ตอนที่ 1
ณ ห้องอาหารวังจุฑาเทพ...
ม.ร.ว.ธราธร จุฑาเทพ หรือชายใหญ่ วัย 30 ปี โอรสของหม่อมเจ้าวิชชากร เป็นนักโบราณคดี ข้าราชการประจำกรมศิลปากร กำลังดูพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2500 อย่างขุ่นมัวใจ
“พบซากปราสาทโดนทำลาย”
ภาพประกอบข่าวคือซากปรักหักพังของปราสาท! ชายใหญ่พับหนังสือพิมพ์ลงด้วยใบหน้าขรึม เครียด สั่งถนอมคนขับรถให้เตรียมรถเพราะวันนี้มีสอนแต่เช้า ถนอมรับคำ หยิบกระเป๋าทำงานของชายใหญ่ออกไป
ชายใหญ่ชำเลืองภาพในหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้ง หยิบหนังสือพิมพ์ติดมือไปด้วยอารมณ์โกรธกรุ่นๆ
ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัย ชายใหญ่เห็นชินกร อาจารย์พิเศษสาขาโบราณคดีสถาบันเดียวกันถือกระเป๋าเดินสบายๆอยู่ จึงให้ถนอมเทียบรถเข้าไปทัก ถามว่าจะไปท่าพระจันทร์หรือเปล่า
“ไปครับ ผมมีสอนวิชาประวัติศาสตร์คาบแรกเลยครับ” ชินกรยิ้มแย้มอย่างคนคุ้นเคยกัน
“ผมมีสอนวิชาการแปลตอนเช้าเหมือนกันครับ เชิญไปด้วยกันนะครับ”
“ขอบคุณครับ” ชินกรยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่เปิดเผย เป็นธรรมชาติ ด้วยบุคลิกที่ร่าเริงอ่อนโยนแต่พอขึ้นนั่งในรถเหลือบเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ ก็ปรารภอย่างวิตกว่า “พวกล่าวัตถุโบราณออกอาละวาดอีกแล้วหรือครับ!!??”
ooooooo
เมื่อถึงมหาวิทยาลัย ชายใหญ่กับชินกรยังคง เดินคุยกันถึงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยอารมณ์ติดพัน
“ผมเห็นข่าวแล้วก็ไม่สบายใจ ตั้งใจว่าจะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ ในฐานะนักโบราณคดีเราจะหาทางป้องกันยังไง ได้ข่าวมาว่า ตอนนี้ทางยุโรปกับอเมริกาต้องการวัตถุโบราณจากประเทศในแถบเอเชีย เพราะเรายังไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด” ชายใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเครียดขรึม
“คิดแล้วก็แปลก คนตะวันตกอยากได้ของของเรา แต่เรากลับเห่อวัฒนธรรมตะวันตกเหลือเกิน ท่านนายกฯเราก็ออกกฎหมายเยอะแยะให้ทำตัวตามอย่างฝรั่ง อีกหน่อยวัฒนธรรมไทย การแต่งกายแบบไทย คงไม่มีเหลือ” ชินกรยังอารมณ์ค้างอยู่
“อาจารย์ชินกรพูดสมกับเป็นอาจารย์โบราณคดีจริงๆ”
“จริงนะครับ โดยเฉพาะสาวๆสมัยใหม่ แต่งตัวเปิ๊ดสะก๊าดขึ้นทุกวัน วันก่อนนักศึกษาห้องผมใส่กระโปรงมินิสเกิร์ตเข้าห้องเรียน โอ๊ย...ผมเชิญออกเลย หลังจากนั้น ได้ข่าวว่าถึงกับโดนคณบดีเรียกพบ...ไม่ไหว นับวันยิ่งสั้นขึ้นทุกที แล้วนักเรียนห้องคุณชายล่ะครับ มีปัญหาแบบนี้บ้างหรือเปล่า”
ขณะชายใหญ่กำลังคิดภาพนักเรียนในห้องเรียนตัวเอง ก็ชะงักกับเสียงกลองพาเหรดที่ดังเป็นจังหวะเข้ามา...
