยือนในไม่ช้า เธอหยิบหุ่นคุณไสยขึ้นมาดูด้วยสีหน้าหวาดหวั่น พลันอรพิลาสถลาเข้ามากอดร้องไห้โฮฟ้องว่าอัครยศมีคนรักอยู่แล้ว

ซ่อนกลิ่นตกใจย้อนถามว่า “เป็นไปได้ยังไง ก็ไหนเพิ่งเรียนจบกลับมาจากเมืองนอกไม่ใช่เหรอ”

“มันเป็นแม่ค้าขายขนมหวานค่ะคุณแม่ หน้าตาก็ธรรมดา จนก็จน แต่คุณตั้มชอบมัน แล้วยังไล่หนูอรอย่างสาดเสียเทเสีย หนูอรเสียใจค่ะคุณแม่”

อรพิลาสร้องไห้กอดมารดาแน่นพร่ำรำพันจนซ่อนกลิ่นต้องรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหาทางช่วยเหลือให้ถึงที่สุดแต่ภายในใจกลับกังวลถึงเรื่องอื่นมากกว่า ข้างอัครยศรู้สึกหดหู่เศร้าซึมไม่แพ้กัน เขามานั่งเงียบๆอยู่แถวศาลาริมน้ำพลางครุ่นคิดหาทางออกในเรื่องที่ผิดใจกับเนตร คุณหญิงมณีเฝ้ามองท่าทีของลูกชายคนเล็กด้วยความเป็นห่วงเดินเข้ามาถามว่า

“เป็นอะไร มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า เล่าให้แม่ฟังได้นะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”

“ผมไม่รู้จะเล่ายังไงดีครับ...ผมกำลังมีความรักครับ แต่ดูเหมือนจะไม่สมหวังเพราะความผิดของผมเอง”

คุณหญิงมณีอึ้งคาดไม่ถึงว่าลูกชายจะมีความรัก เธอย้อนถามว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน อัครยศอ้ำอึ้งชั่วครู่ ก่อนจะบอกว่าเธอเป็นเพียงแม่ค้าขายขนมหวาน หวังว่ามารดาจะไม่รังเกียจที่เขาชอบผู้หญิงแบบนี้ คุณหญิงมณีเงียบงัน...

แต่ตกค่ำเมื่ออยู่ตามลำพังกับพระยาราชรักษ์ คุณหญิงมณีโวยวายเล่าเรื่องดังกล่าวให้สามีฟังอย่างไม่พอใจ

“น้องไม่ยอมนะคะคุณพี่ ลูกชายเราเป็นถึงลูกเจ้าคุณ จะให้ไปคบกับแม่ค้าได้ยังไง รู้ถึงไหนได้อายถึงนั่น”

“ลูกน่ะ...เลี้ยงได้แต่ตัว ยังไงหัวใจก็เป็นของเขา ถ้ารักลูกก็ต้องให้เขาเลือกคนรักเอง เพราะนั่นจะทำให้เขามีความสุข”

คุณหญิงมณีหน้าเสีย รู้สึกไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อย่างที่สามีเตือน

ooooooo

ตกดึกคืนเดียวกัน ซ่อนกลิ่นอดรนทนไม่ได้ต้องร่ายคาถาใส่หุ่นคุณไสยเพื่อหวังให้หลวงเดชตกอยู่ในมนต์ดำและกลับมาหลงใหลเธออีกครั้ง แต่โชคไม่ดีที่หลวงเดชตั้งจิตอธิษฐานขอพรว่า

“พระพุทธองค์ทรงเมตตาผมด้วย ผมทุกข์ใจเหลือเกินกับความโง่เขลาที่เคยละเลยลูกเมีย จนพวกเขาต้องมีอันเป็นไป ผมไม่รู้จะทำยังไง ถึงจะชดเชยความผิดนี้ได้ ขอให้ผมได้พบกับทางสว่างด้วยเถิด...”

เหมือนการขอพรนั้นจะได้ผลเพราะเมื่อหลวงเดชเห็นซ่อนกลิ่นนอนรออยู่ในห้องนอน เขาทำหน้าไม่พอใจพร้อมกับสั่งให้เธอออกไปจากห้อง ซ่อนกลิ่นหน้าเสียตัดพ้อว่าตนคิดถึงเขามากจึงได้มาหา แต่หลวงเดชยืนกรานว่า

“ฉันบอกให้ออกไป กลับไปอยู่เรือนเล็กของเธอซะ แล้วอย่ามายุ่มย่ามที่นี่อีก”

“จะไล่ฉันไปถึงไหน ฉันก็เป็นเมียคนนึงเหมือนกัน หรืออยากให้ไปป่าวประกาศจนทั่วว่าหลวงเดชทอดทิ้งเมีย”

“ถ้าทำกันขนาดนั้น ฉันก็คงไม่เลี้ยงไว้เหมือนกัน เลือกเอาแล้วกันว่าจะกลับไปอยู่เรือนเล็กดีๆ หรืออยากออกไปอยู่ที่อื่น ฉันจะแบ่งเงินให้ จะได้ไม่ต้องมาทนเห็นหน้ากันอีก”

ซ่อนกลิ่นทนฟังไม่ไหวร้องไห้โฮแล้วปราดเข้าไปทุบตีสามี จนกระทั่งหลวงเดชโมโหผลักเธออย่างแรงและสั่งให้ออกจากห้องกลับไปเรือนเล็กทันที บ่าวไพร่ต่างซุบซิบกันเป็นเชิงสะใจเมื่อทราบว่าหลวงเดชไล่ซ่อนกลิ่นเหมือนหมดสิ้นเยื่อใยต่อกัน ธูปหน้าเสียเริ่มไม่มั่นใจในสถานะของซ่อนกลิ่น เธอครุ่นคิดในใจหาทางออกสำหรับชีวิตตัวเอง...

