ดราม่าสนั่นวงการเสื้อวินเทจ หนุ่มแจ้งความพ่อค้ารุ่นพี่ บังคับภรรยาท้อง 8 เดือน มีเพศสัมพันธ์ หลังติดหนี้ค่าเสื้อหลักแสน ด้านรุ่นพี่ปฏิเสธ อ้างมีแค่การทำร้ายร่างกาย
วันที่ 23 ต.ค.67 กรณีเฟซบุ๊กเพจ "บ้าข่าวไปเรื่อย" โพสต์แฉเรื่องราวของวงการเสื้อวินเทจว่า มีรุ่นพี่ทำร้ายร่างกายรุ่นน้อง เพราะหาเงินมาใช้หนี้หลักแสนไม่ได้ ก่อนจะบังคับเมียรุ่นน้องที่ท้อง 8 เดือน ขึ้นรถขอมีอะไรด้วย จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์นั้น
ความคืบหน้าล่าสุด นายทิศ อายุ 27 ปี พร้อม น.ส.อ้อย (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ เดินทางไปแจ้งความกับ ร.ต.อ.ประจักษ์ คำนาค รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมือง บุรีรัมย์ เพื่อให้เอาผิดกับ พ่อค้าขายเสื้อวินเทจรุ่นพี่ อายุ 46 ปี ชาวจังหวัดชลบุรี
โดย น.ส.อ้อย เล่าว่า เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ตนนั่งรถไปกับสามีไปจังหวัดชลบุรี เพื่อต้องการเคลียร์หนี้ที่สั่งซื้อเสื้อวินเทจกับกลุ่มรุ่นพี่ เพราะยังค้างเงินที่ยังไม่ได้จ่ายประมาณ 160,000 บาท เมื่อไปถึงประมาณตี 3 วันที่ 20 ต.ค. สามีไปคุยกับคนที่ปล่อยเครดิต ตนเรียกว่า "พ่อป." อายุ 46 ปี เพราะนับถือกันตั้งแต่รู้จักกันมาเมื่อประมาณ 8 เดือนที่ผ่านมา
...
แต่ไม่รู้สามีกับกลุ่มนั้นคุยกันแบบไหน สุดท้ายเขาให้ตนนั่งรถไปกับ พ่อป. ส่วนสามีไปนั่งรถอีกคัน ระหว่างนั่งรถไปนั้นไม่รู้ว่าเขาพาไปไหนขับรถไปเรื่อยๆ พ่อป. เริ่มด้วยการจับมือ ตอนแรกคิดว่าเป็นการให้กำลังใจ แต่กลับพยายามดึงตัวตนเองเข้าไปแนบอก พร้อมกับบอกว่า "รู้หรือยังว่าควรจะทำอย่างไร หากไม่ได้ใช้หนี้"
ตนพยายามบอกว่าไม่รู้ หลังจากนั้น พ่อป. ได้พยายามถลกกระโปรงตัวเองขึ้นไป ตนพยายามปิดหลายครั้งกลับโดนบังคับขอมีเพศสัมพันธ์ ตนไม่รู้จะทำอย่างไรได้แค่กราบและขอร้องบอกว่า หนูท้อง 8 เดือน แต่พ่อป. ไม่สนใจเอามือไปล้วงอวัยวะเพศของตน ยอมรับว่าไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แค่กราบนานหลายชั่วโมง ตนพยายามปกป้องตัวเองทุกวิถีทาง เวลาประมาณบ่าย 2 ได้รับโทรศัพท์จากสามี ว่าหาเงินได้แล้ว พ่อป. จึงหยุดการลวนลาม ส่วนตัวอยากถามว่า พ่อป. ที่นับถือกันทำไมทำได้ขนาดนี้ ทั้งที่ตนเองท้องถึง 8 เดือน