ที่สนามกีฬาในมหาวิทยาลัย กำลังมีการซ้อมพาเหรดของนักศึกษา โดยมีระวีรำไพ หรือมะปราง ดรัมเมเยอร์ 3 ปีซ้อนของมหาวิทยาลัย ควงคทานำ
ขบวนด้วยท่วงท่าสวยสง่า โยน รับ ตวัดคทาฉวัดเฉวียนคล่องแคล่ว ดึงดูดทุกสายตารอบสนามที่มองอย่างชื่นชมดรัมเมเยอร์ในดวงใจของพวกเขา
ระวีรำไพมองมาเห็นชายใหญ่มองอยู่พอดี ต่างยิ้มให้กันอย่างคุ้นเคย ชายใหญ่มองเธออย่างเอ็นดู...ระวี–รำไพยิ้มอย่างมีความสุข ดวงหน้าคมเข้ม นัยน์ตาคู่งามมีแววหวานแต่แฝงด้วยความเข้มแข็ง ยังคงตั้งใจฝึกซ้อมอย่างจริงจังต่อไป
ooooooo
เมื่อ 16 ปีก่อน...ที่หน้าวังแสงอาทิตย์
ชายใหญ่ธราธรในวัย 14 ปี ได้รู้จักกับระวีรำไพ ในวัย 4 ขวบ ซึ่งเป็นญาติผู้น้องที่เพิ่งกลับจากอังกฤษพร้อม ศ.ม.ร.ว.อาทิตย์รังสีผู้บิดา
วันนั้น ระวีรำไพมองทุกคนตื่นๆอายๆจนท่านพ่อเข้ามากุมไหล่ทั้งสองข้างอย่างอบอุ่น เอ่ยกับแขกที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างยิ้มแย้มว่า
“ลูกสาวผมเอง หม่อมหลวงระวีรำไพ มะปราง... กราบสวัสดีคุณลุงหม่อมเจ้าวิชชากรกับพี่ชายใหญ่ หม่อมราชวงศ์ธราธร จุฑาเทพ สิลูก”
“สวัสดีค่ะ” ระวีรำไพยกมือไหว้เขินๆ ทั้งหม่อมเจ้าวิชชากรและชายใหญ่ต่างยิ้มน้อยๆอย่างเอ็นดู
“ชายใหญ่จำน้องได้หรือเปล่า” ท่านพ่อถาม
“จำได้ครับ 4 ปีก่อนผมเคยมาเยี่ยมน้องตอนเพิ่งเกิด ก่อนน้องจะย้ายตามคุณอาไปอังกฤษ”
“พี่ชายใหญ่จำปรางได้ แต่ทำไมปรางจำพี่ชายใหญ่ไม่ได้คะคุณพ่อ” มะปรางถาม ท่านพ่อบอกว่า ตอนนั้นปรางยังแบเบาะอยู่เลย มะปรางยิ้มใสๆอย่างเข้าใจ
“ชายใหญ่...น้องเพิ่งตามคุณอากลับมาจากอังกฤษ ตอนนี้ยังไม่มีเพื่อน พ่อจะให้ชายใหญ่มาคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นเพื่อนเล่นกับน้องได้หรือเปล่า” ม.ร.ว.วิชชากรเอ่ยถาม ชายใหญ่ยิ้มแย้มรับคำด้วยความเต็มใจ ถามอย่างใส่ใจอ่อนโยนว่า
“น้องปรางชอบเล่นอะไรครับ?”
ระวีรำไพในวัย 4 ขวบ เล่นขายของ รอบตัวมีตุ๊กตาหวานแหวววางเหมือนบริวาร เบื้องหน้ามีชุด
นํ้าชาเด็กเล่นของอังกฤษ คุณชายใหญ่ในวัย 14 จึงต้องเล่นขายของกับเด็กหญิงวัย 4 ขวบ แม้จะไม่คุ้น แต่ก็เล่นด้วยอย่างสนิทสนมสนุกสนาน จนมะปรางคิสเป็นรางวัลให้
เวลาล่วงเลยมา 16 ปี ชายใหญ่มาเป็นอาจารย์ ระวีรำไพก็ยังได้มาเป็นลูกศิษย์ เธอเรียนอย่างมีความสุข บางครั้งก็ขาดสมาธิเพราะมัวมองปลื้มชายใหญ่อยู่ในใจ นั่งเหม่อจนอาจารย์ธราธรเรียก ถามว่าจะเหม่อไปถึงไหน หรือว่าสอนน่าเบื่อจนหลับใน
“ไม่ใช่นะคะ ปรางแค่...นึกถึงการบ้านที่อาจารย์หม่อมให้วันนี้ มันเยอะมาก จนคิดว่าต้องทำไม่ทันส่งแน่ๆค่ะ” เธอแก้ตัวพัลวัน จนดาราฉายเด็กเรียน และโสภิตาสาวเปรี้ยวเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ยืนอยู่ข้างๆ พากันสนับสนุนเสียงขรม บ่นว่าการบ้านมากจนมึน ขอเลื่อนการส่งรายงานเป็นอาทิตย์หน้าได้ไหม
“ไม่ได้ครับ” อาจารย์ธราธรตอบทันที ยํ้าว่า “ต้องส่งวันศุกร์เช้าก่อนเริ่มเรียน ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของทุกคน ต้องตั้งใจให้มาก ห้ามต่อรอง!”