รุ่งเช้า เจิมเอาเรื่องที่หลวงเดชไล่ซ่อนกลิ่นไป

เล่าให้พิศฟังพร้อมกับอ้อนวอนให้สงสารเห็นใจนายผู้ชายโดยเลิกแกล้งป่วยได้แล้ว แต่พิศยังไม่วางใจในตัว ซ่อนกลิ่นกลัวว่าจะหาเรื่องรังแกตนกับอรพิลาสอีก เจิมทำหน้าละเหี่ยใจบอกว่า

“บางทีก็ต้องแสดงความเข้มแข็งให้คุณหนูอรเห็นบ้างนะคะ ถ้าอ่อนแออย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่คุณพิศจะได้ลูกคืนล่ะคะ”

พิศฟังแล้วชะงักเริ่มคิดตามว่าเหตุร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความอ่อนแอของตนเป็นแน่แท้ เจิมมองหน้านายหญิงแล้วปลอบใจไม่ให้คิดมาก ตนเพียงอยากให้หลวงเดชกับคุณพิศกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็เท่านั้น พิศเข้าใจความปรารถนาดีของเจิม เอ่ยขึ้นค่อนข้างดัง

“หรือฉันควรจะเลิกแกล้งบ้าจริงๆ!”

ขณะนั้นบังเอิญธูปเดินผ่านมาได้ยินเข้าก็ตาโตรีบแจ้นกลับเรือนเล็กทันทีเพื่อรายงานให้นายหญิงรับรู้โดยด่วน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะทั้งซ่อนกลิ่นกับอรพิลาสต่างหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเองจนไม่สนใจที่จะรับฟังเรื่องอื่นใดอีก

ด้านเนตรมีแต่ความเศร้าซึมคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มกับอัครยศ ใจหนึ่งไม่อยากจะสานต่อเพราะเจียมตัวที่เป็นเพียงลูกแม่ค้าขนม แต่อีกใจหนึ่งก็มีความรู้สึกดีๆก่อตัวขึ้น โฉมฉายเป็นห่วงแนะนำว่าควรให้อัครยศได้มีเวลาพิสูจน์ตัวเอง อย่าเพิ่งวิตกกังวลเกินไป เนตรชะงักครุ่นคิดคล้อยตามที่มารดาว่าไว้

หลังจากทนอึดอัดใจได้ไม่กี่วัน อัครยศตัดสินใจกลับไปเผชิญหน้ากับเนตรเพื่อขอโอกาสได้อธิบายและขอโทษกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น หญิงสาวนิ่งคิดเพียงครู่เดียวก็ใจอ่อนยอมคุยเพื่อคลี่คลายปัญหาคาใจ

“คุณปล่อยให้ฉันเข้าใจว่าคุณเป็นลูกแม่จัน แม่บ้านในเรือนท่านเจ้าคุณราชรักษ์ แต่ความจริงคุณเป็นถึงลูกชายของท่าน คุณสนุกนักหรือคะกับการหลอกให้ฉันเข้าใจผิดมาตลอด หรือเห็นฉันเป็นเพียงแม่ค้าขนม ไม่มีคุณค่าอะไร”

“ฉันอยากขอโทษเธอในเรื่องที่ฉันปิดบังว่าพ่อแม่ฉันเป็นใคร และเธอเข้าใจฉันผิดนะเนตร เธอมีค่ามากมายในสายตาฉัน...ถึงฉันไม่ใช่ลูกแม่จันก็จริง แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นลูกเจ้าคุณราชรักษ์ด้วยเหมือนกัน”

เนตรตะลึงพึมพำถามว่านั่นหมายความว่าอะไร อัครยศถอนหายใจยาวอย่างลำบากใจ ก่อนจะชี้แจงว่า

“ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่หลวงตาอุเทนเก็บมาเลี้ยง จนคุณพ่อกับคุณแม่มาเห็นเข้า เลยขอฉันไปเลี้ยงเป็นลูก ทุกวันนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของฉันเป็นใคร รู้แต่เพียงว่าเจ้าคุณราชรักษ์และคุณหญิงมณีรักฉันมาก นี่แหละคือความจริงที่ฉันไม่ได้บอกเธอ...เพราะมันคือความลับของครอบครัวเรา แต่ฉันอยากบอกให้เธอรู้...”

