กลุ่มสามารถรุกหนักธุรกิจโซลูชั่นความปลอดภัย ส่ง วิชั่น แอนด์ ซีเคียวริตี้ ซิสเต็ม ผนึกกำลัง NICE จากประเทศอิสราเอล เสิร์ฟเทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการสถานการณ์ต่างๆ รายเดียวในไทย...
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและมีแนวโน้มการเกิดขึ้นได้ทุกสถานที่ บริษัทจึงนำเสนอซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท วิชั่น แอนด์ ซีเคียวริตี้ ซิสเต็ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัทสามารถ และบริษัท NICE จากประเทศอิสราเอล เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายซอฟต์แวร์ 2 ประเภท คือ Nice Situator ระบบบริหารจัดการเหตุการณ์ และ NICE Suspect Search ระบบค้นหาบุคคลเป้าหมายอย่างรวดเร็ว เพียงรายเดียวในประเทศไทย
เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทเชื่อว่าความเชี่ยวชาญของ บมจ.สามารถเทลคอม ในฐานะผู้ให้บริการ System Integrator พร้อมหน่วยบริการซ่อมบำรุง 38 ศูนย์ทั่วประเทศ ร่วมกับบริษัท วิชั่น แอนด์ ซีเคียวริตี้ ซิสเต็ม ที่มีความเชี่ยวชาญกว่า 10 ปี ในการติดตั้งและดูแลระบบกล้องวงจรปิด จะสามารถนำเสนอโซลูชั่นได้อย่างครบถ้วน ทั้งการออกแบบ ติดตั้ง และบริการซ่อมบำรุงรักษา รวมถึงการให้บริการแบบให้เช่าใช้ระบบ อุปกรณ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่บริหารจัดการและบริการซ่อมบำรุง
สำหรับหน่วยงานสำคัญที่ใช้บริการติดตั้งและดูแลระบบกล้องวงจรปิดของบริษัท ได้แก่ กระทรวงกลาโหม, สนามบินสุวรรณภูมิ, 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้, ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ, เทศบาลจังหวัดชลบุรี เป็นต้น
นายสมหมาย ดำเนินเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิชั่น แอนด์ ซีเคียวริตี้ ซิสเต็ม จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานราชการ ประมาณ 70% และกลุ่มเอกชน 30% โดยบริษัทตั้งเป้าจะขยายลูกค้าในกลุ่มเอกชนเพิ่มขึ้นเป็น 40% ภายในปี 2559 จากการเร่งทำตลาดในกลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ เพื่อสนับสนุนการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ชดเชยการชะลอใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนการแข่งขันในกลุ่มการให้บริการซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยนั้น ปัจจุบันมีคู่แข่งขันในประเทศไทยอีกเพียง 2-3 ราย ที่ให้บริการในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าธุรกิจในกลุ่มโซลูชั่นความปลอดภัยนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% ต่อปี และมีมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท แต่จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ก็เชื่อว่าตลาดดังกล่าวจะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% ในปีนี้ เนื่องจากองค์กรต่างๆ มีแนวโน้มสนใจลงทุนโซลูชั่นความปลอดภัยเพิ่มขึ้น รวมถึงยังคงนิยมใช้บริการซอฟต์แวร์ตรวจสอบและแจ้งเตือนความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ 200-300 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการยังคงอยู่ในช่วงชะลอการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีโครงการซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับหน่วยงานภาครัฐด้วย ซึ่งคาดว่าหากเกิดความร่วมมือในโครงการดังกล่าวก็จะสามารถทำให้บริษัทมีการรับรู้รายได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จากโครงการดังกล่าวที่มีมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท.
...