“ค่า...” สามสาวตอบเสียงอ่อย
ชายใหญ่ถามระวีรำไพ ว่าเย็นพรุ่งนี้คุณอาว่างไหม ตนจะแวะไปเยี่ยมท่าน และฝากเรียนท่านด้วยว่า
“พี่จะไปเรียนเชิญท่านมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับชายภัทร กับชายเล็ก ที่กำลังจะกลับจากอังกฤษ”
โสภิตาดี๊ด๊า ถามว่าถ้าอย่างนั้น 5 คุณชายแห่งวังจุฑาเทพก็จะกลับมาอยู่กันครบแล้วสินะ หันมองหน้าดาราฉายที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แล้วพูดพร้อมกันว่า “ข่าวใหญ่แน่ๆ” โสภิตาตื่นเต้นจนรีบขอตัวไปกระจายข่าว ดาราฉายตามไปด้วย
“แหะๆ ปรางต้องขอโทษแทนโสภิตากับดารา–ฉายด้วยนะคะ” ระวีรำไพยิ้มแห้งๆ
“ไม่เป็นไร...พี่รู้ดีว่าน้องๆพี่เป็นยังไง สาวๆเมืองกรุงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีก็แล้วกัน” ชายใหญ่พูดยิ้มๆเมื่อนึกถึงน้องชายตัวแสบที่กำลังจะกลับในอีกไม่นานนี้
ooooooo
เย็นนี้ ที่สนามบินดอนเมือง นพ.ม.ร.ว.พุฒิภัทร หรือชายภัทร ม.ร.ว.รัชชานนท์ หรือชายเล็ก และ ม.ร.ว.รณพีร์ หรือชายพีร์ ลูกหลงของ ม.ร.ว.อุบลวรรณ มารดาเดียวกับชายใหญ่ พากันเดินมาที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ระหว่างทาง ชายพีร์ที่ท่าทางหลุกหลิกแววตาซุกซน ส่งสายตาหว่านเสน่ห์ให้สาวๆที่มองอย่างสนใจ
แล้วจู่ๆ ชายพีร์ก็แยกจากพี่ๆ ไปหาแอร์โฮสเตสที่ยิ้มให้ราวกับถูกพลังลึกลับดึงดูด จนชายเล็กต้องตามไปจิกกลับมา พอถูกชายภัทรดุว่าลืมไปแล้วหรือว่าพี่ชายใหญ่กับชายรุจรออยู่ ชายพีร์ก็ตอบหน้าขี้เล่น ว่าไม่ลืม แต่กว่าจะรอกระเป๋ารับกระเป๋าใช่ว่าจะเร็ว ตนก็แค่หาเพื่อนคุยฆ่าเวลารอเท่านั้น
“ครั้งนี้ พี่ชายรุจมาจัดการด้วยตัวเอง นายคิดว่าพวกเราต้องรอหรือรึไง” ชายเล็กดักคออย่างรู้ทัน
เมื่อรับกระเป๋าแล้ว ชายรุจ หรือปวรรุจ พี่ชายคนรองจากชายใหญ่ที่มาติดต่อจัดการการรับกระเป๋าทำให้ได้เร็วกว่าปกติ นับกระเป๋าที่วางเป็น 3 กอง แล้วบอกตามรายชื่อที่ติดกระเป๋าว่า
“กระเป๋าชายภัทร 5 ใบ ชายเล็ก 6 ใบ ของชายพีร์ 10 ใบ ครบถ้วนแล้วครับพี่ชายใหญ่” ชายใหญ่ขอบใจที่มาช่วยจัดการให้ ชายรุจพูดสบายๆว่า “งานที่สถานทูตทำให้ต้องติดต่อกับทางสนามบินบ่อยน่ะครับ ก็เลยพอจะมีเพื่อนอยู่บ้าง พี่ชายใหญ่จะให้ผมขนกระเป๋าออกไปเลยหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไร รอให้สามคุณชายจอมเถลไถลออกมาก่อน ไม่รู้หลงไปถึงไหน เครื่องลงตั้งนานแล้ว เดินมาไม่ถึงสักที”
“เดินมาโน่นแล้วครับ” ชายรุจชี้ให้ดูสามคุณชายที่กำลังเดินเท่ออกมา
เมื่อมาเจอชายใหญ่และชายรุจน์ ชายภัทรกับชายเล็กยกมือไหว้ แต่ชายพีร์ทำเนียนโผเข้ากอดชายใหญ่บอกว่าคิดถึงที่สุดเลย ทำราวกับจากกันไปนานมาก เลยถูกชายใหญ่ตบหลังแรงๆ ดันตัวออกพูดอย่างรู้ทันว่า
“น้อยๆหน่อยชายพีร์ เราเพิ่งไปไม่ถึงเดือน ทำมาเป็นคิดถึง ที่สำคัญเราแค่ไปเที่ยว ทำไมกระเป๋าถึงได้เยอะกว่าพี่ๆ ชายภัทรเรียนอยู่ตั้ง 15 ปี ยังมีแค่ 5 ใบ ขนซื้ออะไรมานักหนา”