เพียงแค่นั้นเนตรก็รู้สึกตื้นตันใจกับสิ่งที่ได้ยิน อัครยศยิ้มโล่งใจเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาว ทั้งคู่สบตากันอย่างเข้าใจ

ooooooo

คำแนะนำของเจิมที่ให้เลิกแกล้งป่วยก่อกวนจิตใจพิศเป็นอันมาก เธอคิดวนเวียนไปมาอยู่นานก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาหลวงเดชเพื่อจะบอกความจริง แต่กลับไม่สำเร็จเพราะนพมาเยี่ยมคุณหลวงเข้าพอดี

เสียงหลวงเดชร้องบอกนพให้รอ ก่อนจะพาพิศกลับห้องและกำชับว่า

“พี่ไม่อยากให้คุณพิศออกไปเดินข้างนอกเพราะกลัวคุณพิศจะชนข้าวของ ตกบันไดเจ็บตัว ไม่ใช่ว่าอยากขังคุณพิศไว้ในห้องหรอกนะ พักผ่อนอยู่ในห้องซะนะ เอาไว้พี่จะพาออกไปเที่ยวข้างนอก คุณพิศจะได้ไม่เบื่อ”

พิศซาบซึ้งกับความห่วงใยที่สามีมอบให้ จ้องหน้าเขาอยากจะบอกความจริงใจจะขาด พอหลวงเดชเดินไปที่ประตู พิศร้องเรียกชื่อเขาไว้ สามีชะงักหันมองแปลกใจ ก่อนจะละล่ำละลักถามว่า

“คุณพิศเรียกพี่เหรอ...คุณพิศใกล้จะหายแล้วใช่ไหม คุณพิศถึงเรียกพี่ได้ พี่ดีใจเหลือเกิน”

หลวงเดชดึงตัวภรรยามากอดแน่นด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบเดินออกไปพบกับนพ

ที่ห้องโถงหน้าเรือน หลวงเดชถามนพอย่างสงสัยว่ามาหาตนด้วยเรื่องอะไร นพอึกอักไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่แล้วก็ตัดสินใจเล่าให้อดีตนายฟังว่า

“ผมรู้สึกลำบากใจที่ไม่ได้บอกคุณหลวงเรื่องซ่อนกลิ่นครับ ผมรู้ว่าเธอทำไปเพราะรักคุณหลวง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง...ซ่อนกลิ่นพยายามทำเสน่ห์คุณหลวงครับ”

“ทำเสน่ห์เหรอ...จะไปทำได้ยังไง ถ้าทำจริงๆ

ฉันคงไม่เป็นแบบนี้หรอกนพ แต่ก็ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์บอก ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความผิดทั้งหมดเกิดจากฉันที่ยกซ่อนกลิ่นมาเป็นเมีย ครอบครัวจึงพบวิบัติ แต่ฉันไม่ทิ้งเขาหรอก นพวางใจได้”

นพยิ้มรับหน้าเจื่อนๆ เขาคงทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ ขณะนั้นเอง อรพิลาสเดินผ่านมาบริเวณห้องโถงเห็นนพเข้าก็ชักสีหน้าใส่ ยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้ ชายหนุ่มรับไหว้สีหน้านิ่งถามว่ายังอยากเรียนภาษาอังกฤษอีกหรือไม่ ตนพอจะมีเวลาสอนให้ อรพิลาสสวนกลับว่าคงไม่รบกวน นพแอบถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วลากลับทันที

หลวงเดชสั่งลูกสาวให้ไปช่วยแต่งตัวพิศเพื่อจะพาไปพบหมอ แต่อรพิลาสปฏิเสธว่าไม่ใช่หน้าที่ของเธอ

“แต่แม่พิศคือแม่แท้ๆของหนูอร คนเป็นลูกมีหน้าที่ดูแลบุพการี ไม่ใช่หน้าที่ของบ่าวไพร่”

อรพิลาสหงุดหงิดไม่เชื่อสิ่งที่บิดาบอก พิศร้องไห้ด้วยความเสียใจพรั่งพรูว่า

“แม่ขอโทษที่แม่ไม่ได้เลี้ยงดูหนูมา แต่ไม่เคยมีซักครั้งที่แม่ไม่คิดถึงลูก หนูคือแก้วตาดวงใจของแม่นะลูก”

“คุณพิศ นั่นคุณพิศหายดีแล้วเหรอ” หลวงเดชร้องทักและยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ

“ค่ะคุณพี่ น้องหายดีแล้วค่ะ ต่อไปนี้น้องจะดูแลคุณพี่กับลูกเองค่ะ”

อรพิลาสงงเป็นไก่ตาแตกทำอะไรไม่ถูก กรีดร้องว่าไม่จริงแล้วทำท่าจะวิ่งหนี ทั้งหลวงเดชและพิศตรงเข้ายื้อยุดฉุดกระชากไว้ เสียงหลวงเดชตะโกนสั่งบ่าวไพร่ให้ขึ้นมาบนเรือนดังลั่น อรพิลาสหยุดชะงักทันที

ไม่นานนัก เจิมและคนใช้อื่นๆมานั่งรวมกันเต็มห้องโถง หลวงเดชประกาศให้ทราบว่า

“ตอนนี้คุณพิศหายป่วยกลับมามีสติสัมป–

ชัญญะเหมือนเดิมแล้ว ฉันจะให้หนูอรกลับมาอยู่กับแม่ที่แท้จริงสักที”

