เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก่อนที่ผมจะเดินทางไปถึงย่าน “3 แพร่ง” เพื่อร่วมงาน “ศิลปะชุมชน” ที่ผมเขียนเล่าด้วยความประทับใจในฉบับเมื่อวานนี้ไปแล้วนั้น...ผมหยุดแวะที่ศูนย์การค้า Platinum ประตูนํ้าก่อนครับ ใช้เวลาอยู่ที่นั่นเกือบๆชั่วโมงเลยทีเดียว

จริงๆผมไม่ตั้งใจจะแวะหรอกครับ แต่ด้วยเหตุที่ผมมีปัญหาเรื่องต่อมลูกหมาก ทำให้ต้องปัสสาวะทุกๆ 45 นาที

ปรากฏว่าผมขึ้นรถแอร์เบอร์ 60 จากบ้านผมเพื่อจะไปปากคลองตลาดอันเป็นจุดที่สามารถเดินย้อนไป 3 แพร่งได้โดยสะดวกนั้นใช้เวลาประมาณชั่วโมงเข้าไปแล้ว ขณะที่มาถึงประตูนํ้า

ไม่สามารถจะอดทนอดกลั้นได้อีกแล้ว จึงต้องลงที่ป้ายแรกเยื้องๆกับศูนย์การค้า Platinum หรือ “แพลตตินั่ม” อันโด่งดังไปทั่วโลกนั่นเอง เพื่อที่จะเดินไปอาศัยเข้าห้องนํ้าบรรเทาทุกข์ขนาดเบาของผม

ก็เลยโชคดีได้พบได้เห็นบรรยากาศอันสดใสที่ประตูน้ำ ทำให้มีข้อมูลข่าวสาร และเรื่องราวเก่าๆด้วยมาฝากท่านผู้อ่านในวันนี้

ในแง่ข้อมูลข่าวสารก็คือ ผู้คนแน่นแพลตตินั่มเลยครับ เมื่อวันอาทิตย์เบียดเสียดกันเต็มไปหมด

ผมสังเกตว่า ผู้คนที่แน่นเอี้ยดนั้นเป็นนักท่องเที่ยวกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และส่วนใหญ่ก็ยังเป็นนักท่องเที่ยวจีน โดยมีนักท่องเที่ยวเอเชียที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเวียดนาม และอินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย อีกจำนวนหนึ่ง ฝรั่งและตะวันออกกลางก็พอมีครับ แต่น้อยหน่อย

เห็นแล้วก็ใจชื้นขึ้นมาเยอะ เพราะลุ้นอยู่ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้าย จะกระเตื้องขึ้นบ้างหรือไม่? ซึ่งเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวยังแน่น “แพลตตินั่ม” อย่างนี้ ก็พอจะยิ้มออกว่า ไตรมาสสุดท้ายยังพอมีความหวังบ้างละน่า

...

เพื่อให้มั่นใจมากขึ้น ผมเดินลงไปที่ร้าน แมคโดนัลด์ ซึ่งอยู่ในตึกแพลตตินั่มนั่นแหละ แต่ค่อนไปจนเกือบจะถึงสะพานเฉลิมโลกโน่นแล้วสั่งแฮมเบอร์เกอร์มาชุดหนึ่งออกไปนั่งรับประทานที่โต๊ะริมถนนเพื่อถือโอกาสสำรวจสถานการณ์การท่องเที่ยวต่อไป

บรรยากาศดีมากครับทั้งร่มและก็เย็นมีลมโกรกอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญมีนักท่องเที่ยวเดินไปเดินมาไม่ขาดสายตลอดเวลาเช่นกัน

ขณะที่นั่งอยู่นั่นเอง ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตรงจุดนี้นี่แหละที่เคยเป็นที่ทำงานสำหรับงานชิ้นแรกในชีวิตของผมหลังเรียนจบธรรมศาสตร์

เพราะบริเวณนี้ในอดีตเมื่อเดินข้าม สะพานเฉลิมโลก 55 มาจากซีกราชประสงค์แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าประตูน้ำ จะเจอตึกแถวยาวเป็นพรืด

เดินมาหน่อยหนึ่ง ตรงที่ผมนั่งละเลียดแมคโดนัลด์นี่แหละเคยเป็นโรงจำนำ และถัดไปอีกนิดจะเป็นร้าน ชื่อ “ใต้ดินสโตร์”

นี่คือจุดที่ผมมายืนนับรถที่จะแล่นผ่านประตูน้ำ เมื่อ พ.ศ.2507 อยู่ 1 เดือนเต็มๆ

ช่วงนั้นกรุงเทพฯเริ่มมีปัญหารถติดแล้วครับ และก็มีคนร้องเรียนไปยังรัฐบาลว่า “วงเวียนราชเทวี” ซึ่งอยู่บนถนนเดียวกันนี่แหละ แต่เลยไปหน่อยรถติดมาก เพราะตัววงเวียนเป็นต้นเหตุ

รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยอยากรู้ว่า วงเวียนจะเป็นต้นเหตุรถติดจริงไหม จึงขอร้องให้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ มาสำรวจให้ ทำให้ผมซึ่งเพิ่งเรียนจบธรรมศาสตร์หมาดๆมาสมัครเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่สำนักงานสถิติแห่งชาติได้แค่ 3 วัน ถูกส่งไปยืนนับรถทันที

ผมได้รับมอบให้ยืนนับตรงหน้าโรงจำนำและร้านใต้ดินสโตร์ ส่วนเพื่อนอีก 3 คน ก็ไปยืนที่ 3 จุดของสี่แยกประตูน้ำที่เหลือ

ส่วนอีก 4 คน ถูกส่งไปยืนนับที่ 4 มุมของวงเวียนราชเทวี

เรานับกันอยู่ 1 เดือนเต็มๆ ตั้งแต่เช้าถึงค่ำทุกวันไม่หยุด

ปรากฏว่า 4 แยกประตูน้ำ ซึ่งใช้ระบบไฟจราจร รถไหลได้ดีกว่าวงเวียนราชเทวี ซึ่งให้รถแย่งกันเองเยอะเลยครับ ทางรัฐบาลจึงตัดสินใจรื้อน้ำพุราชเทวี แล้วทำเป็น 4 แยก ติดไฟแดงตั้งแต่นั้นมา

ผลงานชิ้นแรกในชีวิตผมนี่ยิ่งใหญ่เหมือนกันนะครับเนี่ย มีส่วนในการรื้อวงเวียน น้ำพุราชเทวี เลยเชียวล่ะ

ไหนๆมานั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ในจุดที่เคยยืนนับรถเมื่อ 55 ปีโน้น โดยมิได้ตั้งใจมาก่อนอย่างนี้แล้วก็ขออนุญาตระลึกความหลังแถมให้ด้วย

พร้อมกับย้ำอีกทีว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวของประเทศไทย ณ นาทีนี้จะเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ แต่ ณ แพลตติน่ัม ประตูน้ำนั้นไซร้ ทุกอย่างยังแจ่มแจ๋วครับ...ถ้าที่ท่องเที่ยวอื่นๆเป็นอย่างนี้ด้วย ก็พอจะประมาณได้ว่าเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้ แม้ไม่ถึงขั้นดีมาก แต่ก็จะไม่แย่มากอย่างแน่นอน เอาใจช่วยเต็มที่เลยครับท่านเลขาสภาพัฒน์.

“ซูม”