5 คุณชายพี่น้องต่างมารดา แต่รักกันสนิทสนมกันมาก เย้าแหย่กันประสาพี่น้องแล้ว ชายใหญ่บอกน้องๆว่า
“พี่ว่าเรารีบเดินทางกันได้แล้ว หม่อมย่ากำลังรอพวกนายอยู่ โดยเฉพาะย่าอ่อนของนายพีร์ ร้องไห้คร่ำครวญคิดถึงหลานมาเป็นอาทิตย์แล้ว ไปยังไม่ทันจะถึงเดือน ไม่รู้จะคิดถึงอะไรนักหนา” ชายใหญ่พูดขำในที
ooooooo
ทันทีที่กลับถึงวังจุฑาเทพ ย่าอ่อนน้องสาวของย่าเอียดพระมารดาของหม่อมเจ้าวิชชากร ก็ถลาเข้าหาชายพีร์เหมือนคิดถึงใจแทบขาด จนไม่เห็นชายภัทรกับชายเล็กที่ยกมือไหว้
ย่าอ่อนกอดชายพีร์รำพึงรำพันความคิดถึง จนชายใหญ่พูดกับชายภัทรขำๆว่า
“ชายภัทรไปเรียน 15 ปี ชายเล็กไปเรียนเกือบ 10 ปี ยังไม่คิดถึงเท่าชายพีร์ไปเที่ยวไม่ถึงเดือน”
ชายพีร์กับย่าอ่อนยังกอดกันกลมรำพึงรำพันความคิดถึงกันไม่มีทีท่าจะจบ ตอนหนึ่งชายพีร์ปากหวานว่า
“ผมคิดถึงคุณย่า แล้วก็คิดถึงฝีมือตำน้ำพริกลงเรือที่ไม่มีใครสู้ได้ พี่ชายรุจหัดมาตั้งหลายปี ทำกี่ทีก็อร่อยสู้ฝีมือคุณย่าไม่ได้”
“เตรียมตัวกินน้ำพริกลงเรือติดต่อกันอีก 2 เดือนได้เลย” ชายภัทรกระซิบกับชายรุจแล้วพากันกลั้นหัวเราะกึกๆในลำคอ
ย่าอ่อนเกิดหูดีได้ยินเข้าเลยหันมาทำหน้าเชอะใส่ คุยอวดฝีมือน้ำพริกลงเรือแล้วบอกว่า วันนี้เตรียมอาหารที่หลานๆชอบ กินให้หายคิดถึงกันไปเลย แล้วนึกได้เร่งให้รีบขึ้นเรือน เพราะหม่อมย่ารอหลานๆอยู่แล้ว
ย่าอ่อนพาคุณชายทั้งห้าไปกราบย่าเอียด ย่าเอียดถามถึงการเดินทางของชายภัทร ชายเล็ก และชายพีร์แล้วขอหลานทั้งสองว่า
“เรียนจบกันมาคราวนี้ ไม่ต้องไปไหนไกลๆนานๆ ให้ย่าคิดถึงอีกแล้วนะ...ย่าอ่อนเตรียมอาหารเต็มโต๊ะ ไว้คอยท่า ลงมือเข้าครัวเองเชียว กว่าหลานๆจะมาถึง ต้องอุ่นแล้วอุ่นอีก รายนั้นกลัวว่าอาหารจะไม่ร้อน ไม่อร่อยเต็มที่”
ย่าเอียดถามว่าหิวกันหรือยัง ชายเล็กปากหวานว่าพอได้กลิ่นอาหารหอมและรู้ว่าย่าอ่อนลงมือทำเองท้องร้องจ๊อกเลย ย่าอ่อนค้อนเขินๆ พูดเชิงตัดพ้อว่า
“เอาไว้ให้ชิมก่อนเถอะพ่อ แล้วค่อยชม อีกหน่อย พอได้ชิมฝีมือเมีย ขี้คร้านจะลืมฝีมือย่า” พูดแล้วค้อนอีกรอบ
“โอ๊ย...อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลยครับ พวกเราเพิ่งจะกลับมาได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาห้าคนพี่น้อง ขอเที่ยวให้ช่ำปอดสักสองสามปี แล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงาน” ชายพีร์รีบขัดขึ้น ถูกย่าเอียดสวนเสียงเข้มว่า
“สองสามปี นานไป! ย่าไม่รอ อย่าลืมนะว่า ท่านพ่อของชายทั้งหลาย” ย่าเอียดมองไปที่รูปของหม่อมเจ้าวิชชากรที่แขวนผนังไม่ไกลนัก พูดอย่างมาดมั่นว่า “มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวเทวพรหม และก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพิตักษัย ท่านประสงค์สิ่งใดไว้...”