เสียงอื้ออึงจากบ่าวไพร่ทุกคนเต็มไปด้วยความยินดี ต่างจากอรพิลาสที่ลุกพรวดไม่พอใจแย้งว่าตนไม่ยอมรับคำสั่งนั่น เจิมสวนขึ้นว่า

“แต่คุณพิศเป็นแม่ของคุณหนูอรจริงๆนะคะ คุณหนูอรควรจะกลับมาอยู่กับคุณพิศมากกว่าคนอื่นที่ไม่ใช่แม่นะคะ”

ผลกับพวงพยักหน้ายืนยันแข็งขัน อรพิลาสหน้าซีดไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง หลวงเดชดึงแขนอรพิลาสให้ขยับมาใกล้พิศที่โผเข้ากอดด้วยความดีใจ ทันใดนั้น ซ่อนกลิ่นเดินเข้ามาเห็นก็ตกใจ ร้องถามเสียงแหลมว่า

“นี่มันอะไรกันคะคุณพี่”

“มาก็ดีแล้ว ฉันให้ทุกคนในเรือนช่วยยืนยันว่าหนูอรเป็นลูกคุณพิศ ต่อไปหนูอรจะได้กลับมาอยู่กับแม่ตัวจริงซะที เพราะพิศหายดีแล้ว”

ซ่อนกลิ่นชะงักมองหน้าพิศแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ในขณะที่พิศยืนยันอย่างไม่เกรงกลัวว่า

“ฉันหายดีแล้ว ตอนนี้สติสัมปชัญญะของฉันครบสมบูรณ์ทุกอย่าง ฉันเลยอยากกลับมาทวงลูกของฉันคืน”

“หนูอรเป็นลูกฉัน ฉันไม่ให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น...

ฟังนะหนูอร ถึงแม่จะไม่ได้ให้กำเนิดลูกก็จริงแต่แม่ คนนี้ต่างหากที่เลี้ยงดูฟูมฟักหนูมาแต่อ้อนแต่ออก ผิด กับแม่พิศที่ไม่ทันไรก็เป็นบ้า ลูกคิดเอาเองแล้วกันว่า ใครกันที่หนูควรจะอยู่ด้วย”

อรพิลาสโผเข้ากอดแขนซ่อนกลิ่นแน่นน้ำตาไหลและมองพิศด้วยความสงสาร ก่อนจะตัดสินใจได้บอกกับทุกคนว่า

“ถึงยังไงคุณแม่ก็เลี้ยงหนูอรมา หนูอรก็ต้องเป็นลูกคุณแม่เหมือนกัน คุณพ่ออย่าพรากหนูอรไปจากคุณแม่เลยค่ะ หนูอรเชื่อว่าคุณพิศคือผู้ให้กำเนิด แต่หนูอร ยังทำใจไม่ได้ที่จะรับเขาเป็นแม่ในเวลานี้”

พิศน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ ขณะที่หลวงเดชเดือดจัดพยายามขัดขวางไม่ให้ซ่อนกลิ่นพาตัวลูกสาวออกไป แต่อรพิลาสกลับไม่สนใจรีบประคองมารดากลับเรือนเล็กทันที ซ่อนกลิ่นลอบยิ้มร้ายใส่พิศอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า

ooooooo

เย็นวันเดียวกันที่เรือนพระยาราชรักษ์ อัครยศเดินยิ้มเข้ามาอย่างอารมณ์ดี จนพระยาราชรักษ์อดไม่ได้ที่จะสะกิดให้ภรรยาดูลูกชาย ผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก คุณหญิงมณีหน้านิ่งไม่มีอารมณ์ร่วมได้แต่ถามว่า

“ตกลงผู้หญิงคนนั้นหายโกรธลูกแล้วเหรอ ถึงได้อารมณ์ดีแบบนี้”

“ครับคุณแม่ ผมตัดสินใจบอกความจริงเขาแล้วว่าผมไม่ใช่ลูกคุณพ่อคุณแม่ เขาถึงได้เข้าใจผมมากขึ้น ความจริงเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ เพียงแต่เขารู้สึก ว่าเขาต่ำต้อยเกินไป ไม่ควรที่จะคบกับผมเท่านั้นเอง”

คุณหญิงมณีชักสีหน้าไม่พอใจแหวใส่ลูกชายคนเล็กว่าเรื่องนั้นเป็นความลับของครอบครัว ทำไมทำอะไรไม่บอกกล่าวกันก่อน อัครยศหน้าเสียคาดไม่ถึงว่ามารดาจะโกรธ เขารีบอธิบายว่า

“ที่ผมตัดสินใจเล่าให้เนตรฟัง เพราะผมมั่นใจว่าเขาเป็นคนดีและไว้ใจได้ ถ้าคุณแม่ได้เจอกับเขาซักครั้งจะเข้าใจผม”

พระยาราชรักษ์ถอนหายใจอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นภรรยานั่งนิ่งด้วยอาการน้อยใจบุตรชาย เขาพยายามปลอบใจและแนะนำว่าควรหาโอกาสไปรู้จักว่าที่ลูกสะใภ้ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินคนโดยที่ยังไม่เคยได้โอภาปราศรัยกัน คุณหญิงมณีมีสีหน้าอ่อนลงครุ่นคิดคล้อยตาม

