โซเชียลวอนให้ตรวจสอบ ภาพประกอบ "งูเขียวหัวจิ้งจก" ในอุทยานฯ น้ำตกเอราวัณ หวั่นคนไม่รู้เข้าใจผิด เพราะอาจจะเป็นภาพ "งูเขียวหางไหม้" ที่มีพิษร้ายแรง

วันที่ 18 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพป้ายแสดงข้อมูลของ "งูเขียวหัวจิ้งจก" ในอุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ ลงในกลุ่ม Nano Nawatงูไทย...อะไรก็ได้ all about Thailand snakes พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ภาพงูที่นำมาประกอบป้ายนั้น ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับ "งูเขียวปากไหม้" ที่มีพิษร้ายแรง

โดยในป้ายนั้น แสดงข้อมูลของ งูเขียวหัวจิ้งจก หรืองูเขียวปากจิ้งจก ว่า "เป็นงูที่มีพิษอ่อนมากชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ahaetulla prasina วงศ์ Colubridae มีลักษณะลำตัวเรียวยาว หัวหลิว ปลายปากแหลม ขนาดเมื่อโตเต็มที่ได้ถึง 2 เมตร พื้นลำตัวโดยมากเป็นสีเขียว มักจะมีเส้น สีขาวข้างลำตัว บริเวณแนวต่อระหว่างเกล็ดตัวกับเกล็ดท้อง เส้นขาวยาว ตั้งแต่บริเวณคอ จนดึงโคนหาง ท้องขาวส่วนหางตั้งแต่โคนหางถึงปลาย

...

หางจะมีสีน้ำตาล หรือสีชมพู ตาจะมีขนาดใหญ่ ม่านตาอยู่ในแนวนอน อาศัยอยู่ตามต้นไม้ มีพิษอ่อนมาก โดยพิษจะสามารถทำอันตรายได้ เฉพาะสัตว์เล็กที่เป็นอาหาร เช่น จิ้งจก กิ้งก่า นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เป็นงูที่ออกลูกเป็นตัว ระยะเวลาตั้งท้อง 4 เดือน ออกลูกได้ครั้งละ 6-10 ตัว จะผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝน พบได้ทุกภาคของประเทศ และป่าทุกประเภท"

หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ ยังไม่ต้องเห็นหาง แค่ดูลักษณะหัวก็รู้ว่างูพิษแรง, ผิดพลาดแบบนี้อันตราย ถ้าเด็กๆมาเห็นแล้วจำข้อมูลไปผิดๆ เกิดอันตราย ใครรับผิดชอบ, เหมือนเขียวหางไหม้ เขียวตุ๊กแก รู้ว่าหัวสามเหลี่ยมแบบนี้ขิตแน่นอนค่า, ใครมันเป็นคนติดรูปเนี่ย แบบนี้อันตรายมาก, ข้อมูลผิดเรื่องอื่นไม่เท่าไหร่ ข้อมูลผิดเรื่องงูในระดับที่สับสนว่า อันตรายหรือไม่ อันนี้เรื่องใหญ่, พิษอ่อนมากเท่ากับตาย ฯลฯ

ทั้งนี้ บางความคิดเห็นยังบอกว่า เคยแจ้งไปแล้วตั้งนาน ก็ไม่ได้รับการแก้ไข แต่ล่าสุดได้แจ้งไปทาง สำนักอุทยานแห่งชาติ ให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งได้รับคำตอบกลับมาว่า กำลังประสานกับทางผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขแล้ว อย่างไรก็ตาม หากมีการชี้แจงเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม จะรายงานให้ทราบอีกครั้ง.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก กลุ่มงูไทย...อะไรก็ได้ all about Thailand snakes