ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเริ่มให้ความสนใจเรื่องของความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือเลอโนโว (Lenovo) บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกจากประเทศจีน
ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้สัมภาษณ์กับ ธเนศ อังคศิริสรรพ ผู้จัดการทั่วไป เลอโนโว อินโดจีน ในประเด็นความยั่งยืน ซึ่งในเวลานี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของเลอโนโว ทั้งในประเทศไทย และระดับโลก
ธเนศ เล่าว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้เลอโนโวเริ่มตระหนักถึงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมาจากการดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละวันนั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในทางตรงและทางอ้อม
“ในมุมมองของเลอโนโว คิดว่า ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นความรับผิดชอบทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ธุรกิจ-องค์กร และระดับประเทศ”
ธเนศ กล่าวต่อไปว่า ความร่วมมือเหล่านี้เลอโนโวมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขในระดับเร่งด่วน จึงกลายเป็นหัวข้อลำดับต้นๆ ที่เลอโนโวกำลังให้ความสำคัญ
...
ผู้จัดการทั่วไป เลอโนโว อินโดจีน อธิบายต่อไปว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เลอโนโว ได้รับการรับรองเป้าหมายการเป็นบริษัท Net-zero ภายในปี 2050 จาก Science Based Targets initiative (SBTi) โดยมีเป้าหมายสองระยะ แบ่งเป็นระยะสั้น และระยะยาว
ระยะสั้น หรือ Near-term targets คือ ภายในปี 2030
- เลอโนโวตั้งเป้าในการลด Scope 1 และ Scope 2 ของ GHG Emission ให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยเทียบสัดส่วนจากปี 2019 โดยการลด Scope 1 คือการลดการปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรและโรงงานการผลิตของเลอโนโว และ Scope 2 คือการลดการปล่อยมลภาวะที่เกิดขึ้นจากการซื้อพลังงานมาใช้ในเรื่องต่างๆ อาทิ การซื้อพลังงานไฟฟ้ามาใช้สำหรับสำนักงานของเลอโนโว เป็นต้น
- ตั้งเป้าลด Scope 3 ของ GHG Emission โดยลดมลภาวะที่เกิดจากการขนส่ง และการกระจายสินค้าลง 25 เปอร์เซ็นต์ต่อตัน-กิโลเมตรของการขนส่ง, ลดจำนวนการใช้พลังงานของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในหมู่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เลอโนโวเพื่อลดการปล่อยมลภาวะให้ได้มากขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์
- เป้าหมายระยะสั้นทั้งใน Scope 1 และ Scope 2 ปัจจุบันดำเนินการได้ตามที่วางไว้
ส่วนเป้าหมายระยะยาว Long-term targets คือการลดการปล่อยมลภาวะทั้งใน Scope 1, 2 และ 3 ให้ได้ 90 เปอร์เซ็นต์ และในส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจะมาจากการการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, การฟื้นฟูสภาพป่าไม้ และวิธีการอื่นๆ
เป้าหมายสู่ความเป็น Net-zero ของเลอโนโวครอบคลุมทั้งห่วงโซ่ Value chain, การดีไซน์ออกแบบผลิตภัณฑ์, การผลิต, การขนส่งและการบริการ
ส่วนประเด็นที่ว่า ในระยะหลังบริษัทเทคโนโลยีเริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืน หรือ Sustainability จนเหมือนจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ ทางธเนศ ให้ความเห็นว่า เรื่องของความยั่งยืนอาจไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเทรนด์ แต่ควรถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของส่วนรวม
“ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเป็นหน้าที่ของคนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ หรือองค์กรที่สามารถใช้แพลตฟอร์มที่ตัวเองมีอยู่ให้เกิดประโยชน์ด้านความยั่งยืนได้ในวงที่กว้างขึ้น”
สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของเลอโนโว ที่เน้นในเรื่องสิ่งแวดล้อม เริ่มมีการผลิตมาแล้วประมาณ 10 ปี เช่น ผลิตภัณฑ์ของเลอโนโวในตระกูล ThinkPad ได้รับการรับรอง EPEAT Gold และ ENERGYSTAR ว่าช่วยประหยัดพลังงาน อีกทั้งในปี 2030 เลอโนโวยังได้มีการตั้งเป้าที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป เซิร์ฟเวอร์ให้ประหยัดไฟได้มากกว่าเดิม 50 เปอร์เซ็นต์ และให้ผลิตภัณฑ์แล็ปท็อปประหยัดไฟได้มากกว่าเดิม 30 เปอร์เซ็นต์
ต่อมาเป็นเรื่องของการใช้พลาสติกที่เคยถูกใช้งานมาแล้วนำกลับมาใช้ใหม่โดยนำไปแปรรูป เพื่อผลิตภัณฑ์เป็นชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์ของเรา อาทิ ผลิตภัณฑ์แล็ปท็อปในรุ่น ThinkPad X1, แล็ปท็อป ThinkPad Z Series, แล็ปท็อป Yoga ในปัจจุบันมีรายการสินค้าของเลอโนโวเกือบ 300 รายการที่มีการนำวัสดุพลาสติกรีไซเคิลมาใช้เป็นส่วนประกอบ
...
นอกจากนี้ ในส่วนของบรรจุภัณฑ์ เลอโนโวได้ยกเลิกการใช้เทปพลาสติกเพื่อซีลฝากล่องใส่อุปกรณ์และเปลี่ยนมาใช้กล่องที่ทำขึ้นจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างเยื้อต้นไผ่ และต้นอ้อยในการทำเป็นบรรจุภัณฑ์เพื่อใส่แล็ปท็อป ThinkPad ของเลอโนโว โดยตัวกล่องถูกออกแบบให้สามารถปิดกล่องได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้เทปพลาสติกเป็นตัวซีลเพื่อปิดกล่อง ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ซึ่งสามารถลดปริมาณวัสดุด้านบรรจุภัณฑ์ลงได้ถึง 3,100 ตัน
“เราได้ตั้งเป้าว่า จะมีการนำเอาพลาสติกเหลือใช้น้ำหนักรวม 300 ล้านปอนด์ มาใช้ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังต้องการให้ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ของเลอโนโวทั้งหมดมีส่วนประกอบที่ทำมาจากพลาสติกเหลือใช้ในทุกรุ่นภายในปี 2025” ธเนศ กล่าว
...
สุดท้ายเป็นเรื่องของการทำให้พลังงานกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในทุกการพื้นที่ปฏิบัติการของเลอโนโวจากทั่วทุกมุมโลกมาจากแหล่งพลังงานที่สามารถหมุนเวียนได้ และลดการปล่อยก๊าซให้ได้ 1 ล้านตันจากระบบ ซัพพลายเชนภายในปี 2025 เช่นกัน