รุ่งขึ้น คุณหญิงมณีแต่งตัวสวยนั่งรออัครยศอย่างใจเย็น เมื่อบุตรชายเดินผ่านก็ทักอย่างแปลกใจ

“วันนี้คุณแม่แต่งตัวสวย จะไปไหนเหรอครับ”

“ก็ไปกับเราน่ะสิ แม่อยากไปทำความรู้จักกับแม่ค้าเจ้าเสน่ห์ของเราน่ะ พาแม่ไปหน่อยสิ”

อัครยศยิ้มหน้าบานดีใจรีบประคองมารดาออกไปขึ้นรถทันที เพียงไม่นานนัก เขาพาคุณหญิงมณีมาถึงหน้าบ้านของสาวคนรักพร้อมกับตะโกนเรียกเนตรเสียงดังลั่น โฉมฉายหรือในชื่อใหม่ว่าสร้อยได้ยินเสียงชายหนุ่มก็สั่งให้ลูกสาวไปเปิดประตูเพื่อต้อนรับแขก เนตรลุกพรวดขึ้นอย่างตื่นเต้นแทบจะทำอะไรไม่ถูก โฉมฉายยิ้มขำกับท่าทีนั้น

เนตรเปิดประตูสีหน้าระรื่น แต่พอเห็นคุณหญิงมณียืนอยู่กับอัครยศก็ตกใจรีบพนมมือทำความเคารพ คุณหญิงมณีรับไหว้อย่างไว้ตัวเอ่ยปากว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะหนู ตาตั้มพูดถึงเธอไม่หยุดปาก จนฉันต้องขอมาอุดหนุนขนมถึงบ้าน พร้อมกับทำความรู้จักกับคุณแม่สร้อยของหนูด้วย”

เนตรประหม่า คาดไม่ถึงว่าจะได้ต้อนรับมารดา ของชายคนรักรวดเร็วเพียงนี้ เธอเชื้อเชิญคนทั้งคู่เข้าบ้านและแจ้งให้มารดาทราบว่าคุณหญิงมณีมาเยี่ยมพร้อมกับบุตรชาย โฉมฉายตกใจร้องเสียงหลงว่าตนเองไม่ได้แต่งตัวพร้อมที่จะรับแขกได้เลย ทันใดนั้นเอง คุณหญิงมณียืนตะลึงงันเมื่อเห็นหน้ามารดาของเนตรที่เดินเข้ามาในห้องรับแขก

“คุณโฉม! จำฉันไม่ได้เหรอ ฉัน...มณีเพื่อนรักของคุณโฉมไง”

โฉมฉายยืนนิ่งมึนงงคล้ายกับจับต้นชนปลายไม่ถูก ในขณะที่คุณหญิงมณีโผเข้ากอดดีใจจนน้ำตาไหลพราก อัครยศย้อนถามมารดาว่ารู้จักน้าสร้อยได้อย่างไร คุณหญิงมณีเพิ่งสังเกตเห็นว่าโฉมฉายไม่ได้แสดงท่าทีว่าจำตนเองได้

“คุณน้าเคยถูกทำร้ายเมื่อยี่สิบปีก่อนครับคุณแม่ เลยสูญเสียความทรงจำไป”

คุณหญิงมณีมองเพื่อนรักด้วยความสงสารที่ผ่านชะตากรรมอันโหดร้าย แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นมาของโฉมฉายให้คนทั้งหมดฟัง อัครยศตื่นเต้นมากเมื่อรู้ว่าน้าสร้อยคือคุณโฉมฉาย ภรรยาเอกของหลวงเดชบริรักษ์ และยังมีลูกชายชื่อบวรยศอีกด้วย ต่างจากเนตรที่เกิดอาการขวัญเสียเลี่ยงขอตัวออกไปเดินเล่น อัครยศมองหญิงคนรักอย่างสงสัยรีบเดินตามออกไปที่ด้านนอก เนตรพรั่งพรูว่าตนไม่ได้รู้สึกดีใจกับเรื่องราวในอดีตของมารดาเพราะกลัวว่าโฉมฉายจะทิ้งความทรงจำที่นี่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมโดยลืมว่ายังมีเธอเป็นลูกสาว อัครยศเตือนสติสาวคนรักว่า

“ไม่จริงหรอกเนตร ฉันเชื่อว่าคุณน้าไม่มีทางทอดทิ้งเธอแน่ๆ ต่อให้เธอไม่เหลือใคร...ยังมีฉันอยู่อีกคนนะ ถ้าเธอรักแม่ก็ควรให้เขาพ้นจากความทรมานที่จำชีวิตของตัวเองไม่ได้มานานและได้ชีวิตเหมือนเดิมดีกว่าไหม ยากที่จะหนีความจริง”