คุณชายทั้งห้ามองหน้ากัน ชายใหญ่ตอบแทนน้องๆอย่างชัดถ้อยชัดคำเป็นปฏิญญาว่า
“ท่านพ่อประสงค์ให้เราหนึ่งในจุฑาเทพแต่งงานกับธิดาของตระกูลเทวพรหม!!!”
ooooooo
ที่วังเทวพรหม...
แม้สภาพวังจะดูเก่าซอมซ่อ แต่ก็บ่งบอกถึงอดีตที่รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ของวังแห่งนี้ ม.ร.ว.เทวพันธ์ เทวพรหม ประมุขแห่งวังเทวพรหม มีธิดา 3 คน คือ ม.ล.เกษรา ม.ล.มารตี และ ม.ล.วิไลรัมภา
ทุกวันนี้ ทุกชีวิตในวังเทวพรหมดำรงอยู่ได้ด้วยการทำขนมไทยขายของเกษรา ซึ่งมีฝีมือทางด้านนี้ โดยเปิดหน้าร้านเล็กๆขายที่มุมวังโดยไม่มีที่นั่งทาน ตั้งชื่อร้านว่า “ขนมหวาน วังเทวพรหม” ซึ่งขายดีมาก โดยมีป้าแย้มเมียของสมหวังคนสวนเก่าแก่ของวังเทวพรหม คอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดตลอดมา
เกษรายกขนมถาดสุดท้ายไปวางหน้าร้าน พูดอย่างมีความหวังว่า
“ถ้าขายขนมชุดนี้หมดก็ดี จะได้มีเงินพอไปช่วยซ่อมประตูวัง คุณพ่อบ่นมาหลายเดือนแล้ว”
“แหม...ขนมคุณเกษก็ขายหมดทุกวัน ถ้าคุณ
ท่านไม่ขอเงินคุณเกษไปทำอย่างอื่น ป่านนี้ซ่อมประตูเสร็จไปนานแล้วค่ะ” ป้าแย้มพูดแล้วเห็นเกษรามองตำหนิด้วยสายตาก็รีบแก้ “ก็จริงนะคะ แย้มสงสารคุณเกษ ทำงานหนักหาเงินอยู่คนเดียว คนอื่นในเทวพรหมไม่เห็นจะเดือดร้อน”
“จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ควรพูดแบบนี้ อย่าลืมสิ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ถ้าคนอื่นมาได้ยินแล้วเอาไปพูดต่อ คุณพ่อจะเสียหาย”
ป้าแย้มขอโทษหน้าจ๋อย ตบปากสั่งสอนตัวเองที่ปากไวไปหน่อย เกษราถอนใจเบาๆอย่างเข้าใจความรู้สึกของป้า
ขณะนั้นเอง แหววคนรับใช้ที่มาคอยเป็นลูกมือช่วยทำขนมก็เข้ามาบอกอย่างตื่นเต้นว่า
“คุณเกษคะ...คุณท่านให้มาเชิญไปพบ บอกว่ามีธุระสำคัญมากค่ะ”
เมื่อสามใบเถาไปนั่งฟัง เทวพันธ์แจ้งธุระสำคัญแล้ว มารตีกับวิไลรัมภาอุทานพร้อมกันอย่างตื่นเต้นว่า
“งานดูตัวที่วังจุฑาเทพ!!”
