- เปิดด้านมืด "ธุรกิจค้าสัตว์ป่าทั่วโลก" สัตว์ป่าบางตัวถูกปฏิบัติไม่ต่างจากสินค้า
- พบ "ช้างไทย" ติดโผสัตว์ที่ถูกเพาะพันธุ์ และกักขังเพื่อใช้งานใน "อุตสาหกรรมท่องเที่ยว"
เนื่องในวันช้างไทย 13 มีนาคม ที่ผ่านมา องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก World Animal Protection ได้เปิดผลรายงาน "เกิดมาเพื่อสร้างกำไร" : ความจริงของการทำฟาร์มสัตว์ป่าทั่วโลก (Bred for profit : The truth about global wildlife farming) พบว่ามีสัตว์ป่าที่ถูกแสวงหาประโยชน์ทางการค้าประมาณ 5.5 พันล้านตัว มูลค่าธุรกิจรวมหลายหมื่นล้านบาทต่อปี
สัตว์ป่าเหล่านี้จะถูกกักขัง เพาะพันธุ์ เพิ่มจำนวนในลักษณะของการทำธุรกิจ "ฟาร์มสัตว์ป่า" จากนั้นจะผ่านการทารุณกรรมหลากหลายรูปแบบ อาทิ การฝึกด้วยวิธีที่โหดร้ายทารุณ เพื่อให้ช้างเชื่องพอที่จะมาเป็นสัตว์เลี้ยง หรือใช้เพื่อสร้างความบันเทิง หรือแสดงโชว์ช้าง ตามสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังรวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ ที่ถูกเลี้ยงเพื่อนำชิ้นส่วนอวัยวะมาผลิตเป็นเครื่องประดับ วัตถุดิบสำหรับอาหารในจานที่ดูหรูหราพิสดาร สินค้าแฟชั่น หรือยาแผนโบราณ
จากข้อมูลพบว่า สัตว์ป่าในฟาร์มจำนวนมาก อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ ต้องทนทุกข์ทรมานจากการขาดสารอาหาร โรคภัยไข้เจ็บ แสดงพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด ได้รับบาดเจ็บ และมีบาดแผลที่ติดเชื้อ อีกทั้งเมื่อสัตว์ต้องอยู่รวมกันในสถานที่ที่คับแคบ ไม่ถูกสุขลักษณะ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อโรค หรือนำไปสู่การอุบัติโรคระบาดระหว่างคนกับสัตว์ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากวิกฤตการณ์โควิด-19
...
สัตว์ป่าได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็น "สินค้า"
นิค สจ๊วร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก เผยว่า สัตว์ป่าได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็น "สินค้า" หรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในสายการผลิต ที่โหดร้ายในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะถูกเพาะพันธุ์ให้เป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อใช้ในกิจกรรมล่าสัตว์ เพื่อสร้างความบันเทิงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นำมาเป็นยาแผนโบราณ หรือสินค้าแฟชั่น
การทำฟาร์มสัตว์ป่าที่โหดร้ายจะต้องยุติลงตั้งแต่ตอนนี้ เราสนับสนุนให้สัตว์ป่ามีชีวิตในถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ กิจกรรมเพื่ออนุรักษ์สัตว์ป่า ควรมุ่งไปที่การลดความต้องการใช้สัตว์ป่า ยุติการใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า และส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสัตว์ป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ ในทางหนึ่งจะปกป้องเราทุกคนจากความเสี่ยงของโรคติดต่อจากสัตว์ป่าสู่คน
ผลวิจัยพบหลักฐานน้อยมาก ที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างที่ว่า การทำฟาร์มสัตว์ป่าเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า และเป็นการอนุรักษ์จำนวนประชากรสัตว์ในป่า ในทางตรงกันข้ามกลับเพิ่มความเสี่ยงของการลักลอบจับสัตว์ป่า จากถิ่นที่อยู่ธรรมชาติ เพื่อนำมาผสมพันธุ์ ส่งขายไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ และยังเป็นที่น่าตกใจว่า สัตว์ป่าบางสายพันธุ์ กลับมีจำนวนประชากรในฟาร์ม หรือกรงเลี้ยงมากกว่าที่อยู่ในป่าด้วยซ้ำ
วิกฤติจาก "ฟาร์มสัตว์ป่า" ที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
สำหรับวิกฤติจากฟาร์มสัตว์ป่าที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่
- การทำฟาร์มหมีในประเทศจีน พบว่ามีการกักขังหมี 20,000 ตัว เพื่อเจาะเอาน้ำดีหมีในฟาร์มหลายสิบแห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมน้ำดีหมีในจีนซึ่งมีมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นยาแผนโบราณ
- การทำฟาร์มสิงโตและเสือในแอฟริกาใต้ พบว่ามีการเพาะพันธุ์สัตว์ตระกูลเสือสายพันธุ์ต่างๆ ประมาณ 8,000 ตัว ในฟาร์มที่เป็นที่รู้จัก 366 แห่ง และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย รวมถึงเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับนักท่องเที่ยว ในกิจกรรมล่าสัตว์ และการส่งออกชิ้นส่วนของอวัยวะไปยังหลายประเทศในเอเชีย เพื่อเป็นยาแผนโบราณ ซึ่งมีมูลค่ารวมถึง 1.5 พันล้านบาท
- สำหรับการเพาะพันธุ์ช้างในประเทศไทย ถูกจัดให้เป็นการทำฟาร์มสัตว์อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะประเทศไทยมีจำนวนประชากรช้างถูกผสมพันธุ์เชิงพาณิชย์ในสภาพที่ถูกกักขัง มีการซื้อขายส่งต่อ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำช้างไปใช้งาน
สร้างกำไรซึ่งขั้นตอนการผสมพันธุ์ช้างในประเทศไทย โดยทั่วไปเริ่มจากเจ้าของช้างจ่ายเงิน เพื่อเช่าช้างพ่อพันธุ์มาผสมพันธุ์กับช้างตัวเมีย และหลังจากที่ช้างคลอดลูก 1-2 ปี ลูกช้างที่ได้จะถูกนำไปขาย หลังจากนั้นช้างตัวเมียก็จะถูกผสมพันธุ์อีกครั้ง เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ประมาณการตัวเลขช้างในธุรกิจท่องเที่ยวของไทยเพิ่มขึ้น 134% จากปี 2553-2563 กล่าวคือ มีลูกช้างเกิดขึ้นมาเข้ารับการฝึกด้วยวิธีการที่โหดร้ายทารุณ เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวกว่า 1,100 ตัว ในช่วงระยะเวลาเพียง 10 ปี
"ช้าง" ถูกนำมาใช้ประโยชน์ไม่จบสิ้น
หทัย ลิ้มประยูรยงค์ ผู้จัดการโครงการสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจะจ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมใกล้ชิดกับช้าง เช่น เล่นกับช้าง ป้อนอาหารช้าง ขี่ช้าง อาบน้ำช้าง หรือดูช้างแสดงพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์ ที่ผ่านมาธุรกิจสถานที่ท่องเที่ยวช้าง ไม่ว่าจะจดทะเบียนในลักษณะของบริษัท หรือมูลนิธิ ต่างก็ใช้ประโยชน์จากช้าง
ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ดูแลสถานที่ และสวัสดิภาพช้างอย่างจริงจัง จากงานศึกษายังพบว่าสภาพแวดล้อมดังกล่าว มีความเสี่ยงต่อการเป็นจุดแพร่ระบาดของโรคจากคนสู่สัตว์ ทั้งวัณโรค หรือแม้แต่โรคฉี่หนู เนื่องจากมีการตรวจพบเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าวในบริเวณพื้นที่ปางช้าง
ดังนั้น นอกจากรัฐจะต้องมีการสร้างกลไก เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของสถานที่เหล่านั้นแล้ว ยังต้องมีแนวทางควบคุมการผสมพันธุ์ช้าง เพื่อหยุดการต่อยอดความทุกข์ทรมานของช้างแบบไม่รู้จบ
ช้างเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนมากเรายังมีเวลาตราบเท่าชีวิตที่เหลืออยู่ของช้าง ที่จะเริ่มวางแผนเตรียมการ เพื่อหยุดวงจรของการนำช้างมาใช้ประโยชน์ โดยมองหาช่องทางประกอบอาชีพทางเลือก สำหรับผู้ประกอบการ แรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจสถานที่ท่องเที่ยวช้าง ให้มองไปข้างหน้าถึงอนาคต ที่คนจะเลิกกักขัง และใช้ประโยชน์จากช้างเชิงพาณิชย์ ร่วมแสดงพลังลงชื่อสนับสนุน เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของช้างไทยได้ที่นี่ (คลิก)
ที่มา : รายงาน "เกิดมาเพื่อสร้างกำไร" ความจริงของการทำฟาร์มสัตว์ป่าทั่วโลก (Bred for profit: The truth about global wildlife farming) (https://www.worldanimalprotection.or.th/bred-for-profit)