เนตรพยักหน้าเห็นคล้อยตาม เดินกลับเข้าไป ในบ้านแล้วตรงเข้าโอบกอดมารดาร้องไห้บอกว่าตนกลัวจะถูกทอดทิ้ง โฉมฉายยิ้มและยืนยันว่าตนไม่มีวันทิ้งลูกสาวคนนี้ เนตรยิ้มดีใจทั้งน้ำตา คุณหญิงมณีเอ่ยปากกับเนตรเพื่อพาตัวโฉมฉายกลับไปหาสามี หญิงสาวมีทีท่ากังวล

“จะดีหรือคะคุณหญิง ในเมื่อแม่โดนคนที่บ้านหลวงเดชทำร้ายถึงได้เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ แล้วถ้าเขาเห็นว่าแม่ยังอยู่ดี หนูกลัวว่าแม่จะไม่ปลอดภัยค่ะ”

คุณหญิงมณีกับอัครยศมองสบตากันครุ่นคิดหาหนทางแก้ไขปัญหา ก่อนลูกชายจะยิ้มบอกว่ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร

ooooooo

อัครยศพามารดาไปพบหลวงเดชถึงที่เรือนเพื่อแจ้งข่าวสำคัญ แต่ต้องผิดหวังเมื่อทราบว่าเขาไม่อยู่ ตั้งแต่เช้า

“ผมว่าเรารอหลวงเดชก่อนสักพักดีไหมครับ ไหนๆก็อุตส่าห์มาแล้ว”

คุณหญิงมณีไม่มีทางเลือกอื่นจึงตัดสินใจนั่งรอ ธูปเห็นอัครยศก็รีบแจ้นไปแจ้งข่าวให้อรพิลาสทราบทันที หญิงสาวยิ้มดีใจกระวีกระวาดวิ่งไปที่เรือนใหญ่โดยด่วน ส่งเสียงทักทายดังลั่น

“กำลังพูดถึงหนูอรหรือเปล่าคะคุณตั้ม อยู่คุยด้วยกันนานๆนะคะ แล้วนี่คุณป้ามาหาคุณพ่อหรือคะ”

“จ้ะ ฉันนึกว่าหนูออกไปกับคุณพ่อซะอีก เห็นบ้านเงียบๆ แล้วนี่หนูรู้ไหมว่าคุณพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่”

อรพิลาสส่ายหน้าไม่ทราบพร้อมกับส่งสายตาหวานฉ่ำให้อัครยศ คุณหญิงมณีเห็นแล้วไม่สบอารมณ์รีบตัดบทขอตัวกลับ อัครยศย้อนถามมารดาว่า

“แล้วธุระของคุณน้าโฉมฉายล่ะครับคุณแม่ ป่านนี้คุณน้ากับเนตรคงรอแย่แล้ว”

คุณหญิงมณีขยับจะตอบแต่นึกขึ้นได้ว่าไม่สมควรพูดอะไรมาก บุ้ยใบ้ให้ลูกชายกลับขึ้นรถและหันมาสั่งความฝากอรพิลาสว่าพรุ่งนี้ตนกับพระยาราชรักษ์จะมาหาหลวงเดชอีกครั้ง หญิงสาวพยักหน้ารับทราบ จากนั้นเมื่อเดินขึ้นเรือนก็พบกับซ่อนกลิ่นที่ถามว่าหายไปไหนมา

“ไปคุยกับคุณตั้มและคุณหญิงป้าที่เรือนใหญ่มาค่ะ เห็นบอกว่ามีธุระสำคัญจะคุยกับคุณพ่อ”

ซ่อนกลิ่นแปลกใจ ในขณะที่อรพิลาสรายงานว่าธุระอะไรไม่ทราบ แต่ได้ยินสองคนคุยกันว่าคุณน้าโฉมฉายกับเนตรกำลังรออยู่ เท่านั้นเอง ซ่อนกลิ่นหูผึ่งทำหน้าครุ่นคิด

“โฉมฉายไหน...หวังว่าคงไม่ใช่อดีตเมียคนแรกของคุณหลวงนะ คนนั้นจมน้ำตายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว”

อรพิลาสตาโตเมื่อทราบเรื่อง เธอเล่าให้มารดาฟังว่าตนรู้จักแค่เนตรที่อัครยศกำลังตามจีบเท่านั้น สีหน้าซ่อนกลิ่นฉายแววกังวลพร้อมกับขอร้องว่า

“งั้นพาแม่ไปหานังสองคนนั่นหน่อยสิ แม่อยากไปดูให้แน่ใจว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่แม่คิด”

แล้วซ่อนกลิ่นก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบความจริงว่าโฉมฉายยังมีชีวิตอยู่ อรพิลาสเองก็ตกใจไม่น้อยถามมารดาว่าควรจะบอกบิดาในเรื่องนี้หรือไม่ ซ่อนกลิ่นสั่งห้าม เด็ดขาดเพราะตนจะจัดการเอง

บ่ายวันเดียวกัน ซ่อนกลิ่นใช้ธูปให้ไปตามตัวทองมาพบโดยด่วน บ่าวคนสนิทตาลีตาเหลือกตามหาเขาจนพบแล้วแจ้งว่านายหญิงมีงานให้ทำ ทองทำท่าลังเลสารภาพว่าคราวที่แล้ว ตนยังจัดการหลวงพ่ออุเทนไม่สำเร็จตามคำสั่ง ธูปตื่นตะลึงกับข่าวใหม่รู้แต่รับปากว่าจะไม่รายงานให้ซ่อนกลิ่นรู้

