เอ่ยถึงคำว่า อัศวิน (Knight) ทุกๆคนก็คงรู้จักกันดี แต่ถ้าจะให้รู้ลึกว่าอัศวินนั้นมีที่มาอย่างไร ทำยังไงถึงจะได้เป็นอัศวิน เชื่อว่ามีน้อยคนที่จะทราบรายละเอียด คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลสัปดาห์นี้จึงขอพาแฟนานุแฟนไปรู้จักตัวจริงของอัศวินกันครับ
อัศวินนั้นมีประวัติความเป็นมาอยู่ว่า คือนักรบ ผู้อุทิศตน มีหน้าที่คุ้มครองผู้ที่มีอำนาจ หรือคุ้มครองสตรี เป็นวีรบุรุษในการต่อสู้และสงคราม ตลอดจนในการประลองฝีมือ สร้างชื่อเสียงเกียรติยศจนมีตำแหน่งอัศวิน และมีคุณความดีต่อราชวงศ์และบ้านเมือง แต่ก็ใช่ว่าอัศวินจะมีอยู่ในยุโรปตะวันตกนะครับ เพราะตั้งแต่สมัยกรีกก็มีอัศวินอยู่เหมือนกัน โดยโซลอน (Solon) กำหนดว่า นักรบกรีกที่จะมีตำแหน่งสูงถึงขั้นอัศวิน จะต้องเป็นบุคคลชั้นที่ 2 ตามกฎหมายของเอเธนส์
ในยุคของโรมัน อัศวินคือผู้เก่งกาจทางการรบบนหลังม้า และแม้จะ ไม่ใช่นักรบ หากแต่เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญของบ้านเมืองได้ ก็เป็นอัศวินได้เช่นกัน
อัศวินในยุโรปนั้น มีคติที่ว่า “มีหัวใจเป็นอิสระและมีร่างกายที่แข็งแกร่ง” เพราะชีวิตของอัศวินนั้นต้องผูกพันอยู่กับการสู้รบที่มีอยู่ทั่วไปในยุโรปสมัยโบราณและยุคกลาง ไม่ว่าจะเป็นอัศวินของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ซึ่งส่วนใหญ่ในสมัยยุคมืดของยุโรป บรรดาอัศวินผู้สวมเกราะเหล็ก มือถือโล่และอาวุธ ตระเวนดูแลดินแดนที่ตนรับผิดชอบจากกษัตริย์หรือขุนนางที่เป็นนายของอัศวิน ต้องตระเวนอยู่บนหลังม้า ใช้ชีวิตอยู่กับการต่อสู้ไปจนตาย นอกจากอัศวินบางคนที่เก่งกาจ และมีอำนาจมากก็สร้างปราสาทเป็นที่อยู่ขึ้น ซึ่งปราสาทจะใหญ่หรือเล็กก็แล้วแต่อำนาจวาสนาของอัศวินนั้นๆ แล้วก็มิใช่สร้างเอาไว้อยู่เท่านั้นหรอกครับ บรรดาปราสาทนั้นๆยังใช้เป็นที่มั่นของอัศวินเมื่อยามถูกรุกรานด้วย
...
ในศตวรรษที่ 13 ดินแดนทั้งหลายในยุโรป แต่ละเมืองหรือแคว้นจะถูกแบ่งดินแดนออกนับเป็นพันๆแห่ง แต่ละแห่งจะมีขุนนางปกครอง ซึ่งขุนนางนั้นก็จะมีอัศวินเป็นผู้คุ้มครองตนและอาณาเขต ทำความ อุ่นใจต่อประชาชน เพราะบางทีอัศวินจากถิ่นอื่นอาจยกกำลังบุกเข้ามายึดเอาพื้นที่ อัศวินของฝ่ายตนก็จะต้องยกกำลังไปขับไล่
แล้วอัศวินนั้นมาจากไหนกันเล่าครับ ก็จากบุตรชายของขุนนางอัศวินที่จะมาจากราษฎรสามัญนั้นก็คงจะมี แต่ว่าน้อยมากครับ แต่ถึงจะมีพ่อเป็นอัศวินก็ตาม กว่าที่ทายาทจะเติบโตเป็นอัศวินที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ บุตรของอัศวินจะถูกอบรมให้ดำเนินรอยตามแบบของอัศวินหรือบิดา ตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบ เริ่มตั้งแต่เล่นขว้างหินในสนามหรือห้องหินในปราสาท สตรีที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงก็จะเล่านิทานเกี่ยวกับการรบพุ่ง ต่อสู้ เรื่องที่จะนอนฟังแต่เทพนิยายแฟรี่เทลนั้นยากครับ
เด็กชายที่อายุเลย 7 ขวบ จะถูกส่งตัวไปเป็นผู้รับใช้และฝึกงานอยู่ในปราสาทของอัศวิน มีบางคนที่อาจถูกส่งจากปราสาทใหญ่ไปยังปราสาทที่ห่างไกลอันเป็นที่อยู่ของอัศวินเป็นครั้งคราว เพื่อฝึกให้เป็นผู้เก่งกาจในการสู้รบ ขี่ม้า ยิงธนู และฟันดาบ
แต่ก็มิใช่ว่าอัศวินจะไม่สนใจศิลปศาสตร์แขนงอื่น ผู้ที่มาดหมายจะเป็นอัศวินยังต้องเรียนการคำนวณจากลูกคิด หัดอ่าน-เขียนนิดหน่อย มิฉะนั้นจะอ่านสาส์นรักจากสาวไม่ออก นอกจากนี้เพื่อมิให้นอกรีตนอกรอย ก็จะถูกอบรมจากนักบวชประจำปราสาทอย่างเข้มงวด ซึ่งจะต้องฝึกไปเช่นนี้จนถึงอายุ 14 ทีเดียวครับ
ครั้นอายุได้ 14 คราวนี้ก็จะต้องฝึกอาวุธที่ทำด้วยไม้ไปก่อน จนชำนาญจึงเปลี่ยนเป็นอาวุธหอกหรือดาบเหล็กแถมพกด้วยลูกตุ้มหนามมีโซ่ร้อย จากนั้นก็จะต้องฝึกอาวุธสำคัญคือ ไม้ด้ามยาวถึง 10 ฟิต มีปลายหุ้มเหล็ก แหลนศึกหรืออาวุธยาวนี้ถือเป็นอาวุธสำคัญชนิดหนึ่งซึ่งจะต้องถือพลางควบม้าเข้าไปแทงเป้าให้ถูก เป้านั้นเป็นวงกลม 2 ชั้น ถ้าแทงแม่นถูกกึ่งกลางก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับ แต่ถ้าแทงพลาดไปถูกวงกลมนอกที่มิใช่จุดหมาย กลไกที่เป้าก็จะเหวี่ยงลูกตุ้มหนามเหล็กที่มีโซ่ร้อยออกมาตีผู้แทง หลบไม่ทันก็บาดเจ็บ เป็นการสอนว่าถ้าแทงศัตรูไม่ตาย ศัตรูก็จะทำอันตรายตอบแทน
...
ดังนั้น หนุ่มอนาคตอยากจะเป็นอัศวินจะต้องฝึกให้แม่น หลบให้คล่อง เพราะการต่อสู้ชนิดนี้นั้น คือการต่อสู้ที่จะทำให้ตนก้าวไปสู่ความเป็นอัศวิน และนอกจากจะฝึกการรบสารพัดแล้ว ในยามไม่ได้ฝึกก็จะต้องทำหน้าที่รับใช้อัศวินในปราสาทนั้นไปด้วย อยากเป็นผู้กล้าแถวหน้าก็ต้องหัดเป็นเบ๊ไปก่อนครับ
เมื่อฝึกจนอายุ 21 เขาก็ จะเริ่มเข้าสู่ตำแหน่งสไควร์ (Squire) ในตอนนี้ จะต้องมีเกราะของตัวเอง พร้อมทั้งอาวุธ เมื่อเริ่มสวมเกราะทั้งชุดและมีหมวกสุดเท่ทว่าหนักอึ้ง ก็เดินกร่างดูโก้ขึ้นมาแล้ว แต่ว่าตอนขึ้นม้าก็ยังขึ้นเองไม่ได้หรอกครับ เพราะเกราะเหล็กนั้นหนัก ขึ้นม้าไม่ดีก็จะเอียงตกไปอีกข้างหนึ่ง ในตอนนี้จึงต้องมีผู้ช่วยประคองขึ้นม้าลงม้าถึง 2 คน โดยเฉพาะในการต่อสู้ แทงกันด้วยอาวุธยาวบนหลังม้า ถ้าพลาดท่าเสียที ถูกแทงตกลงมา จะลุกไม่ขึ้นเพราะเกราะหนัก ผู้ช่วยเหลือจะต้องช่วยพาตัวให้ลุกขึ้น ลากมาถอดเกราะนอกช่องวิ่งของม้าที่ต่อสู้ (Jousting Barriers) ช่วยดูแลประคับประคองไปจนกว่าจะแข็งแรงทนน้ำหนักของเกราะไหว เมื่อเป็น สไควร์แล้ว มิใช่จะได้อยู่เฉยๆ สบายๆ เพราะจะต้องช่วยคนใช้กวาดปราสาท ทำความสะอาด ต้องรู้จักวิธีการ “ซักเกราะเหล็ก” ซึ่งมักจะขึ้นสนิมง่าย อัศวินจะขี้เกียจจนเกราะขึ้นสนิมได้อย่างไรใช่ไหมครับ จึงต้องมีการซักเกราะเหล็ก ซึ่งมีถังไม้แข็งแรง หมุนได้ตามนอนบนขาตั้งหัวท้าย กลางถังที่รัดปลอกเหล็กแข็งแรงมีช่องให้ใส่เสื้อเกราะเข้าไปได้ ยัดเสื้อเกราะเข้าไปแล้วจึงเอาทรายกับน้ำมันเทใส่เข้าไปปิดช่องแล้วก็หมุนถังด้วยที่หมุน จนเกราะถูกทรายขัดขาวดีมีน้ำมันจับจึงนำออกมาเช็ดให้ดูขาววาววับ
...