ด้าน นายทิศ เล่าว่า เมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา ตนได้รู้จักกับกลุ่มเสื้อวินเทจ และรุ่นพี่คือ นาย ป. ให้เครดิตเสื้อมาก่อนเป็นเงินกว่า 190,000 บาท ตนจึงเอามาขาย แต่ขายยากเสื้อยังไม่หมด ถูกนายปลายข่มขู่ จึงขับรถไปกับภรรยาเพื่อจะไปเจรจาหนี้ โดยระหว่างเจรจาตนบอกว่าผมจ่ายไปแล้ว 30,000 บาท ที่เหลืออีก 162,450 ตนจะหามาให้เพราะกำลังขายบ้านได้
แต่ นาย ป. ไม่ยอม และบังคับให้ตนหามาให้ได้ภายในวันนั้น หลังจากนั้น นายป. ให้เลือกเอาว่าจะให้ใครมาเป็นตัวประกันเอาไว้ก่อน ส่วนอีกคนให้ไปหาเงินมาจ่าย ตนพยายามต่อรองด้วยการเอารถของตนเองมามัดจำไว้ก่อน เมื่อหาเงินได้จะเอามาไถ่คืน แต่นาย ป. ไม่ยอม ได้แยกตนกับภรรยาออกไป ตนจึงให้พ่อและเพื่อนจำนำทั้งรถจำนำที่ดิน เพื่อไถ่ภรรยาซึ่งกำลังท้องแก่ออกมาก่อน และเอาเสื้อวินเทจที่เหลือขาย
หลังจากตนได้เงินมา ตนเอาโอนไถ่แฟนออกคืน เมื่อเวลาประมาณบ่าย 2 ของวันที่ 20 ต.ค. จึงลาเพื่อนรุ่นพี่กลับบ้านที่บุรีรัมย์ ระหว่างทางแฟนได้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ยอมรับว่ารับไม่ได้ เมื่อมาถึงบุรีรัมย์ ไปแจ้งความเพื่อต้องการดำเนินคดีกับนาย ป. โดยไม่หวั่นกลัวถึงแม้จะรู้ว่าเขามีตำรวจใหญ่หนุนหลังก็ตาม
ทั้งนี้ ตำรวจได้ทำการสอบปากคำเบื้องต้นแล้ว จะส่งสำนวนไปยัง สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินการต่อไป
ทางด้าน ชายที่ถูกอ้างเป็นรุ่นพี่ดังกล่าว ได้เผยว่า ตนช็อกเลยหลังจากที่เห็นสื่อโซเชียลเอาเรื่องราวไปลง แล้วมีคนเข้ามาด่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นจริงๆ เป็นการนัดชำระหนี้กัน ประเด็นแรกเรื่องหนี้สินก่อน พอดีมีการจัดงานเสื้อผ้าวินเทจ น้องเป็นพ่อค้าก็จะมาเที่ยวอยู่แล้ว และหนี้สินที่เกิดขึ้น ก็มาจากเสื้อผ้าที่ขายกัน
เมื่อน้องเขามาถึงช่วงเวลาประมาณตีหนึ่ง รุ่นพี่ที่ดื่มอยู่ก่อนก็ได้ชวนไปดื่มกันที่หน้าโรงแรมตรงที่รุ่นพี่พัก พอถึงเช้าตนหาโรงแรมให้น้อง แต่ด้วยความที่เป็นวันเสาร์ทำให้ไม่มีห้องว่าง ตนก็ไปช่วยหาห้องในโรงแรมที่รุ่นพี่จองไว้ และถามรุ่นน้องว่านอนบ้านตนไหม รุ่นน้องก็บอกว่าไปนอนที่บ้านตนก็ได้ จังหวะนั้นตนก็ถามเรื่องเงิน เพราะไม่เห็นมีการพูดเรื่องเงิน แต่น้องพอกลับบอกไม่มีเงิน ตนโมโหจึงได้ลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายไปอันนี้ยอมรับเป็นการตบต่อยเรื่องจริง