มารตีอยู่ในชุดลำลองเปรี้ยวจี๊ด แม้จะจบพยาบาลทำงานโรงพยาบาลของรัฐ แต่เป็นคนชอบแต่งตัว ส่วนวิไลรัมภาอยู่ในชุดนักศึกษา เป็นคนเรียนเก่งแต่ก็แต่งตัวเก่ง ออกจะเป็นคนฟุ่มเฟือย เกษราหันตำหนิน้องสาวทั้งสองอย่างผู้ดีว่า
“มารตี รัมภา พูดจาน่าเกลียด หม่อมย่าเอียดท่านจัดงานต้อนรับคุณชายหลานท่าน ไม่ใช่มาจัดงานดูตัวของสองครอบครัวอย่างที่คิด” รัมภาเถียงด้วยหน้าใสซื่อว่า มาว่าตนแบบนี้ก็เท่ากับว่าคุณพ่อด้วย เกษราชี้แจงว่า “แต่คุณพ่อพูดว่า สองครอบครัวมาแนะนำตัว ไม่ใช่ดูตัว”
“จะแนะนำตัวหรือดูตัว มันก็ความหมายเดียวกัน ใครๆก็รู้ว่าตระกูลเทวพรหมกับตระกูลจุฑาเทพ ใกล้ชิดสนิทสนมกันตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ และหนึ่งในเรา หรือเราทั้งสามคนจะต้องแต่งงานกับคุณชายแห่งจุฑาเทพ” มารตีลอยหน้าฉอดๆ
“มารตีพูดถูก ก่อนท่านชายวิชจะสิ้น ท่านเป็น คนเอ่ยปากขอลูกสาวพ่ออย่างน้อย 1 คน ให้กับลูกชายท่าน เพราะฉะนั้น...ในวันงานก็ไปเลือกกันเอาเองว่าชอบใจใคร” เทวพันธ์พูดอย่างสบายใจเพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไร
มารตีกับวิไลรัมภายิ้มร่า แต่เกษรากลับก้มหน้าไม่เห็นด้วยกับทัศนะเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้าแย้ง ฟังพ่อพูดต่อเงียบๆ
“ทางโน้นเขามี 5 คน ทางเรามี 3 คน ไม่ว่ายังไง ลูกสาวพ่อก็ต้องได้แต่งงานกับคุณชายแห่งวังจุฑาเทพอย่างน้อย 1 คน!!” เทวพันธ์พูดด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“ถูกต้องที่สุด!! 5 ต่อ 3 ไม่ว่ายังไงก็ต้องได้แต่ง!!” เสียงย่าอ่อนที่วังจุฑาเทพเด็ดขาดหนักแน่นต่อหน้าคุณชายทั้ง 5 ที่นั่งท่านอาหารกันอยู่ที่โต๊ะ แล้วพรรณนาเจื้อยแจ้ว “สามสาวแห่งเทวพรหม สวย น่ารักทุกคน ชายภัทร ชายเล็ก ไม่ได้เจอกันนานคงจำหน้าน้องๆไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วง ในงานเลี้ยงจะได้เจอหน้ากันครบทุกคน”
ชายพีร์ซึ่งสนใจเรื่องนี้กว่าใครเพื่อน ถามย่าอ่อนว่าใครน่ารักที่สุด ย่าอ่อนชี้ว่าคนที่เหมาะกับชายพีร์
เห็นจะเป็นวิไลรัมภา อายุน้อยกว่าชายพีร์กับชายเล็กไม่ เท่าไร น่าจะเหมาะสมกันดี ชายพีร์กับชายเล็กมองหน้ากัน ชายเล็กรีบยกให้น้องชายบอกว่าตนหาได้ดีกว่านี้ ชายพีร์ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ เอ่ยชื่อเหมือนเพ้อหาอยากเห็น “หม่อมหลวงวิไลรัมภา...”
ooooooo
คุณชายทั้งห้าแห่งวังจุฑาเทพ ยังคงคุยกันอย่างครึกครื้นตื่นเต้นที่จะได้จับคู่กับสามสาวแห่งวังเทวพรหม
ไม่ผิดกับที่วังเทวพรหม มารตีและวิไลรัมภาต่างคุยถึงคุณชายแห่งวังจุฑาเทพกันอย่างกิ๊วก๊าวเช่นกัน
วิไลรัมภาประกาศขอจองหม่อมราชวงศ์รณพีร์ นายเรืออากาศประจำหน่วยรบพิเศษกองทัพอากาศไทย โยนหม่อมราชวงศ์รัชชานนท์วิศวกรที่เพิ่งจบจากอังกฤษให้มารตี แต่มารตีไม่รับเพราะตนหมายตาหม่อมราชวงศ์พุฒิภัทร์ แพทย์ด้านศัลยกรรมประสาทอยู่แล้ว
ฝ่ายที่วังจุฑาเทพ ชายภัทรพูดราวกับได้ยินมารตี จองตนว่า “คงจะเป็นไปได้แค่ความฝันน่ะครับ” ทำเอา ย่าอ่อนถามว่าทำไมพูดแบบนั้น เพราะมารตีเป็นถึง พยาบาลออกโก้หร่าน ตัวเองก็เป็นหมอ เหมาะสมกันที่สุด ชายภัทรติงว่าหมอก็ไม่จำเป็นต้องคู่กับพยาบาล อาจจะเป็นอาชีพอื่นก็ได้
“ก็จริง...จะอาชีพไหนไม่ว่า แต่ต้องมีเกียรติ มีชาติตระกูลเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ไปคว้าพวกเต้นกินรำกินมาเป็นเมีย...ย่าไม่ยอม!” ย่าเอียดที่นั่งฟังหลานๆอยู่นานเอ่ยขึ้น
ย่าอ่อนเห็นด้วยแล้วชวนกลับมาต่อกันที่สาวๆ
เทวพรหมดีกว่า ย่าอ่อนเสนอว่าวิไลรัมภากับชายเล็กหรือชายพีร์ดี สองชายที่ถูกถามนั่งทานข้าวไปฟังไปไม่ตื่นเต้น ย่าอ่อนคิดๆแล้วเสนอ “มารตีก็กับชายภัทร ต่อไปก็...ชายใหญ่!”
