ชัดเจนแล้ว “เชื่อมจิต” ไม่มีอยู่จริงในพระไตรปิฎก สำนักพุทธฯแถลงยืนยันระบุขัดต่อหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เผยมีคนไปยื่นเรื่องที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแล้ว ขณะที่ รมต.สำนักนายกฯเปิดช่องให้หน่วยงานเกี่ยวข้อง- ผู้เสียหายดำเนินคดีต่อ ย้ำจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเชื่อมจิต 29 พ.ค.เรียกประชุม ผอ.พศจ.ทั่วประเทศ ส่วนมหาเถรฯ ประชุม 20 พ.ค. ชี้เชื่อมจิตผิดหลักธรรมหรือไม่ มูลนิธิทนายกองทัพธรรมร้อง “วราวุธ” ลุยเอาผิดคนหากินกับเด็กเชื่อมจิต ด้านเพจนิรมิตเทวาจุติเคลื่อนไหวโพสต์ข้อความหลังสำนักพุทธฯแถลงและปิดเพจไปแล้ว พม.สุราษฎร์ธานี ยื่นเรื่องร้องศาลเยาวชนฯ ขอคุ้มครองเด็ก สั่งพ่อแม่ยุติแสวงหาประโยชน์และร่วมวางแผนดูแลเด็กตาม ก.ม. ขณะที่แม่น้องไนซ์ปิดปากไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ

ในที่สุดคำว่า “เชื่อมจิต” ของ “น้องไนซ์” ที่อ้างตนว่าเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราชและบุตรของพระศากยมุนี มีความสามารถในการ “เชื่อมจิต” และ “หยั่งรู้” เรื่องราวต่างๆทั้งอดีตและอนาคต จนมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก กลายเป็นเพียงประโยคบอกเล่าที่ไร้ความเป็นจริง เมื่อมีการแถลงยืนยันถึงเรื่องนี้ที่เป็นประเด็นดราม่าในวงกว้าง

ทั้งนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 17 พ.ค. นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.พศ. นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารการกระทำที่เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา ร่วมกันแถลงกรณีเด็กเชื่อมจิต นายพิชิตกล่าวว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ไม่มีเจตนาใส่ร้ายบุคคลใดที่เกี่ยวข้อง หากมีแอบอ้างพระพุทธศาสนา จะถือเป็นหลักที่ต้องใช้สติ มีศีล สมาธิปัญญาที่ต้องตัดสินใจว่าถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าการเชื่อมจิตไม่มีอยู่จริง เรื่องที่ครอบครัวจะฟ้องร้องดำเนินคดีคงห้ามไม่ได้ ต้องไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม จากนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องตรวจสอบว่ามีใครร่วมละเมิดกฎหมายหรือไม่ มีใครเสียหายหรือไม่ การแถลงข่าวครั้งนี้ พนักงานสอบสวนสามารถนำไปเป็นพยานหลักฐานนำไปสอบสวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงต่อไป

...

นายอินทพรกล่าวว่า กรณีเชื่อมจิต พศ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามสถานการณ์มาตั้งแต่ต้น มีทีมงานเฝ้าระวังกลุ่มงานคุ้มครองพระพุทธศาสนา พศ.ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลต่างๆไว้แล้ว ส่วนเรื่องคำสอนมีการขอคำแนะนำจากมหาเถรสมาคม (มส.) มส.แนะนำให้ พศ.ใช้สติตรวจสอบทำเรื่องดังกล่าวให้รอบคอบ เพราะละเอียดอ่อนส่งผลกระทบต่อเด็กและครอบครัว แม้ว่า พศ.จะไม่มีอำนาจห้าม ระงับ ยับยั้ง บุคคลที่เผยแพร่คำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก แต่ พศ.จะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี จะมีการยกระดับตามกระบวนการกฎหมาย ขณะนี้มีองค์กรภาคเอกชนยื่นเรื่องไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแล้ว พศ.ต้องให้ความกระจ่างให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ส่วนเรื่องหลักธรรมคำสอน เป็นเรื่องของ มส.ที่จะพิจารณาว่าถูกต้องหรือไม่ หลังจากนี้จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมมส.ในวันที่ 20 พ.ค.และรอมติจาก มส.ต่อไป

ขณะที่นายบุญเชิดกล่าวว่า ศรัทธาในพระพุทธศาสนามี 4 ประการ คือ 1.เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง 2.เชื่อผลของการกระทำ 3.เชื่อว่าคนทุกคน สัตว์ทุกประเภทมีกรรมของตนเอง 4.ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในส่วนของการเชื่อมจิตจากการสืบหาข้อเท็จจริงจากพระไตรปิฎก ฟันธงว่าการเชื่อมจิตไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดและยังขัดต่อหลักธรรมบทที่สอนว่า ผู้ใดปฏิบัติเองย่อมรู้เองไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น พระพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความจริง ความรู้ สร้างสติ และปัญญา เมื่อนายบุญเชิดกล่าวจบ นายพิชิตได้สอบถามนายบุญเชิดว่าตกลงการเชื่อมจิตทำได้หรือไม่ นายบุญเชิดกล่าวย้ำว่า การเชื่อมจิตไม่มีในพระไตรปิฎก แต่มี กลุ่มบุคคลพยายามจะเทียบเคียงว่ามีการเชื่อมจิต ถือว่าเป็นการแอบอ้าง

ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปเรื่องการเชื่อมจิตผิดกฎหมายหรือไม่ นายพิชิตกล่าวว่า ต้องดูว่ามีผู้เสียหายหรือไม่ รวมถึงพนักงานสอบสวนสามารถนำไปเป็นพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีทางอาญา รวมถึงองค์กรที่บังคับใช้กฎหมายจะไปตรวจสอบว่าใครเสียหายอย่างไร เพราะไม่ได้อยู่ในภารกิจของ พศ.ไม่มีอำนาจที่จะไปออกหมายเรียกได้ เรื่องการเชื่อมจิตนั้นไม่มีจริง เป็นเรื่องบิดเบือนคำสั่งสอน หลังจากนี้จะทำทุกวิถีทาง รวมถึงใช้สื่อของรัฐในการป้องกันไม่ให้เกิดการเชื่อมจิต ขอย้ำว่าตนเชื่อโดยส่วนตัวว่าการเชื่อมจิตไม่มีอยู่จริง

เมื่อถามว่าขณะนี้น้องไนซ์และเครือข่ายยังมีการอบรมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย จะมีแนวทางป้องกันอย่างไร นายพิชิตกล่าวว่า พร้อมที่จะประสานหน่วยงานรัฐอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อระงับยับยั้ง ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดต่อพระพุทธศาสนา วันที่ 29 พ.ค. เวลา 10.00 น. จะนัดประชุมมอบนโยบายให้กับ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด หรือ พศจ.ทั่วประเทศที่พุทธมณฑล

วันเดียวกัน ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรมพร้อมเครือข่ายเข้ายื่นหนังสือถึงนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนา สังคมฯ ขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง กระทำผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มีนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการ รมว.การพัฒนาสังคมฯ เป็นผู้รับมอบและกล่าวว่า ที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะเยาวชนดังกล่าวมีอายุเพียง 8 ขวบ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ยื่นต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้วในการคุ้มครองเด็กขอให้ยุติการนำเด็กไปแสวงหาประโยชน์ และขอหารือร่วมกับครอบครัวในการ อบรมสั่งสอน ต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก

นายอนันต์ชัยกล่าวว่า พมจ.สุราษฎร์ธานีได้เข้าไปดูแลประเมินเด็กตั้งแต่เดือน ก.ย.2566 แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง ทั้งมีกลุ่มแอดมิน ทนายความคอยขัดขวางตลอดเวลา อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้ มีการไลฟ์ การแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 ขณะที่เด็กเชื่อมจิต มีการอ้างตัวเองเป็นผู้รู้ธรรม รู้เรื่องในพระไตรปิฎก เป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นลูกบุญธรรมเจ้าแม่กวนอิม เป็นอริยะขั้นอนาคามี เป็นอวตารจากองค์เพชรนาคา นาคราช แล้วมาสอนธรรม อ้างว่าได้รับการมอบหมายจากพระศากยมุนี เป็นการอวดอ้างสรรพคุณเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้วิเศษ ได้มาซึ่งลาภสักการะ มีการจัดอบรมประมาณ 10 กว่าครั้ง ได้เงินทองเพื่อไปตั้งสถานปฏิบัติธรรม เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการเรี่ยไร จึงรวบรวมหลักฐานต่างๆไปแจ้งความที่กองปราบฯและรับเป็นคดีที่อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน นี่เป็นสิ่งที่เด็กเสี่ยงกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ พ.ร.บ. ควบคุมการเรี่ยไร มีการด่าทอ ก็ผิดฐานหมิ่นประมาท การดูหมิ่น ข้อมูลพวกนี้ เป็นข้อมูลที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่มูลนิธิทนายกองทัพธรรมและทีมงานจัดทำ พร้อมซัพพอร์ตข้อมูล ความรู้ทางกฎหมาย และความรู้ด้านพระไตรปิฎกให้กับพมจ.สุราษฎร์ธานี ขอให้กำลังใจ ท่านไม่โดดเดี่ยว

ส่วนความเคลื่อนไหวที่ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังมีการแถลงข่าวของสำนักพุทธฯ เพจเฟซบุ๊ก “นิรมิตเทวาจุติ” ได้เคลื่อนไหวทันที โพสต์ข้อความว่า อาจารย์น้องไนซ์บอกมาตลอดว่า การเชื่อมจิตเป็นวิธีการ ไม่เคยยืนยันว่าเป็นคำสอน และสำนักพุทธก็ไม่เคยบอกว่าอาจารย์น้องไนซ์สอนไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ต่อมาผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังแม่ของน้องไนซ์เพื่อสอบถามเรื่องนี้ แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ

น.ส.ชลลดา ชนะศรีรัตนกุล พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุราษฎร์ธานี เผยว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ได้นำคำร้องส่งถึงศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียบร้อยแล้ว เพื่อขอให้ศาลใช้ดุลพินิจ สั่งให้พ่อแม่ ครอบครัวเด็กยุติการกระทำใดๆที่เข้าข่ายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก รวมทั้งสั่งผู้ปกครองให้ความร่วมมือในการวางแผนการเลี้ยงดูเด็กตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามกฎหมาย รวมถึงการเข้าประเมินสภาพร่างกายจิตใจเด็กด้วย หลังจากนี้จะเป็นไปตามกระบวนการศาลที่จะพิจารณาคำร้อง โดยเชิญผู้ร้องและพยานมาไต่สวน เรามีความพร้อมอยู่แล้ว การเรียกผู้ถูกร้องมาโต้แย้ง หรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลจะพิจารณาและสั่งให้ดำเนินการใดๆ

ขณะที่นายสิทธิชัย ไทยเจริญ นอภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า หลังสำนักงาน พม.สุราษฎร์ธานีส่งเรื่องร้องไปยังศาลเด็กและเยาวชน ศาลนัดไต่สวนประมาณกลางเดือน มิ.ย. พม.จะดำเนินการหาข้อมูลเอกสารหลักฐานต่างๆยื่นต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองสิทธิ์เด็ก ไม่ให้ผู้ปกครองนำเด็กไปทำกิจกรรมต่างๆ เหมือนที่ผ่านมา

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่