ส่วนเรื่องที่กล่าวหาว่าตนขู่บังคับขอมีอะไรกับเมียรุ่นน้องที่ท้อง 8 เดือนอันนี้ไม่เป็นความจริง เพราะตนมีโรคประจำตัวอยู่ มีความเสื่อมสมรรถนะทางเพศ ไม่จริงเลยที่จะขอมีอะไรกับเมียรุ่นน้อง ซึ่งวันที่เกิดเหตุตนทำร้ายร่างกายเสร็จก็ขับรถพาวนไปคุยกันไป พอโมโหตนก็ทำร้ายอีกยอมรับทำไปเพื่อข่มขวัญที่จะเอาเงิน แต่ทางรุ่นน้องไม่มีเจตนาจะใช้หนี้ เลยบอกว่ายังไงก็จะเอาเงินมาใช้หนี้ และได้ถามว่าจะหาเงินมาจากไหน ซึ่งรุ่นน้องก็บอกว่าจะเอารถไปจำนำกับญาติ
ตนก็ยังเป็นห่วงและถามอีกว่าจะขับรถไหวไหม เดินทางไปกลับไหวไหม รุ่นน้องก็ตอบว่ากลับไหว จึงบอกว่าถ้าจะเดินทางไปแล้วกลับมา ก็ให้แฟนอยู่ที่นี่ก็ได้ จะได้ไม่ต้องเป็นการไปกลับเพราะเดินทางลำบาก และบอกว่าถ้าติดใจเอาความเรื่องทำร้ายร่างกาย ก็สามารถไปแจ้งความได้
หลังจากนั้น ประมาณ 8 โมง รุ่นน้องก็ได้ขี่รถไป และกลับมาช่วงประมาณบ่าย 2 นำเงินกลับมา 100,000 กว่าบาท และใช้หนี้ตนจนหมด ตนก็ไม่ได้ถามว่าเอาเงินจากใคร หรือเอามาจากไหนพอเห็นว่าใช้หมดต้นก็เลยแล้วไป ซึ่งในที่เกิดเหตุมีพยานหลายคน ไม่มีการฉุดกระชากลากตามที่บอก รุ่นน้องสามารถเดินเข้าออกบ้านได้ตามปกติ วันนั้นก็ยังมีการนั่งคุยกันตามปกติ รุ่นน้องก็ยังมีมาขอโทษตน และตนก็ขอโทษกลับ และนั้นก็คิดว่าเหมือนไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นแล้ว เพราะต่างคนต่างจบ
ตนบอกว่าอันไหนที่ผิดตนก็ยอมรับผิดส่วนอันไหนที่รุ่นน้องผิดจะยอมรับผิดไหมอันนี้ตนก็ไม่ว่าอะไร ส่วนเรื่องข่มขืนนี่ตนยอมรับว่าไม่เป็นความจริงแน่นอน เพราะมีพยานอยู่ด้วยกันหลายคน และอยู่กันแบบ 24 ชั่วโมงไม่ใช่พามาแล้วอยู่กันสองต่อสองอะไรแบบนี้ แบบนี้ตนก็เสียหาย อยากจะแก้ข่าวให้ตัวเอง เพราะตนก็เป็นผู้บริสุทธิ์ยอมรับผิดก็ตอนที่ทำร้ายร่างกาย เพราะทวงเงิน 100,000 แล้วไม่ได้แค่นั้นเอง แต่เรื่องนี้ก็จบลงตรงที่รุ่นน้องเอาเงินมาคืนจนครบหมดแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าตนมีแบคใหญ่และตำรวจหนุนหลัง อันนี้ไม่เป็นความจริง เพราะตนยังเป็นคนให้เขาเป็นคนไปแจ้งความถ้าจะเอาเรื่องทำร้ายร่างกาย ตนก็ยืนยันความบริสุทธิ์ใจในส่วนของตนเอง ซึ่งไม่มีตำรวจ หรือแบล็คหนุนหลังแน่นอน.