ตกเย็น ซ่อนกลิ่นยืนรอทองอย่างกระวนกระวายใจ เพียงไม่นาน ทองก็ปรากฏตัวขึ้นและถามว่าเรียกมาหาด้วยเรื่องอะไร ซ่อนกลิ่นมองค้อนทำหน้าไม่พอใจบอกว่า

“แกทำงานให้ฉันไม่สำเร็จ รู้ไหมว่าฉันไปเจอใครมา... นังโฉมฉายไงล่ะ”

“หา! นังนั่นจมน้ำตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“มันยังไม่ตาย แต่ไปอยู่บ้านคนอื่น แกต้องไปเก็บมันซะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!”

เวลาเดียวกันนั้นที่เรือนราชรักษ์ คุณหญิงมณีกับอัครยศต่างเล่าให้พระยาราชรักษ์ฟังถึงเรื่องพบกับโฉมฉายด้วยความบังเอิญที่เรือนของเนตร

“ว่าไงนะ คุณโฉมฉายยังไม่ตายแถมยังความจำเสื่อมอีก...แล้วนี่หลวงเดชรู้เรื่องรึยัง”

“ยังครับคุณพ่อ พอดีคุณหลวงออกไปข้างนอกผมกับคุณแม่มั่นใจว่าหลวงเดชจะช่วยฟื้นความจำคุณโฉมได้แน่ๆ”

ooooooo

ยามค่ำ หลวงเดชเดินโอบพิศเข้ามาในเรือนอย่างอารมณ์ดี พวงรีบเข้ามารายงานว่าวันนี้คุณหญิงมณีกับอัครยศมานั่งรอพบโดยบอกว่ามีธุระสำคัญจะเรียน ให้ทราบ เจิมแปลกใจเพราะไม่ได้ติดต่อกันนานหลายปีแล้ว พิศเอ่ยว่า

“คุณหญิงมณีไม่ได้มาที่เรือนคุณหลวงนานแล้วนะคะ น่าจะมีธุระสำคัญมากนะคะคุณพี่”

“นั่นสินะ หรือพี่ควรไปหาท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงเองดี จะได้เรียนให้ท่านทราบว่าคุณพิศหายดีแล้ว”

รุ่งเช้า หลวงเดชกับพิศเร่งรุดไปเยี่ยมพระยาราชรักษ์กับคุณหญิงมณีด้วยความสงสัย เสียงท่านเจ้าคุณร้องทักดีใจ

“ผมกำลังว่าจะไปหาคุณหลวงอยู่พอดี คุยกันที่นี่ดูจะสะดวกกว่า...คุณหญิงมณีมีข่าวดีจะบอกน่ะ”

“เช่นกันครับ ผมจะเรียนให้ทราบว่าคุณพิศหายป่วยแล้ว ตอนนี้กลับขึ้นมาอยู่บนเรือนด้วยกันแล้ว”

คุณหญิงมณีและพระยาราชรักษ์ได้ยินก็ดีใจมาก ก่อนพระยาราชรักษ์จะวกกลับเข้าเรื่องข่าวดีที่จะบอกกับหลวงเดชว่า

“คุณหญิงเพิ่งไปพบคุณโฉมฉายมา คุณหลวงรู้ไหมว่าคุณโฉมฉายยังมีชีวิตอยู่ เสียดายที่คุณโฉมได้รับบาดเจ็บจนสมองกระทบกระเทือน ความทรงจำเลยเลอะเลือนไป”

หลวงเดชกับพิศตื่นเต้นดีใจน้ำตาไหล เช่นเดียวกับเจิมร้องไห้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองนายหญิงให้อยู่รอดปลอดภัย พระยาราชรักษ์เร่งเตือนให้ทุกคนอดกลั้นความยินดีไว้ก่อนแล้วรีบไปรับโฉมฉายเสียโดยเร็ว

แต่ดูเหมือนเคราะห์กรรมของตระกูลเดชบริรักษ์ยังคงไม่จบสิ้นง่ายๆ เพราะเพียงไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น โฉมฉายก็ถูกทองบุกเข้าจับตัวถึงเรือน โฉมฉายพยายามวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล กระทั่งทองตามคว้าตัวเธอไว้ได้พร้อมกับตบหน้าเต็มแรงจนโฉมฉายล้มลงหัวฟาดถูกหินหมดสติไป ทองเข้าใจว่าโฉมฉายสิ้นฤทธิ์ แต่ที่ไหนได้ เธอลืมตาตื่นขึ้นในไม่กี่นาทีต่อมา โฉมฉายดิ้นรนต่อสู้สุดพลังพอลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีไม่คิดชีวิต

ทันใดนั้นเองรถของหมออรรถกรแล่นผ่านมา แถวนั้นพอดี เขาตกใจที่จู่ๆมีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งตัดหน้าในระยะกระชั้นชิดจึงเหยียบเบรกตัวโก่ง ไม่เกิดการเฉี่ยวชนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับโฉมฉายที่ตกใจสุดขีดจนสลบ ทองเห็นท่าไม่ดีจึงตัดใจวิ่งหนีไปด้วยความเจ็บใจ อรรถกรรีบอุ้มคนเจ็บขึ้นรถแล้วขับมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลทันที ระหว่างทางโฉมฉายรู้สึกตัวตื่นขึ้น อรรถกรจอดรถบอกกับโฉมฉายว่า

“ไม่ต้องตกใจนะครับ ผมกำลังพาคุณน้าไปโรงพยาบาลครับ ผมเห็นคนทำร้ายคุณน้าครับจึงช่วยไว้ได้ทัน”

“ฉันกลัว มันน่ากลัวมาก มันจะฆ่าฉัน...ช่วยฉันด้วยนะคะ”

เวลาเดียวกันนั้นที่เรือนยายรี คณะของหลวงเดชและพระยาราชรักษ์มาถึงแล้ว แต่ทุกคนต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพข้าวของภายในเรือนหกระเนระนาดเหมือนมีการต่อสู้เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น หลวงเดชวิตกกังวลว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับโฉมฉายแน่ เจิมกับผลรีบวิ่งออกไปสอบถามชาวบ้านในละแวกนั้นจนได้ความว่ามีคนร้ายวิ่งไล่จับตัวโฉมฉายแต่ได้รับการช่วยเหลือจากชายหนุ่มคนหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว

คุณหญิงมณีถึงกับเข่าอ่อนภาวนาขอให้เพื่อนรักปลอดภัย พระยาราชรักษ์ให้รออยู่ที่เรือนนี้เผื่อว่าโฉมฉายจะกลับมา ทุกคนมีสีหน้าวิตกกังวลไม่รู้ว่าโฉมฉายจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร

ด้านทองแอบลอบไปหาซ่อนกลิ่นที่สวนหลังเรือนหลวงเดชด้วยอาการตื่นตระหนก

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ฉันทำงานพลาด มีคนมาช่วยนังโฉมฉายไว้ แถมมีชาวบ้านเห็นฉันด้วย ฉันต้องติดคุกแน่ๆ”

ซ่อนกลิ่นได้ยินเข้าก็ตกใจสุดขีด ก่นด่าทองว่าหาเรื่องมาให้ตนจัดการอีกแล้ว แค่ผู้หญิงคนเดียวก็ทำไม่สำเร็จ

หลวงเดชเป็นห่วงโฉมฉายจนไม่เป็นอันทำอะไร สักพักเนตรกลับมาถึงเรือนก็ตกใจเมื่อเห็นมีคนอยู่เต็มไปหมด เธอใจเสียกวาดตามองหามารดาไม่พบ คุณหญิงมณีถลาเข้าไปหาแล้วบอกว่า

“หนูทำใจดีๆนะ มีคนเข้ามาทำร้ายคุณโฉม แต่มีคนช่วยพาเธอหนีไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่รอว่าคุณโฉมจะกลับมาไหม”

เนตรเข่าอ่อนทรุดลงร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ หลวงเดชซักถามว่าสงสัยใครบ้างไหม เนตรฉุกคิดขึ้นได้ว่า

“พวกเราไม่เคยมีเรื่องกับใคร แต่เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา...มีคนมาหาที่นี่ แม่เล่าว่าหนึ่งในนั้นคือคุณอรพิลาสค่ะ”

หลวงเดชตกใจคาดไม่ถึงว่าจะเป็นลูกสาวตัวเอง เขาเร่งรุดกลับเรือนเพื่อสอบถามให้ได้ความ ก็พบว่าอรพิลาสเคยลอบติดตามอัครยศไปยังเรือนเนตรเพราะเกิดความหึงหวงอยากรู้ว่าเขาอยู่กับใครแค่นั้น หลวงเดชนึกสงสัยถามต่อว่า

“นอกจากลูกแล้ว มีใครอีกไหมที่ไปบ้านของเนตร”

อรพิลาสชะงักหันไปมองทางมารดา ซ่อนกลิ่นจิกตาห้ามลูกสาวไม่ให้แพร่งพรายว่าเป็นใคร แต่แล้วอรพิลาสกลับบอกว่ามีคนไปที่บ้านนั้นพร้อมกับตน ซ่อนกลิ่นหน้าเสียใจเต้นรัวกลัวความผิด เสียงลูกสาวเล่าว่า

“ลุงผลค่ะ เขาเป็นคนขับรถพาหนูอรไป แต่หนูอรให้รอที่ริมถนนด้านนอกค่ะ มีเรื่องอะไรหรือคะคุณพ่อ”

“แม่ของเนตรเขาโดนทำร้าย ตอนนี้หายตัวไปแต่พ่อไปแจ้งตำรวจไว้แล้ว ทีหน้าทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ มันไม่ดี”

ซ่อนกลิ่นถอนหายใจโล่งอก ในขณะที่อรพิลาสแอบคาดคั้นมารดาว่าได้ส่งคนไปทำร้ายแม่ของเนตรหรือไม่ ซ่อนกลิ่นหลบสายตาลูกสาวทำท่าอึกอักไม่รู้จะหาทางปฏิเสธอย่างไร

ooooooo

เราใช้คุ้กกี้ 

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookie Policy)

รับทราบ