“อ้าว...แล้วพี่ชายรุจล่ะครับ” ชายพีร์ทำเสียงข้องใจ ย่าอ่อนสวนไปว่า “ไม่เกี่ยว สัญญานี้ทำกันระหว่างเทือกหงษ์กับหงษ์ พวกครึ่งหงษ์ครึ่งกาไม่นับ”
ชายรุจหรือปวรรุจ ซึ่งเป็นลูกที่เกิดกับหม่อมช้องนาง หม่อมคนที่สองที่เป็นต้นห้องของ ม.ร.ว.อุบลวรรณ ฟังย่าอ่อนแล้วแอบจุกแต่ไม่ถือสา ย่าอ่อนถูก
ย่าเอียดติงว่าพูดเกินไป ย่าอ่อนทำเป็นไม่สนใจชวนกลับมาคุยเรื่องชายใหญ่กันต่อว่า
“คนที่เหมาะสมที่สุดก็เห็นจะมีแต่...”
“พี่เกษคนเดียวเท่านั้น!!!” วิไลรัมภาที่วังเทวพรหม ซึ่งกำลังจับคู่ให้กันโพล่งออกไปราวกับได้ยินย่าอ่อนพูด
เกษราสะดุ้งทำหน้าแบบไม่ยอมรับ มารตีเสริมเป็นปี่เป็นขลุ่ยว่าตนสองคนไม่ขอแย่ง ใส่พานยกให้เลย
“เกษว่าไง พ่อเห็นไปมาหาสู่กับชายใหญ่อยู่บ้าง ถ้าชายใหญ่ขอแต่งงานขึ้นมา พร้อมหรือเปล่า”
“เร็วไปมังคะคุณพ่อ เกษกับพี่ชายใหญ่รู้จักกันแค่ผิวเผิน”
“ก็ทำความรู้จักกันมากขึ้นสิ จะรอช้าอยู่ทำไม” ย่าอ่อนที่วังจุฑาเทพเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นชายใหญ่อึกอักแล้วอ้างงานออกตัวว่าช่วงนี้งานยุ่งไม่มีเวลาไปเยี่ยมน้องเกษมากนัก ย่าเอียดเอ่ยขึ้นเชิงเห็นด้วยกับย่าอ่อนว่า
“ชายใหญ่ก็ต้องหาเวลาให้น้อง จะมัวแต่ทำงานไม่ได้ ผู้หญิงดีๆ อย่างเกษราไม่ได้หาง่ายๆ ทั้งงานบ้าน งานเรือน กิริยามารยาทสมกับเป็นผู้ดีชาววัง ถ้าชอบพอกัน ย่าจะได้พูดคุยทาบทามหาฤกษ์หายามแต่งงานให้มันเป็นเรื่องเป็นราว”
เป็นเวลาเดียวกับที่มารตีและวิไลรัมภาที่วังเทวพรหมต่างเอาตัวรอด มารตีบอกว่า
“ถ้าพี่เกษแต่งกับคุณชายใหญ่ก็ถือว่าสัญญาที่จะให้ทายาทจุฑาเทพแต่งงานกับทายาทเทวพรหมก็เป็นอันสำเร็จ”
“แล้วเราสองคนล่ะคะ” วิไลรัมภายังกังวล เสียง ย่าอ่อนที่วังจุฑาเทพตอบทันทีว่า
“ก็แต่งได้อีก!! ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าให้แต่งแค่คนเดียว ถ้าชายภัทร ชายเล็ก หรือชายพีร์ ถูกใจมารตี หรือรัมภาก็สามารถแต่งได้อีก แต่งทั้ง 3 คู่เลยก็ได้” ย่าอ่อนยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้ง ยิ่งพูดก็ยิ่งสนุก แต่คุณชายทั้งสองที่ถูกเอ่ยถึงมองหน้ากันเหวอ
“โชคดีนะ...ฉันรอดคนเดียว” ชายรุจยิ้มอย่างโล่งใจ...
วิไลรัมภากับมารตีต่างวางแผนที่จะแต่งตัว ทำตัวให้ชายพีร์กับชายภัทรติดตาต้องใจ เกษรายังคงนิ่งจนกระทั่งเทวพันธ์ยํ้าว่า
“ส่วนเกษก็ต้องทำให้คุณชายใหญ่ยอมแสดงท่าทีออกมาให้ได้ว่าคิดยังไงกับลูก รู้รึเปล่า?”
เกษราทำหน้าไม่ถูกอึดอัดขัดใจกับความรู้สึกของตัวเอง เช่นเดียวกับชายใหญ่ธราธรที่ถูกย่าอ่อนกะเกณฑ์จนต้องแสดงท่าทีว่า
“ผมทราบครับ ในฐานะพี่คนโต ผมต้องเป็นคนแรกที่รับผิดชอบต่อคำสัญญาของท่านพ่อ แต่ผมเองยังไม่
รู้จักน้องเกษดีพอ เลยยังตอบไม่ได้ว่า เธอคือคนที่ผม... ชอบหรือเปล่า”
“ชายใหญ่ ย่าขอถามตามตรง เรามีผู้หญิงอื่นอยู่ในใจหรือเปล่า” ย่าเอียดถาม
เป็นคำถามที่แทงใจดำชายใหญ่จนตอบไม่ออก น้องๆทั้งสี่มองเป็นตาเดียวกันรอคำตอบ ชายใหญ่มองย่าเอียด มองย่าอ่อน แล้วก็อึ้ง...พูดไม่ออก...
ooooooo
ที่วังแสงอาทิตย์ของอาทิตย์รังสี วันนี้บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษเพราะชายใหญ่จะมา โดยเฉพาะระวี- รำไพหรือมะปรางสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ เข้าครัวเตรียมของคาวหวานไว้ต้อนรับจนท่านพ่อหยอกว่า
“แค่พี่ชายใหญ่แวะมาเยี่ยม ลูกพ่อถึงกับลงครัวเองเชียวรึ”
มะปรางแก้เกี้ยวว่าอยากรู้ว่าฝีมือตัวเองเป็นอย่างไร เพราะทำให้ท่านพ่อก็มีแต่ได้รับคำชม ทำให้พี่ชายใหญ่ทานแล้วจะได้ขอความเห็นว่าฝีมือดีพอจะอวดแขกได้หรือยัง
เมื่อชายใหญ่มาถึง อาทิตย์รังสีพาเข้าไปนั่งคุยกันในห้องรับแขก ชายใหญ่เรียนท่านว่า
“หม่อมย่าประสงค์จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับหลานๆ
ที่วังไม่ได้จัดงานมานานแล้ว ท่านตั้งใจจะจัดใหญ่และฝากให้ผมมาเรียนเชิญคุณอากับคุณอากัลยาครับ”
ไม่นาน มะปรางจึงให้น้อยกับดาวเรืองประคองถาดใส่นํ้ากระท้อนลอยมะลิกับสาคูไส้หมูมาต้อนรับ ปรากฏว่าได้รับคำชมจากชายใหญ่ว่า “ชื่นใจจริงๆ ทั้งรส ทั้งกลิ่นเข้ากันได้ดี” ทำเอามะปรางยิ้มแก้มแทบปริ แต่แล้วก็หน้าเจื่อนเมื่อชายใหญ่พูดอย่างเอ็นดูว่า “มีน้องสาวอยู่คนเดียว ถ้าไม่ชมน้องสาวตัวเองแล้วจะไปชมใคร”
อาทิตย์รังสีวกกลับมาเรื่องที่คุยค้างกันอยู่ ถามว่างานจะเริ่มกี่โมง ชายใหญ่เรียนว่างานจะจัดวันศุกร์นี้เวลาประมาณทุ่มครึ่ง แล้วชวนมะปรางไปงานด้วย เธอยิ้มตาเป็นประกายแต่พอนึกได้ว่ายังไม่ได้ขออนุญาตท่านพ่อก็เก็บอาการ จนเมื่อท่านพ่อพยักหน้า มะปรางจึงตอบชายใหญ่ด้วยนํ้าเสียงแจ่มใสว่า
“ได้ค่ะ...ปรางไปได้ค่ะ...”
อาทิตย์รังสีมองทั้งสองออก ได้แต่นึกพึงพอใจและเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
ooooooo