หนุ่มแชร์ประสบการณ์ "งูกะปะสามเหลี่ยม" กัดส้นเท้า เข้ารักษาตัวกว่า 9 วัน พร้อมเตือนเวลาเข้าป่า หรือไปในที่เสี่ยงควรระวังหรือป้องกันตัวให้ดีๆ
กลายเป็นเรื่องราวที่สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Maxky Chu ได้โพสต์ภาพตนเองที่ถูกงูฉก ลงในกลุ่ม งูไทย...อะไรก็ได้ all about Thailand snakes พร้อมระบุข้อความว่า ผลงานกะปะตัวร้ายครับ 9 วัน 9 คืน ที่นอนโรงพยาบาล คืนแรกไข้ขึ้น 39.7 วูบ หลับต้องให้ออกซิเจน ระวังกันด้วยนะครับ มันอันตรายกว่าที่คิดเยอะ อย่าโดนดีที่สุด ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน
ซึ่งหลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมให้กำลังใจหนุ่มเจ้าของโพสต์เป็นจำนวนมาก จนมียอดกดถูกใจกว่า 1 หมื่นไลค์ภายในชั่วข้ามคืน ขณะที่บางส่วนก็ได้สอบถามถึงความอันตรายของงูตัวดังกล่าว พร้อมขอทราบวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อป้องกันชีวิต
...
ล่าสุดวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 หนุ่มเจ้าของโพสต์ ได้เปิดใจกับทีมข่าว "ไทยรัฐออนไลน์" โดยระบุว่า ผมเข้าไปตัดปาล์มในสวน แต่ไม่ได้ใส่รองเท้าบูท (ประมาทไปหน่อยครับ) ตัดปาล์ม ขนทะลายปาล์มกับอุปกรณ์ขนรถหมดแล้ว เหลือปาล์มร่วงต้นสุดท้ายที่จะเก็บ งูอยู่ใต้โคนปาล์มตรงที่มีปาล์มร่วง ผมมองไม่เห็นสีมันกลมกลืนกับหญ้าแห้ง ผมน่าจะเหยียบมัน แล้วมันก็ฉกเข้าที่ตรงส้นเท้าพอดี
สำหรับการปฐมพยาบาล ผมโทรหาพ่อแล้วก็รีบไปโรงพยาบาลเลย เพราะไม่ไม่ห่างจากโรงพยาบาล ไม่ถึง 10 นาที ถึงโรงพยาบาลก็เข้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลล้างแผล เจาะเลือดเอาไปตรวจ แล้วฉีดยาแก้ปวดขั้นรุนแรง แต่เอาไม่อยู่ ต่อด้วยให้เซรุ่ม แล้วก็ฉีดมอร์ฟีนให้ เพราะผมแพ้ขั้นรุนแรง
มีอาการวูบ หน้ามืด เกือบหมดสติ ตอนประมาณ 5 ทุ่ม ไข้ขึ้น 39.7° ต้องให้ออกซิเจนเพิ่ม ขาบวมดึงขยับไม่ได้ เจาะเลือดทุก 4-6 ชม. เพราะพิษงูชนิดนี้ เกี่ยวกับระบบเลือดโดยตรง ค่าเลือดต่ำอยู่ 5 วัน ถึงจะกลับมาปกติ พอขาหายบวม จะมีรอยช้ำ ซึ่งหมอให้ยาฆ่าเชื้อทุก 6-8 ชม. จนกว่าจะออกจากโรงพยาบาล สำหรับอาการตอนนี้ อาการตอนนี้หายดีประมาณ 80% ต้องรอตัดเนื้อตายที่ยังเหลือออกจนกว่าจะหมด
ทั้งนี้ หนุ่มเจ้าของโพสต์ ยังเผยอีกว่า ส่วนตัวผมไม่เคยโดยงูฉกมาก่อน ฝากเตือนทุกๆ คน เวลาเข้าป่า หรือไปในที่เสี่ยงๆ ที่อาจจะเจอสัตว์มีพิษ ควรระวังหรือป้องกันตัวให้ดีๆ สัตว์มีพิษอัตรายทุกชนิด อีกคือภูมิคุ้มในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าโดนกันดีที่สุด ชนิดงูที่กัดผม งูกะปะสามเหลี่ยมนะครับ.
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Maxky Chu