สาวแชร์ประสบการณ์ จะขับรถไปวัด แต่ระหว่างทางบังเอิญรับหญิงท้องแก่ขึ้นรถ เพื่อช่วยพาไปส่ง รพ. แต่ทนไม่ไหว คลอดบนรถ คนมารอส่องทะเบียนเสี่ยงโชค
วันที่ 4 มี.ค. เรียกว่าเป็นเรื่องราวที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้เจออะไรแบบนี้ หากไม่ได้เป็นญาติ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Thitiwan Keardpum" ได้แชร์คลิปวิดีโอ สาวท้องแก่คนหนึ่ง ซึ่งคลอดลูกบนรถตัวเอง พร้อมกับแท็กเพื่อน ระบุพิกัดโรงพยาบาลอยุธยา ซึ่งเหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า "สวัสดีวันพระ กับใครก็ไม่รู้มาคลอดลูกในรถเรา"
พร้อมเล่าว่า ตัวเองมาอยุธยากับเพื่อน 3 คน กำลังเลี้ยวรถไปวัด จู่ๆ มีลุงขี่มอเตอร์ไซค์ มีเด็กผู้ชายนั่งหน้า 1 คน พร้อมคนท้องที่กำลังจะคลอดอีก 1 คน โบกให้รถจอด แล้วบอกว่า ช่วยไปส่งโรงพยาบาลหน่อยเด็กมันจะคลอดแล้ว ซึ่งเธอก็ตอบทันทีว่า ได้เลย แต่พอขึ้นรถมาได้เพียง 5 นาที ก็มีเสียงตะโกนว่า โอ๊ยพี่ไม่ไหวแล้วว หลังจากนั้น เด็กก็คลอดออกมา ส่งเสียงร้องดัง โดยเป็นเด็กชายสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ตัวเอง
ซึ่งหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก และที่หลายคนอยากรู้ คงไม่พ้นทะเบียนรถ เพื่อที่จะนำไปเสี่ยงโชคในงวด 16/3/67 นี้
โดยเจ้าของโพสต์ก็ทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว เข้ามาแจกทะเบียนรถ ที่น้องคลอดเมื่อวานนี้ เป็นทะเบียน 7823 ทั้งบอกด้วยว่า ตอนที่น้องคลอดออกมา เราใกล้ถึง รพ.แล้ว น้องถึงมือคุณหมออย่างปลอดภัยทั้งแม่และลูก ตัวเองเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว ก็ขอตัวกลับ ก่อนกลับได้ให้เงินรับขวัญหนูน้อยไป 2 พัน จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านที่นนทบุรีเลย
...
จากการสอบถาม คุณฝ้าย เจ้าของโพสต์ทราบว่า ตอนที่รับสาวท้องขึ้นรถมา ก็ไม่คิดว่าเขาจะคลอดในรถ รู้แค่ว่าเราอยากพาเขาไปให้ถึงโรงพยาบาลเร็วที่สุด ซึ่งตอนที่น้องคลอดออกมานั้น อีกเพียง 300 เมตรก็จะถึงโรงพยาบาลแล้ว
โดยตอนที่น้องคลอดในรถ ตัวเองตื่นเต้นมากๆ อารมณ์มันมากมายหลายความรู้สึก เพราะทั้งรถไม่เคยมีใครมีลูกมาก่อน ได้แต่ช่วยเบ่ง พอแม่กรี๊ด เราก็กรี๊ด อยากจะข้ามไปช่วย แต่ก็ต้องขับรถ ความรู้สึกมันมีทั้งดีใจที่น้องปลอดภัยแข็งแรง แล้วก็อยากจะร้องไห้ด้วยความปีติ รวมถึงอยากจะหัวเราะ เพราะนี่มันอิหยังวะ ขับรถมาไหว้พระ แต่เจอคนมาคลอดบนรถ
ซึ่งที่เราให้พี่สาวถ่ายคลิปไว้ เผื่อว่าต้องใช้กับหมอ หรือให้คุณแม่เขาไว้ดู และเราก็เก็บเป็นความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิตของเราด้วย
ที่มาจาก เฟซบุ๊ก Thitiwan Keardpum