อ.ธรณ์ เผยข่าวดี แนวปะการัง "หินต่อยหอย" ที่เคยฟอกขาวกำลังฟื้นตัว ขณะที่น้ำทะเลก็มีอุณหภูมิเย็นลง แนะประชาชนต้องไม่ทิ้งขยะ หรือน้ำเสีย เพื่อลดผลกระทบด้านอื่น

วันที่ 31 สิงหาคม 2566 ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า นานทีมีเรื่องให้ยิ้มกันบ้าง ทีมโลกร้อนของคณะประมงไปสำรวจปะการังที่ระยอง พบว่าฟื้นตัวดีครับ การสำรวจเกาะมันในทำต่อเนื่องมา 3 ปี ผมเล่าให้เพื่อนธรณ์ฟัง ถึงปะการังน้ำตื้นที่ฟอกขาวแล้วไม่ฟื้น เราจึงเบนเข็มไปตามแนวปะการัง ที่มีโอกาสมากหน่อย ที่หินต่อยหอย

หินต่อยหอยเป็นแนวปะการังกลางน้ำ อยู่ลึกกว่าและน้ำไหลไปมา เพราะคลื่นลมและกระแสน้ำ ถือว่าดีกว่า ในแง่ความร้อนจากน้ำทะเล ที่ทำให้ฟอกขาว การสำรวจเดือนมิถุนายน เป็นภาพโดรน ที่เห็นปะการังฟอกขาวเพียบ แต่เรายังมีความหวังว่าจะฟื้นได้เมื่อเข้าหน้าฝน ฟ้าครึ้มแดดน้อย อีกทั้งน้ำทะเลจะเย็นลงกว่าเดือนเมษายน/พฤษภาคม (ช่วงนั้น 32+ ครับ)

วันนี้พวกเราไปตั้งแต่เช้า แม้ลมแรงก็ต้องไปเนื่องจากเป็นช่วงน้ำลงต่ำ เดือนสุดท้ายของปี (หลังจากนี้น้ำจะไม่ต่ำมากในแถวระยอง เป็นอุปสรรคต่อการสำรวจด้วยโดรน) น้ำทะเลเย็นลงแล้ว วัดได้ 30-31 องศา คาดว่าช่วงนี้เมฆเยอะช่วยลดอุณหภูมิ 

ปะการังที่สำรวจเป็นไปตามภาพ สภาพทั่วไปฟื้นตัวเกือบหมด หากมองในภาพโดรน จะเห็นเบอร์ 14 ฟอกขาวโพลนในช่วงมิถุนายน แต่วันนี้ฟื้นแล้วจ้ะ  อย่างไรก็ตาม ยังเย้ได้ไม่เต็มปาก เพราะปะการังหลายก้อน ที่ฟอกขาวจนส่วนหัวตายมาตั้งแต่ปี 64 ถึงวันนี้ส่วนหัวยังไม่ฟื้นเลยครับ 

การสำรวจต่อเนื่องแบบนี้ จะช่วยให้เราเข้าใจผลกระทบของโลกร้อนกับปะการัง ได้ดียิ่งขึ้น และจำเป็นมาก สำหรับการรับมือกับโลกร้อนที่กำลังมา ตัวอย่างง่ายๆ คือเอลนีโญที่อาจส่งผลกระทบต่อปะการัง ในช่วงต้นปีหน้า เมื่อเรามีข้อมูลตอนนี้ เราย่อมทราบดีว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เชื่อว่าในพื้นที่เหมาะสม ปะการังจะไม่ยอมตายง่ายๆ พวกเธอเกิดในเมืองไทย ต้องแกร่งกล้าอยู่แล้ว

...

หากเราช่วยกันลดผลกระทบด้านอื่น เช่น ท่องเที่ยว ขยะ น้ำทิ้ง ไม่ซ้ำเติมปะการังในขณะที่ธรรมชาติแปรปรวน พวกเธอจะมีโอกาสรอดมากขึ้น ช่วยกันหน่อยนะ ช่วงนี้งานเยอะจัด อาจไม่ได้มาเล่าเรื่องให้เพื่อนธรณ์ฟังถี่ๆ แต่มีเวลาเมื่อไหร่จะมาบอกกันทันที จากโลซินถึงระยองภายใน 2 สัปดาห์ เรายังจะไปต่ออีกครับ.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat