ศูนย์จีโนมฯ เผยปี 2567 ทั่วโลกเฝ้าจับตาความรุนแรงของโอมิครอน JN.1 เตือนการ์ดอย่าตก มาตรการพื้นฐานทางสาธารณสุขเดิมยังใช้ได้

วันที่ 18 มกราคม 2567 แฟนเพจ Center for Medical Genomics ของ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความว่า "หลังคลื่นการแพร่ระบาดของโอมิครอน JN.1 ผ่านพ้นไปผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกคาดว่าจะมีคลื่นการระบาดของกลุ่ม JN ที่หลากหลาย (new soup of JN ) อาทิ JN.1.4, JN.1.2, JN.1.6.1, JN.1.11, JN.6, JN.7, JN.8 ฯลฯ ติดตามมา 

ดังนั้นการ์ดของมาตรการสาธารณสุขต่อโควิด-19 ในปี 2567 ไม่ควรตก กล่าวคือ หมั่นล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม พิจารณาฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง เตรียมยาต้านไวรัสให้พร้อมสำหรับผู้ติดเชื้อรุนแรง เพราะจากการถอดบทเรียนการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาพบว่ามาตรการสาธารณสุขดังกล่าวได้ช่วยป้องกันผู้ติดเชื้อเสียชีวิตได้มากกว่า 10 ล้านคน

ปรับปรุง 17/1/2567 เวลา 22.42

หลังคลื่นการแพร่ระบาดของโอมิครอน JN.1 ในช่วงต้นปี 2567 ผ่านพ้นไปผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกคาดว่าจะมีคลื่นการระบาดของกลุ่ม JN* ที่หลากหลาย (new soup of JN ) อาทิ JN.1.4, JN.1.2, JN.1.6.1, JN.1.11, JN.6, JN.7, JN.8 ฯลฯ ติดตามมา

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่ต้องเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะมีความรุนแรงน้อยไม่ต่างจากโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือทวีความรุนแรงมากขึ้น การ์ดของมาตรการพื้นฐานในปี 2567 นี้ต้องไม่ตก กล่าวคือ หมั่นล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม พิจารณาฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง เตรียมยาต้านไวรัสให้พร้อม

...

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ได้ประเมินผลกระทบของมาตรการสาธารณสุขพื้นฐานที่ไม่ใช้ยาและวัคซีน (non-pharmaceutical interventions: NPIs) ต่อผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ทั่วโลก:

  • อิมพิเรียลคอลเลจลอนดอน: ประมาณการว่ามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเพียงอย่างเดียวสามารถป้องกันการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ถึง 5.2 ล้านคนทั่วโลกใน 70 วันแรกของการดำเนินการ
  • องค์การอนามัยโลก: แนะนำว่าการสวมหน้ากากเพียงอย่างเดียวสามารถป้องกันการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในยุโรปได้ถึง 60%
  • นิตยสาร Science: นำผลการศึกษาประเมินว่าการปิดเมืองในสหรัฐอเมริกาสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ 2.7 ล้านคนระหว่างเดือนมีนาคมถึงสิงหาคม 2020
  • ทั่วโลก: การระบาดใหญ่หากไม่มีวัคซีนอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นหลายสิบล้านคนทั่วโลก ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากระบบการรักษาพยาบาลใน รพ. จะล้มเหลว (เพราะเตียงและอุปกรณ์การแพทย์ไม่พอเพียง) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ได้ประเมินผลกระทบจากวัคซีน

  • สหรัฐอเมริกา: ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา (US CDC) สหรัฐฯ ได้ฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 655 ล้านโดส-80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง - โดยมีผลสะสมในการป้องกันผู้ป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มเติมได้มากกว่า 18 ล้านคน และลดการเสียชีวิตเพิ่มเติมได้มากกว่า 3 ล้านคน
  • การพัฒนาวัคซีนอย่างรวดเร็ว การอนุมัติฉุกเฉินเพื่อจำหน่ายในวงกว้าง และการเปิดตัวอย่างรวดเร็ว มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต ขณะเดียวกันก็ช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดใหญ่ โครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของสหรัฐอเมริกาช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลของสหรัฐฯ ได้กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และรักษาทรัพยากรของโรงพยาบาล ให้เด็กๆ ได้เข้าเรียนในโรงเรียน และอนุญาตให้เปิดธุรกิจและกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดีผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนต้องมีการศึกษาควบคู่ไปด้วย ปัจจุบันมีวัคซีนหลายประเภทที่อาจเลือกใช้ได้ให้สอดคล้องกับแต่ละบุคคล

นี่เป็นเพียงการประมาณการคร่าวๆ ตัวเลขจริงอาจสูงหรือต่ำกว่าก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือสถานการณ์สมมติเหล่านี้หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นความทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวงของมนุษย์

ดังนั้นแม้ว่าจะไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่นอนได้ แต่หลักฐานก็แสดงให้เห็นอย่างท่วมท้นว่ามาตรการพื้นฐานทางสาธารณสุข เช่น หมั่นล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม พิจารณาฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง การใช้ยาต้านไวรัสได้ช่วยชีวิตผู้คนได้นับไม่ถ้วนในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ใน 4 ปีที่ผ่านมา"

ข้อมูลจาก แฟนเพจ Center for Medical Genomics