สไควร์จะต้องมีหน้าที่ต้อนรับแขก และบางทีต้องร่วมอภิปรายข้อโต้แย้งต่างๆของอัศวินทั้ง หลายด้วย และถ้าเขาเก่งกล้าในการประลองอาวุธบนหลังม้า ยิงธนูแม่น แทงเป้าไม่พลาด จนมีผู้ยกย่องเห็นว่าเขาสมควรจะได้เป็นอัศวิน พิธีการของผู้ที่ได้รับเลือกเป็นอัศวินก็จะเริ่มขึ้น
นักรบผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน จะตื่นแต่เช้ามืดเข้าไปสวดมนต์ทำพิธีกับพระในโบสถ์เป็นเวลานาน โดยแต่งกายธรรมดามีเสื้อเกราะและอาวุธวางไว้หน้าแท่นบูชา เสร็จแล้วก็จะรับประทานอาหารเช้า แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อเกราะแล้วออกมายังห้องโถงใหญ่ บรรดาอัศวินทั้งหลายรุ่นก่อนๆและขุนนางตลอดจนผู้สูงศักดิ์และสตรีชั้นสูงจะมาดูพิธีนี้เต็มห้องโถงของปราสาทหรือวังเพื่อดูความเติบโตของหนุ่มผู้เก่งกล้า ผู้เป็นใหญ่ของดินแดน อาจเป็นกษัตริย์ หรือขุนนางผู้ใหญ่ชั้นเจ้าครองนคร จะออกมานั่งเป็นประธาน และเมื่อผู้ที่จะได้รับตำแหน่งอัศวินเดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า และก้มศีรษะลงเพื่อขอตำแหน่งอัศวิน ประธานในพิธีนั้นก็จะลุกขึ้นมาใช้ดาบอาญาสิทธิ์ของเขาแตะลงบนบ่าขวา-ซ้าย 3 ครั้ง พร้อมกับกล่าวว่า
“ในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า เซนต์มิเชล และเซนต์ยอร์ช เราขอแต่งตั้งบุคคลผู้นี้เป็นอัศวิน เป็นผู้กล้าหาญ”
...
จากนั้นท่ามกลางสายตาของคนทั้งหมด อัศวินใหม่ก็จะลุกขึ้นโค้งคำนับ แล้วหันเดินออกไปจากปราสาท โดยทุกคน ในที่ประชุมตามออกมา ตอนนี้ล่ะครับสำคัญนักอัศวินใหม่จะขึ้นม้าพร้อมกับอาวุธยาวเพื่อแสดงความสามารถในการควบเข้าแทงเป้ามิให้ผิดพลาดถูกเป้าเหวี่ยงด้วยลูกตุ้มจน “ตกม้าตายตอนจบ” เป็นที่เย้ยไยไพ เขาจะ ต้องตั้งใจและข่มใจจากความตื่นเต้น เพื่อแทงเป้าให้ดีที่สุด
ซึ่งเมื่อการประลองผ่านไปด้วยดี (ด้วยร้ายตกม้ายังนึกภาพไม่ออกครับ) ก็จะมีเสียงโห่ร้องชมเชยและจากนั้นการเลี้ยงฉลองอัศวินใหม่ก็จะเริ่มขึ้นเป็นการใหญ่ หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่อัศวินหนุ่มจะออกไปสร้างวีรกรรมให้เป็นที่จารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ต่อไป.
โดย :พิพัฒน์
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน