กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีนามว่า REvil ประกาศเรียกเงินค่าไถ่ สำหรับปลดล็อกให้กับทุกองค์กรที่โดนโจมตีเป็นเงิน 70 ล้านดอลลาร์ พร้อมเงื่อนไขขอเป็นเงินบิตคอยน์

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่เรียกตัวเองว่า REvil ลงมือกระทำการเป็นอาชญากรทางไซเบอร์อีกครั้ง โดยเข้าไปโจมตีบริษัทซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า Kaseya

หลังประสบความสำเร็จในการโจมตี REvil ประกาศว่า พวกเขาสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ได้มากกว่า 1 ล้านเครื่อง พร้อมกับยื่นเงื่อนไขเป็นเงิน 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปลดล็อกให้กับธุรกิจและองค์กรที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีครั้งนี้ อย่างไรก็ดี จำนวนเงิน 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ว่านั้น ไม่ได้ขอเป็นเงินสด แต่ขอเป็นสกุลเงินบิตคอยน์ เพื่อให้ยากต่อการติดตามร่องรอยทางการเงิน

REvil เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่คาดว่ามีถิ่นฐานในประเทศรัสเซีย และเคยอยู่เบื้องหลังการจู่โจมองค์กรต่างๆ ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่ หรือ Ransomware มาอย่างต่อเนื่อง

ทางด้าน Fred Voccola ซีอีโอของ Kaseya เปิดเผยว่า บริษัทตกเป็นเหยื่อจากการโจมตีที่มีความสลับซับซ้อน อย่างไรก็ดี ผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่โดยกลุ่ม REvil มีจำนวนไม่มากนัก และส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก ถึงกระนั้นบริษัทก็มีความพยายามที่จะร่วมมือกับลูกค้าทุกรายเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ที่ผ่านมาการโจมตีของแฮกเกอร์มักจะเลือกลงมือในช่วงวันหยุดยาว เพราะเป็นการง่ายต่อการลงมือ ซึ่งการโจมตีของ REvil ครั้งล่าสุดก็เป็นไปตามนั้น เพราะพวกเขาลงมือในช่วงวันเฉลิมฉลองวันชาติสหรัฐอเมริกา 4 กรกฎาคม

ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลาง (Federal Bureau of Investigation) หรือเอฟบีไอ (FBI) กล่าวว่า จะดำเนินการสอบสวนในเรื่องนี้ และอยากให้เหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการถูกซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่ เข้ามาให้ข้อมูล พร้อมกับเชื่อว่าข้อมูลที่ได้จากเหยื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการรับมือกับกลุ่มแฮกเกอร์ในอนาคตข้างหน้า

ทางด้าน Anne Neuberger ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงทางไซเบอร์และเทคโนโลยีเกิดใหม่ ออกแถลงการณ์ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งการให้ทุกองคาพยพทุ่มสรรพกำลังในการตรวจสอบการโจมตีครั้งนี้

ที่น่าสนใจ ในการโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้น หลังการพบปะเป็นครั้งแรกของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งในการพบกันนั้นได้มีการพูดคุยถึงประเด็นของกลุ่มแฮกเกอร์หลายกลุ่มที่คาดว่ามีต้นทางและอาศัยอยู่ในประเทศรัสเซีย อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาไม่เชื่อว่ารัฐบาลรัสเซียอยู่เบื้องหลังหรือให้การสนับสนุนใดๆ แต่ก็จะยังคงมีการตรวจสอบต่อไป

ที่มา: Washington Post

...