• คดีทำร้ายร่างกายแฟน หรือคนรัก ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มีหลายรูปแบบ ต้องพิจารณาว่าผู้ก่อเหตุมีเจตนาที่ต้องการให้อีกฝ่ายบาดเจ็บจริงหรือไม่
  • โทษสูงสุดของการทำร้ายร่างกาย คือ การจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
  • สิ่งแรกที่เหยื่อต้องทำเมื่อถูกคนรักทำร้ายร่างกาย คือการออกมาจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด แล้วรีบแจ้งความ เพื่อป้องสิทธิและความปลอดภัยของตนเอง

"ความรุนแรง" เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดคดีความอันดับต้นๆ ในสังคมไทย ซึ่งส่วนใหญ่มักมาจากความขัดแย้ง การทะเลาะวิวาท บันดาลโทสะ จนนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย

ปัญหาเหล่านี้ พบได้บ่อยในครอบครัว หรือคนรัก เช่นเดียวกัน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และจิตใจ ทั้งการทุบตีทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ พูดจาด่าทอ ให้เกิดความเจ็บใจ หรือความรุนแรงจากการล่วงละเมิดทางเพศ โดยหยิบยืม "ความรัก" มาเป็นอาวุธ ที่จะมาทำร้ายคู่ชีวิต คู่รัก หรือความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น ๆ

แน่นอนว่า เมื่อไม่สามารถอดทนกับความทุกข์ทรมานได้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการถูกทำร้ายจากแฟน หรือคนรัก สุดท้ายก็ต้องออกมาขอความช่วยเหลือ หรือทวงคืนความยุติธรรม ด้วยการแจ้งความดำเนินคดี เพื่อปกป้องตนเอง เช่นเดียวกับเคสของ นักแสดงชื่อดังอย่าง ดิว อริสรา

ที่เธอออกมาชี้แจงว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เธอโพสต์แฉพฤติกรรมของพนันออนไลน์ คือ การที่ถูกทำร้ายโดยอดีตแฟนหนุ่ม โดยคนในครอบครัวของฝ่ายชายก็รับรู้ แต่ไม่มีใครยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ซึ่งทั้งหมด ดิวอ้างว่ามีหลักฐาน

...

คดีทำร้ายร่างกายแฟน หรือคนรักที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ เผยว่า มีคดีทำร้ายร่างกายคนรัก เกิดขึ้นอยู่หลายรูปแบบ บางรูปแบบทำร้ายกัน ทางร่างกายและจิตใจ แต่ไม่เป็นข่าว ไม่เป็นคดี บางเคสก็เป็นคดี แต่ไม่เป็นข่าว สาเหตุที่ทำร้ายกันมีหลากหลาย ทั้งที่เหยื่อไม่ได้เป็นเหยื่อ 100% คือ ตัวผู้ที่รับบาดเจ็บ เป็นคนก่อให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น คือ สมัครใจทะเลาะวิวาทด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยส่วนใหญ่ ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นมา ผู้ชายจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะผู้หญิงร่างกายบอบบางกว่า จะได้รับความเห็นใจจากสังคมมากกว่า

ทั้งนี้ทั้งนั้น ท้ายที่สุดต้องพิจารณาถึงการทำร้ายร่างกายว่า มีเจตนาเพื่อต้องการให้อีกฝ่ายบาดเจ็บจริงๆ ไหม หรือ เป็นเพียงแค่การหยอกล้อเล่นกัน ทำร้ายกันเพราะมีการยั่วโมโห บันดาลโทสะจึงลงมือทำร้าย หรือเป็นการทำร้าย ที่เกิดขึ้นจากความรุนแรงของนิสัยบุคคลนั้นอยู่แล้ว

การดำเนินคดีเอาผิดผู้ก่อเหตุ ผู้เสียหายต้องเริ่มจากตรงไหน

ทนายเจมส์ เผยว่า เมื่อถูกทำร้ายร่างกาย สิ่งแรกที่คุณจะต้องทำ คือ การเอาตัวเองออกจากสถานที่นั้นๆ ให้เร็ว แล้วเก็บหลักฐาน หรือจดจำรายละเอียดต่างๆ ในเบื้องต้นให้ได้ เพื่อที่จะบอกกับพนักงานสอบสวนหรือตำรวจให้ได้ก่อนว่า ใครเป็นคนลงมือทำร้ายคุณ ทำร้ายที่ไหน อย่างไร และเมื่อไหร่ เพื่อที่ตำรวจจะได้เข้าไปเก็บหลักฐาน ที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ สอบพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ แล้วส่งตัวให้แพทย์วินิจฉัย ว่าร่างกายของเรานั้น มีความบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด เพื่อนำคำวินิจฉัยของแพทย์ไปประกอบสำนวนคดี แล้วตั้งข้อกล่าวหาผู้กระทำความผิดต่อไป

"คำวินิจฉัยของแพทย์" คือหลักฐานสำคัญ ที่ใช้พิจารณาและระบุโทษ

ทนายเจมส์ เผยว่า เบื้องต้นเอาตัวออกจากที่เกิดเหตุแล้วไปแจ้งความ ตำรวจจะมาเก็บภาพหลักฐาน ก่อนส่งตัวเราไปที่โรงพยาบาล ซึ่งทางโรงพยาบาลจะมีการเก็บภาพอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นแพทย์จะตรวจวินิจฉัย ว่าร่างกายของผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจากสาเหตุอะไร เกิดจากการที่มีของแข็งมากระทบ หรือตัวเราไปกระทบของแข็ง  ใช้เวลาในการรักษากี่วัน คำวินิจฉัยของแพทย์จะเป็นตัวประกอบว่า บาดเจ็บธรรมดา หรือบาดเจ็บสาหัส ซึ่งโทษก็จะแตกต่างกันด้วย

ถ้าเป็นคดีลหุโทษ ฟกช้ำดำเขียวธรรมดา เลือดไม่ออก จะเป็นโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท แต่พอเป็นบาดเจ็บมีเลือดตกยางออก ใช้ระยะเวลารักษาไม่เกิน 20 วัน โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท แต่ถ้าเมื่อไหร่ ถูกวินิจฉัยว่าบาดเจ็บสาหัส แขนหักขาหัก ทุพพลภาพเกินกว่า 20 วัน มีบาดแผลเสียโฉมบนใบหน้า หรือบนตัว กรณีแบบนี้โทษจะเพิ่มมาเป็น 10 ปี ปรับสูงสุด 1 แสนบาท

การดำเนินคดีเอาผิด ต้องใช้เวลานานแค่ไหน

ทนายเจมส์ เผยว่า ขั้นตอนในการดำเนินคดีตอบยาก เพราะแต่ละเคส มีพยานและหลักฐานไม่เท่ากัน และมีระยะเวลาในการดำเนินการไม่เท่ากัน แต่ประมาณ 1- 2 ปี ต้องมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว

"ผู้เสียหาย" เป็นหนึ่งพยานสำคัญ ของคดีทำร้ายร่างกาย

ทนายเจมส์ เผยว่า โดยปกติแล้วที่ดำเนินคดีมา พยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุแทบจะไม่มีอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่เป็นแฟนกันอยู่ในห้องกันสองคน พยานจะอิงจากผู้เสียหาย ว่าใครเป็นคนทำร้ายคุณ แต่ถ้าอ้างว่ามีใครมาทำร้าย อาจจะเป็นการปรักปรำ เพราะฉะนั้นตำรวจต้องส่งตัวบุคคลให้แพทย์วินิจฉัย ว่าร่างกายนั้น เกิดจากการถูกทำร้ายจริงหรือไม่ ส่วนใครจะเป็นคนทำร้าย ก็มีผู้เสียหายเป็นพยานยืนยันอยู่แล้ว

ส่วนหลักฐานที่สองที่จะยืนยันได้ ก็คือพยานแวดล้อม เช่น พบรถมีภาพกล้องวงจรปิด ว่าทั้งสองคนเข้าไปในห้องด้วยกัน หรือมีพยานที่เป็นคนข้างบ้านได้ยินเสียงร้อง เอะอะโวยวายในบ้านหลังนั้นด้วยกัน ต้องนำประจักษ์พยานมารวมกับพยานแวดล้อม และพยานหลักฐาน ก็จะสามารถบ่งบอกได้ว่า มีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น และใครเป็นคนลงมือกระทำความผิดนั้น

ความสัมพันธ์ของเหยื่อกับผู้ก่อเหตุ มีผลต่อการพิจารณาคดีหรือไม่

ทนายเจมส์ เผยว่า มีแน่นอน การที่ในขณะที่คบหากันรักกัน แล้วไม่ไปแจ้งความ หนึ่งหลักฐานอาจจะจางหายไว้ ถึงแม้จะเก็บภาพถ่ายไว้เป็นหลักฐานก็ตาม แต่ถ้าแพทย์ลงความเห็นว่า "ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า ได้รับบาดเจ็บมากน้อยขนาดไหน และเกิดจากการทำร้ายร่างกายหรือไม่"

ถามว่าแจ้งความได้ไหม แจ้งความได้ แต่พยานหลักฐานจะรับฟังได้ไหม นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหนึ่งระยะเวลาของแผลอาจจะจางหายไปแล้ว สองแพทย์อาจจะไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า รูปภาพนั้นเกิดจากการทำร้ายร่างกายหรือไม่ สามระยะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ศาลอาจจะมองว่า คุณมีสาเหตุโกรธเคืองกันหรือไม่ จึงมาแจ้งความในครั้งนี้ พูดง่ายๆ คือ แจ้งความได้ แต่ช่องต่อสู้ค่อนข้างเยอะ

ฝากถึงคนที่ถูกคนรักทำร้ายร่างกาย

ทนายเจมส์ กล่าวว่า หากถูกแฟน หรือคนรักทำร้ายร่างกาย แล้วไม่กล้าแจ้งความ การที่เราไม่ออกมาปกป้องสิทธิของตนเอง ถ้าวันใดวันนึงเขามาตอแย หรือมาทำร้ายคุณอย่างต่อเนื่อง แล้วคุณไม่เก็บหลักฐานอะไรไว้ อาจจะเป็นช่องโหว่หรือเป็นช่องว่างให้ผู้กระทำความผิดใช้ต่อสู้คดีของคุณ จนเขาพ้นความผิดได้

เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าคุณถูกทำร้ายให้ไปแจ้งความก่อนเลย หากถูกคุกคาม ก็สามารถร้องไปที่ตำรวจหรืออัยการได้ทุกชั้น เพื่อขอให้เขาถอนประกัน หรือคุ้มครองก็ได้.


ผู้เขียน : PpsFoam
กราฟิก : Varanya Phae-araya